ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 160 ภารกิจถมทะเล
“ได้! ถือว่าเจ้าใจร้าย!”
เป่ยไห่เฟิงสั่งกำชับหญิงสาวสองคนที่ยืนข้างตนอย่างดุดันว่า “ยังจะยืนนิ่งงุนงงอยู่กระไร! เดินไปสิ”
สองต่อสี่ยังไงก็มิอาจจะเอาชนะได้ หนำซ้ำครั้งนี้เขาก็มิได้นำพิษงูติดตัวมาด้วย เมื่อครู่นั้นมิใช่เป็นเพียงแค่การข่มขวัญกู้ชิวเหลิ่งเท่านั้น แต่ประกอบกับกู้ชิวเหลิ่งที่มองภายนอกนั้นดูเป็นคนอ่อนโยน โดยมิอาจรู้เลยว่าไปร่ำเรียนวิชาการใช้พิษมาจากที่ใด หากเป็นเยี่ยงนี้แล้วครานี้เขาไม่เพียงแค่ถูกปฏิเสธ แต่กลับต้องเจอกับอุปสรรคเข้าแล้วนะสิ
องครักษ์ลับทั้งสี่ต่างไม่ไหวติง เพื่อรอคำสั่งของกู้ชิวเหลิ่ง ทว่าเมื่อกู้ชิวเหลิ่งเห็นเป่ยไห่เฟิงกำลังคิดหลบหนี ก็ไม่ได้สั่งการให้ไล่จับตัวกลับมาซึ่งทำให้ทั้งสี่คนต่างต้องข่มใจเป็นอย่างยิ่ง อวี้ฉือจ้านเคยกล่าวไว้ว่าหากเข้ามาในสวนจะต้องถูกสังหาร แต่ทว่าคนที่ยืนอยู่ข้างๆ บัดนี้คือว่าที่พระชายาในอนาคต พวกเขาจึงไม่กล้าที่จะเพิกเฉยต่อคำสั่งนาง ทำได้แค่เพียงปล่อยให้เป่ยไห่เฟิงหนีไป
กู้ชิวเหลิ่งเดิมทีก็ไม่อยากเผชิญหน้ากับเป่ยไห่เฟิง คำที่ได้ลั่นวาจาไปเมื่อครู่ไม่เพียงแค่ต้องการปล่อยเป่ยไห่เฟิงหลบหนีไปเอง นางเองก็คงไม่อยากให้องครักษ์ลับทั้งสี่คนต้องไล่ตามทำร้ายเขา แต่จริงแล้วนั้นเพื่อรักษาหน้าของตนเองต่างหาก
เหมือนกับที่เป่ยไห่เฟิงกล่าวไว้ไม่มีผิดว่านางไม่อาจผูกพยาบาทกับเขาได้อย่างแท้จริงหรอก ภายหน้าจะต้องใช้ประโยชน์จากเป่ยไห่เฟิงอย่างเลี่ยงไม่ได้ ฉะนั้นวันนี้ถือว่าเป็นการยกผลประโยชน์ให้จำเลยไป เพื่อไว้ใช้ต่อรองในภายหน้า
จูเอ๋อร์กลัวจนอ้าปากค้างพลางกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือว่า “คุณหนู เหตุใดท่านถึงยอมปล่อยไปล่ะเจ้าคะ……หากเขาย้อนกลับมาจะทำเยี่ยงไรเล่า?”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวสั่งกำชับว่า “พวกเจ้าไปเถอะ หากว่าเซ่อเจิ้งหวางเอ่ยถามเจ้า ก็ให้พวกเจ้ากล่าวไปตามความจริงว่าข้าเป็นคนสั่งให้ปล่อยตัวไปเอง”
องครักษ์ลับทั้งสี่ต่างงุนงงไปชั่วครู่ก่อนที่จะโค้งคำนับกล่าวว่า “รับทราบขอรับ!”
