ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 158 จูบอันอ่อนโยน
เป็นอย่างที่คิด เซียวอวิ๋นเซิงยืนร่างกายแข็งทื่ออยู่ที่เดิม มิเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย
สิ่งที่กู้ชิวเหลิ่งกล่าวออกมานั้นเหมือนดั่งเข็มอันแหลมคมที่พุ่งเข้าแทงจิตใจ ไร้ซึ่งความเมตตา
กู้ชิวเหลิ่งรู้อยู่แก่ใจตั้งแต่แรกแล้วว่าเขาชอบนาง เพียงมิเคยเอ่ยออกมาก็เท่านั้น บัดนี้เขาดูเหมือนตัวตลก ทั้งอายและรู้สึกมิเป็นธรรม
เขารู้สึกมิเป็นธรรมเนื่องจากได้ทำสิ่งหลายสิ่งหลายอย่างให้กับสตรีที่โหดเหี้ยมและไร้หัวใจผู้นี้
กู้ชิวเหลิ่งรู้ดีว่าคำพูดของนางทำให้เซียวอวิ๋นเซิงไร้หนทางหนี ในเวลาที่อยู่ร่วมกัน เซียวอวิ๋นเซิงดีกับนางเป็นอย่างมาก เขาพยายามให้ความช่วยเหลือนางอยู่หลายครั้งด้วยความจริงใจ หากนางเป็นกู้ชิวเหลิ่ง นางจะต้องรู้สึกดีกับเซียวอวิ๋นเซิงอย่างแน่นอน
แต่น่าเสียดายที่ตั้งแต่ต้นมาจนถึงบัดนี้นางมิใช่กู้ชิวเหลิ่ง ในฐานะมู่หรงชิว นางยังมีเรื่องสำคัญให้ทำอีกมากมาย นางต้องไปแก้แค้นจวินฉีเซิ่ง จะมีความรู้สึกกับใครมิได้ทั้งนั้น รวมถึงตัวนางเองด้วย
เซียวอวิ๋นเซิงหัวเราะเยาะตัวเอง กล่าวว่า “เจ้านี่ช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก เป็นความผิดของข้าเอง ข้ามิควรมาวุ่นวายกับเรื่องของเจ้า ตั้งแต่นี้ไปข้าจะมิมาให้เจ้าเห็นหน้าอีก”
เซียวอวิ๋นเซิงหันหลังไปอย่างสิ้นหวัง จูเอ๋อร์ที่เฝ้ามองอยู่หน้าประตูจึงรีบวิ่งเข้ามาด้วยความตื่นตระหนกและถามออกมาว่า “คุณหนูเจ้าคะ ทะเลาะกับเซียวโหวเย๋น้อยอย่างนั้นหรือ?”
กู้ชิวเหลิ่งนอนลงบนเตียงอันนุ่มนวลพร้อมกล่าวว่า “มิได้ทะเลาะ แค่สนทนาทุกอย่างให้ชัดเจน”
เส้นทางของการแก้แค้นเต็มไปด้วยขวากหนาม มีเพียงผู้ใกล้ชิดเท่านั้นที่จะช่วยเหลือนางได้ถึงท้ายที่สุด
และคนผู้นั้นนางก็ได้ทำการตัดสินใจเลือกไปแล้ว นั่นก็คืออวี้ฉือจ้าน และจะมิมีคนที่สองเพิ่มขึ้นมาเป็นอันขาด
“เจ้าได้ยินหมดแล้ว ยังมิคิดจะออกมาอีกอย่างงั้นหรือ?”
คำพูดของกู้ชิวเหลิ่งทำให้จูเอ๋อร์ตกใจ เห็นชัดว่าในห้องมิมีผู้ใดอยู่ แล้วเหตุใดจู่ๆ คุณหนูถึงพูดประโยคนี้ออกมา?