อีกด้านหนึ่ง อวี้ฉือจ้านกำลังนั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะเพื่อตรวจหาข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวกับงานเสกสมรสของเขากับกู้ชิวเหลิ่ง
ฝู้จื่อโม่นั่งอยู่โต๊ะด้านข้างด้วยสีหน้าหมองคล้ำ ขณะที่จ้องมองสาสน์กราบทูลที่กองอยู่เป็นภูเขาเลากา “ข้าจำที่เจ้าเคยกล่าวไว้ได้ว่าเจ้าไม่เหมาะกับการจัดเตรียมงานเสกสมรส เพราะเกรงว่าจะจริงจังเกินไป แล้วเหตุใดบัดนี้เจ้าถึงกลับมาใส่ใจกับงานเสกสมรสเยี่ยงนี้ได้เล่า? เจ้าไม่กลัวว่ากู้ชิวเหลิ่งจะรู้สึกไร้อารมณ์หรือ?”
เว้ยฉือจ้านกล่าวอย่างจริงจังว่า “ขั้นตอนพิธีงานเสกสมรสดำเนินการยากเย็นเสียกว่าสาส์นกราบทูลเหล่านั้นเสียอีก แต่ทว่าข้าประสงค์ที่จะเพิ่มเติมรายละเอียดสักเล็กน้อย ซึ่งมันก็มิได้เสียหายกระไร”
“เพิ่มเติม? “นี่เจ้ายังจะเพิ่มอีกหรือ? ฮ่องเต้ทรงทราบหรือไม่? เพราะนี้เป็นงานเสกสมรสของท่านอาตนเอง จึงเพิ่มภาระงานให้เจ้าเป็นสองเท่า หากบัดนี้ยังจะเพิ่มอีกละก็ เจ้าคงมิใคร่อยากจะจัดงานเสกสมรสของเจ้ากับกู้ชิวเหลิ่งให้เหมือนกับงานเสกสมรสเมื่อครั้งราชวงศ์ก่อนของฮูหยินฮวาฮุ่ยใช่หรือไม่?
ฮูหยินฮวาฮุ่ยในราชวงศ์ก่อนเคยเป็นคนรักของอดีตเซ่อเจิ้งหวาง เมื่อครั้งที่เข้าพิธีเสกสมรสกับฮูหยินฮวาฮุ่ย ชุดแต่งในพิธีช่างสวยงาม และการจัดพิธีอันยิ่งใหญ่อลังการอย่างมาก หลังจากเซ่อเจิ้งหวางเสกสมรสกับฮูหยินฮวาฮุ่ยความรักของทั้งคู่หอมหวานปานน้ำผึ้ง อดีตเซ่อเจิ้งหวางก็ให้สัตย์ว่าจะไม่รับนางสนมคนใดเข้ามา ทั้งสองจะครองรักกันจนแก่เฒ่า
เวลานี้อวี้ฉือจ้านกำลังครุ่นคิดก่อนที่จะกล่าวว่า “ที่กล่าวมาก็มิผิด ในเมื่อเจ้าเสนอมาเยี่ยงนี้แล้ว งั้นก็จัดงานเสกสมรสให้เหมือนครั้งของฮูหยินฮวาฮุ่ยเสียเลย จะเสียหายกระไรเล่าหากจะจัดขึ้นอีกครั้ง เรื่องนี้มอบให้เจ้าเป็นคนจัดการ เสียเงินทองเท่าใดมิใช่ปัญหา”
ฝู้จื่อโม่แทบเกือบจะตกจากเก้าอี้ เขาจ้องมองเซ่อเจิ้งหวางด้วยสีหน้าแสดงอาการตกตะลึงพลางกล่าวว่า “เจ้าคิดสิ่งใดอยู่? เจ้ามิรู้หรอกหรือว่าเงิน……มิต้องกล่าวถึงเงินหรอก แค่เจ้าอยากจะใช้ชุดแต่งในพิธีเสกสมรสเยี่ยงนั้น มิคิดว่ามันฟุ่มเฟือยเกินไปงั้นหรือ! ถึงจะมีเงินเจ้าก็มิควรทำเยี่ยงนี้……. ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าสองคนเป็นเพียงแค่คู่สามีภรรยาในนาม แม้เจ้าแต่งงานกับนางไปก็มิอาจจะแตะต้องตัวนางได้ ข้าจะบอกว่าให้เจ้าเพลาลงบ้างเถิด ข้ามิยินดีที่จะจ่ายเงินมากมายเยี่ยงนี้”
เซ่อเจิ้งหวางกล่าวตอบ “ใช้เงินจากในคลังของข้า เจ้ามีหน้าที่แค่ไปจัดการเท่านั้น ”
ฝู้จื่อโม่โบกมือกล่าวว่า “ข้าไม่ทำ หัวเด็ดตีนขาดเยี่ยงไรข้าก็ไม่ทำ ต้องใช้เวลาจัดเตรียมกว่าครึ่งเดือน เหนื่อยเยี่ยงนั้นข้ามิเอาด้วยหรอก ”
เซ่อเจิ้งหวางหรี่ตาลงเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “เจ้าจะมิทำจริงงั้นหรือ?”
“ข้ามิทำ! ข้าบอกว่ามิทำก็คือมิทำ! ”
เซ่อเจิ้งหวางกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “อายุเจ้าหาใช่น้อยๆ แล้ว ในเมื่อข้าจะเข้าพิธีเสกสมรสแล้วก็ต้องทำให้สมเกียรติกับฮองเฮาหน่อยสิ เยี่ยงนั้นแล้วเจ้า……”
ฝู้จื่อโม่ตบโต๊ะไปหนึ่งฉาดพลางกัดฟันกรอดกล่าวว่า “ทำก็ทำ!”
แม้ว่าฝู้จื่อโม่จะเจ้าชู้ แต่ก็คงจะไม่แต่งตั้งหญิงที่ตนเองไม่พึงใจให้เป็นซื่อจื่อเฟยอย่างแน่นอน เซ่อเจิ้งหวางมองทะลุปรุโปร่งในข้อนี้ ฉะนั้นทุกครั้งจึงมักจะข่มขู่เขาโดยไม่ลดราวาศอก
หากรู้มาก่อนว่าเซ่อเจิ้งหวางจะใช้ไม้นี้เพื่อจะจัดงานเสกสมรสแล้วละก็ ทุกอย่างที่กล่าวมาเมื่อครู่ก็เปล่าประโยชน์สินะ
ฝู้จื่อโม่ตรวจทานหนังสือต่างๆ ที่อยู่ตรงหน้าตนอย่างขาดสติ แลรู้สึกขึ้นมาในบัดดลว่าชีวิตคนเรานั้นช่างเบื่อหน่าย
นอกประตูมีองครักษ์ลับคนหนึ่งวิ่งมา ใจอันกลัดกลุ้มของฝู้จื่อโม่ที่มีอยู่เดิมนั้นก็ยิ่งทวีเพิ่มขึ้น
“ผู้ใดกัน! ไม่เห็นรึว่าข้ากำลังยุ่งอยู่!”
ทันทีที่เซ่อเจิ้งหวางเห็นว่าองครักษ์ลับที่วิ่งมาผู้นั้นเป็นคนที่เขาส่งไปคุ้มกันกู้ชิวเหลิ่งอย่างลับๆ จึงขมวดคิ้วพลางถามว่า “เกิดอันใดขึ้น? หรือจะมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นกับพระชายา?
องครักษ์ลับโค้งคำนับแล้วกล่าวว่า “ขอรายงานขอรับนายท่าน มิมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นกับพระชายาขอรับ เพียงแต่เมื่อครู่เจ้าน่านน้ำเป่ยไห่เฟิงบุกรกเข้ามาในสวนเฉินเซียง พวกข้าน้อยมัวแต่คุ้มกันพระชายาอยู่ข้างๆ จึงมิได้ไล่ตามจับตัวขอรับ ”
เซ่อเจิ้งหวางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เข้าใจถึงความหมายของกู้ชิวเหลิ่งทันที
หากลองใคร่ครวญดูจากเจตนาของกู้ชิวเหลิ่งแล้วละก็ การที่นางอยากจะปลิดชีวิตเป่ยไห่เฟิงมิใช่เรื่องยาก ยิ่งไปกว่านั้นเป่ยไห่เฟิงก็มิอาจจะต่อกรกับทั้งสี่คนที่เขาส่งไปได้อย่างแน่นอน แต่ประมาณได้ว่าการที่กู้ชิวเหลิ่งจงใจปล่อยเป่ยไห่เฟิงไป ก็คงจะคิดเพื่อผลประโยชน์ในภายหน้าเป็นแน่
แม่หนูนี่ฉลาดเป็นกรดเสียจริง
รอยยิ้มบนใบหน้าของอวี้ฉือจ้านเผยออกมาให้เห็น ฝ่ามือขององครักษ์ลับที่กำลังคุกเข่ามาแต่แรกนั้นเต็มไปด้วยเหงื่ออย่างกลั้นมิได้แล้ว ครั้งนี้นับว่ารอดตัวที่นายท่านมิได้ลงนางทษ แต่คิดไม่ถึงว่า……ยังจะยิ้มออกได้อย่างไร?ฝู้จื่อโม่ไม่คุ้นชินกับรอยยิ้มเช่นนี้ของอวี้ฉือจ้านจึงรีบกล่าวขึ้น “เจ้ายังนั่งงุนงงกระไรอยู่อีกเล่า? ที่นี่ไม่มีธุระอันใดกับเจ้าแล้ว กลับไปคุ้มกันว่าที่พระชายาที่สวนเฉินเซียงอย่าให้คาดสายตา!”