ในตอนที่จูเอ๋อร์กำลังงงงวย ชายผู้หนึ่งก็ได้เดินเข้ามาทางหน้าประตู ใบหน้าของเขาดูมิได้ น้ำเสียงก็แหบแห้ง
เขาก็คือญาชิงนั่นเอง
“ท่านอ๋องฝากข้านำของขวัญมาให้ เขาจะมิเดินทางไปในวันแต่งงาน”
ญาชิงวางกล่องผ้าในมือลงแล้วหันหลังกลับ
จูเอ๋อร์หยิบกล่องผ้าที่ถูกวางไว้ขึ้นมา ด้านนอกของกล่องผ้าดูงดงามละเอียดอ่อน เมื่อเปิดกล่องออก พบสร้อยข้อมือที่ทำด้วยไข่มุกอยู่หนึ่งเส้น เชือกซึ่งใช้ในการร้อยอาจดูเก่าไปเล็กน้อย แต่ไข่มุกนั้นสะดุดตาเป็นอย่างมาก
ภาพในหัวของกู้ชิวเหลิ่งลอยขึ้นมา เป็นเด็กสตรีในชุดผ้ากระสอบคนหนึ่งกำลังนั่งแอบอยู่ตรงมุมห้อง กำไลไข่มุกที่มือของเธอส่องประกายระยิบระยับท่ามกลางแสงแดด มิไกลจากตรงนั้นมีเด็กชายอายุ 6 ขวบคนหนึ่งยืนอยู่ อายุของพวกเขายังน้อย แต่กลับยืนอยู่ตรงนั้นเหมือนกับภูเขาอันแข็งแกร่ง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความแน่วแน่
ที่แท้นางก็รู้จักกับอวี่เหวินเจี๋ยตั้งแต่ยังเด็กนี่เอง
มิน่าแปลกว่าเหตุใดอวี่เหวินเจี๋ยจึงได้ดูเป็นห่วงกู้ชิวเหลิ่งถึงเช่นนี้
จูเอ๋อร์ลุกขึ้นมาพร้อมกล่าวว่า “นี่มันเป็นของที่อี๋เหนียงสามทิ้งไว้มิใช่หรือ? ก่อนหน้านี้คุณหนูสวมมันไว้มาโดยตลอด จู่ๆ มีอยู่วันหนึ่งก็บอกว่ามันหายไป คิดมิถึงเลยว่าจะอยู่ที่ท่านอ๋องรอง”
กู้ชิวเหลิ่งปิดกล่องผ้า รู้สึกเจ็บหัวใจขึ้นกะทันหัน นางรู้ว่านี่คือความจริงที่ทำให้ส่วนลึกของหัวใจเจ็บปวด
“นำมันไปเก็บเถิด”
จูเอ๋อร์กล่าวออกมาด้วยความลำบากใจ “คุณหนูจะมิใส่มันไว้หรือเจ้าคะ? ก่อนหน้านี้คุณหนูมอบกำไลข้อมือหยกมันแพะให้กับเซียวโหวเย๋น้อยไป บัดนี้ข้อมือของคุณหนูยังว่างอยู่ ข้าว่า……”
“มิจำเป็นต้องใส่มัน”
การที่อวี่เหวินเจี๋ยมอบกำไรข้อมือวงนี้ออกมา นั่นพิสูจน์แล้วว่าเขายอมแพ้ และหากนางนำกำไลข้อมือนี้ไปสวม นั่นเท่ากับว่าทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าตนเองยังมีหวัง
กู้ชิวเหลิ่งทำเรื่องใดก็ตามจะไม่ทิ้งช่องว่างไว้อย่างแน่นอน แม้ในอนาคตเซียวอวิ๋นเซิงและอวี่เหวินเจี๋ยจะกลายเป็นคนแปลกหน้า แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่นางได้ตัดสินใจไปแล้ว
จูเอ๋อร์เดินออกไปแล้ว ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมาจากในห้อง
“จะมิเสียใจอย่างนั้นหรือ?”
อวี้ฉือจ้านเดินออกมาจากมุมห้อง กู้ชิวเหลิ่งกล่าวออกไปว่า “ข้ารู้ว่าท่านอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรกแล้ว ข้ามีอะไรต้องเสียใจกัน?”
อวี้ฉือจ้านกล่าวอย่างใจเย็น “เจ้าอาจเสียใจที่วันนี้เจ้าไล่ทั้งสองคนนั้นไป หากในอนาคตข้ามิสามารถทำตามสัญญาที่ให้ไว้ได้ เช่นนั้นเจ้าจะทำอย่างไร?”
“เซ่อเจิ้งหวางขาดความมั่นใจในตนเองเช่นนี้ไปตั้งแต่เมื่อไร?”
กู้ชิวเหลิ่งเดินมาด้านหน้าอวี้ฉือจ้านพร้อมกล่าวว่า “พวกเรามีเป้าหมายเดียวกัน แต่พวกเขานั้นมิใช่ มิว่าจะเป็นแผนการหรือแนวทางก็ตาม ที่โบราณว่าหากความคิดต่าง ยากจะร่วมมือ สิ่งที่เซ่อเจิ้งหวางคิดจะทำ แน่นอนว่าท่านต้องทำมันจนสำเร็จ ข้าก็เช่นกัน เพื่อให้บรรลุซึ่งเป้าหมายแล้ว มิว่าจะแลกด้วยอะไรก็ยอม”
อวี้ฉือจ้านเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังของกู้ชิวเหลิ่ง เขายังจำครั้งแรกที่ได้เจอกับกู้ชิวเหลิ่งได้ดี เป็นการเจอกันในห้องโถง เขามิได้สนใจในตัวของสตรีคนนี้สักเท่าไร เพียงเห็นว่านางเป็นคนฉลาด และมีประโยชน์กับเขาเป็นอย่างมาก
มิแปลกเลยว่าเหตุใดฝู้จื่อโม่จึงกล่าวว่าพวกเขาทั้งสองนั้นคล้ายกันมาก บัดนี้แม้แต่เขาเองยังคิดว่ากู้ชิวเหลิ่งเป็นอีกหนึ่งตัวตนของเขา สามารถร่วมทุกข์ร่วมสุข เป็นสตรีที่จะเดินไปกับเขาจนวันสุดท้าย
“พวกเขาชอบเจ้า”
“ข้ารู้”
“การที่เจ้าปฏิเสธความรู้สึกของพวกเขาอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้ เคยคิดถึงผลที่จะตามมาหรือไม่?”