องครักษ์ลับที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้วยความรู้สึกอยากจะไปอยู่เต็มประดานั้น เมื่อได้ยินฝู้จื่อโม่กล่าวเช่นนั้นจึงโค้งคำนับแล้วกล่าว “ ข้าน้อยขอลา!”
เมื่อฝู้จื่อโม่เห็นองครักษ์เดินไป อวี้ฉือจ้านแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินและกล่าวฉีกหน้าอย่างทนไม่ได้ว่า “ดูเจ้าสิ ขนาดยังมิได้เสกสมรสก็สร้างศัตรูแล้ว แม้ว่าเป่ยไห่เฟิงจะมิได้มีรูปงามเช่นเจ้า แต่ทว่าสายตาของเขานั้นเฉียบแหลมยิ่งนัก หากกู้ชิวเหลิ่งยอมหนีไปกับเขา เจ้าเองก็มิอาจทำกระไรได้!
เดิมทีนั้นฝู้จื่อโม่ตั้งใจอยากจะใช้คำกล่าวเช่นนี้เพื่อจี้จุดเขา ใครจะไปรู้เล่าว่าเมื่ออวี้ฉือจ้านได้ฟังประโยคเหล่านี้แล้วสีหน้าจะเคร่งขรึมในบัดดล “ถ้าเขากล้าละก็ ข้าจะล้างบางตระกูลนั้นให้ราบคาบ”
“โอ้! น้ำเสียงเจ้าดูกล้าหาญนัก ดูเหมือนว่าเจ้าจะต้องถมพื้นทะเลทั้งหมดในใต้หล้านี้ใช่หรือไม่? แต่กว่าเจาจะล้างตระกูลเขาให้หมดสิ้นไปได้ ทายาทคนใหม่ของพวกเขาคงจะถือกำเนิดขึ้นแล้วล่ะ”
เซ่อเจิ้งหวางหรี่ตาเล็กน้อย “เจ้ายังมีงานไม่มากพออีกงั้นหรือ? เยี่ยงนั้นข้าจะมอบหมายภารกิจถมทะเลนี้ให้เจ้าเป็นไร?”
ฝู้จื่อโม่ได้สร้างหลุมพรางให้กับตนเองอย่างไม่คาดคิดพลางเร่งโบกมือกล่าวว่า “ข้าไม่ได้กล่าวกระไรสักหน่อย! เพียงแค่กล่าวขำขันเท่านั้น แม้นว่าเป่ยไห่เฟิงจะอาจหาญเพียงใด กู้ชิวเหลิ่งก็คงจะไม่หนีไปกับเขาอย่างแน่นอน!”
อวี้ฉือจ้านกล่าวว่า “จะหนีตามเขาไปหรือไม่ก็ตามแต่ หากข้าไม่ปล่อยนางไป ดูสิว่าจะเป็นเยี่ยงไร?
ฝู้จื่อโม่ยิ้มแห้งๆ พลางกล่าวว่า “เจ้าช่างเก่งกาจเสียนี่กระไร ใครใช้ให้เจ้าคือเซ่อเจิ้งหวางกันเล่า? แม้นเป็นฮ่องเต้เสด็จมาด้วยพระองค์เอง เจ้าก็คงมิเกรงกลัว”