“นี่คือการรับผิดชอบกับความรู้สึกของตัวเองของข้า เมื่อเทียบกับการไปเล่นกับความรู้สึกของพวกเขา ข้าว่าปฏิเสธไปเลยจะดีกว่า ท่านมิคิดเช่นนั้นหรือ?”
อวี้ฉือจ้านกล่าวด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น “หากข้าบอกว่าข้าเองก็ชอบเจ้า เจ้าจะว่าอย่างไร”
กู้ชิวเหลิ่งผงะ มิกล้าเงยหน้าไปมองอวี้ฉือจ้าน “ของหมั้นก็มอบให้มาแล้วมิใช่หรือไง?”
“มิเกี่ยวกับผลประโยชน์ หาดเป็นเพราะข้าชอบเจ้าจากใจจริง เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ายังจะแต่งงานกับข้าอยู่หรือไม่?”
“ข้า……”
จู่ๆ กู้ชิวเหลิ่งก็พูดมิออก นางพบว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าอวี้ฉือจ้าน ดูเหมือนนางจะมิสามารถปฏิเสธสิ่งใดออกไปได้ หากมิมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง บางทีนางอาจจะมิยอมแต่งงานกับอวี้ฉือจ้าน แต่ทุกคำที่อวี้ฉือจ้านกล่าวออกมา มันกลับถูกฝังแน่นไปในหัวของนางในบัดนี้
อวี้ฉือจ้านยิ้มตรงมุมปาก จากนั้นกล่าวว่า “เจ้าหน้าแดงอย่างนั้นหรือ?”
กู้ชิวเหลิ่งหันศีรษะหนีทันที “ท่านตาฝาดไปแล้ว”
อวี้ฉือจ้านดึงกู้ชิวเหลิ่งเข้ามาใกล้เขามากขึ้น กู้ชิวเหลิ่งรู้สึกว่าตนเองหายใจหอบแรง
เมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอวี้ฉือจ้าน หัวใจของนางก็เต้นเร็วขึ้น
รอยยิ้มของอวี้ฉือจ้านทำให้นางยากจะละสายตา “ข้ารู้คำตอบนั้นแล้ว”
ร่างของกู้ชิวเหลิ่งเกร็งขึ้นทันที จูบของอวี้ฉือจ้านสัมผัสไปยังริมฝีปากของกู้ชิวเหลิ่ง ความเสียวซ่านแผ่ไปทั่วร่างกาย
จูบของอวี้ฉือจ้านเต็มไปด้วยความอ่อนโยน มิเหมือนกับจูบที่ไร้ซึ่งความรู้สึกในทะเลสาบครั้งนั้น
อวี้ฉือจ้านรู้สึกร้อนไปทั้งร่างกาย อยากจะกอดสตรีที่อยู่ด้านหน้าให้แหลกสลายในอ้อมแขน
ผ่านไปนานพอสมควร ในที่สุดอวี้ฉือจ้านก็ปล่อยกู้ชิวเหลิ่งออกจากอ้อมแขน เห็นริมฝีปากที่มีสีแดงเหมือนผลอิงเถาและแก้มที่แดงระเรื่อ
“มีเรื่องใดบ้างที่เจ้ามิกล้าทำ บัดนี้กลับรู้สึกเขินอายอย่างนั้นหรือ?”
กู้ชิวเหลิ่งผลักอวี้ฉือจ้านออกไป หันหลังพร้อมกล่าวว่า “วันนี้เซ่อเจิ้งหวางมาอยู่ที่นี่เป็นเวลานานแล้ว ข้ามีเรื่องอยากจะรบกวนท่าน”
รอยยิ้มที่มุมปากของอวี้ฉือจ้านถูกเผยออกมา “เจ้าจงกล่าวออกมา มิต้องเกรงใจ”
“หีบทองที่ท่านนำมาก่อนหน้านี้ รบกวนนำมันกลับไปด้วย”
“เจ้ากำลังคืนสินสอดให้ข้าอย่างนั้นหรือ?”
กู้ชิวเหลิ่งหันกลับมา ใบหน้าอันแดงระเรื่อได้จางลง นางกล่าวออกมาว่า “เซ่อเจิ้งหวางคิดมากเกินไปแล้ว แต่แค่เมื่อแต่งงานกันไปแล้ว การนำหีบทองออกไปจะกลายเป็นเรื่องน่าสงสัย การนำมันออกไปก่อน มิว่าอย่างไรหีบทองนี้ก็เป็นของข้าอยู่ดี”
อวี้ฉือจ้านกล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “กับทองหีบนี้และคลังสมบัติทองจวนเซ่อเจิ้งหวางทั้งหมดเป็นของเจ้า พรุ่งนี้ข้าจะส่งคนมาขนย้าย”