ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 167 หึงหวง
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 167 หึงหวง
ในตอนที่ทุกคนกำลังอุทานอย่างตกตะลึงว่า เป่ยไห่เฟิงมอบไข่มุกเจ็ดสีหนึ่งลูกออกมาได้ง่ายๆเลย กู้ชิวเหลิ่งก็เอ่ยปากบอก “ต่างว่ากันว่า อ๋องไห่นั้นใจกว้างนัก คำพูดนี้เป็นเท็จจริงๆ ถึงไข่มุกเจ็ดสีนี่จะล้ำค่า แต่สำหรับอ๋องไห่แล้ว มิเท่าไหร่กระมัง?”
กู้ชิวเหลิ่งพูดไม่ผิดเลย ถึงไข่มุกเจ็ดสีจะล้ำค่า แต่สำหรับเป่ยไห่เฟิงแล้ว ประหนึ่งดินปุ๋ยก็ไม่ปาน ตอนนี้แค่เขาสะบัดชายเสื้อ ก็มีไข่มุกเจ็ดสีหลายลูกร้อยเป็นสร้อยเลย อย่าว่าแต่ไข่มุกเจ็ดสีเลย ต่อให้เป็นไข่มุกสีรุ้งสิบสองสีก็มี
คนในที่นั้นต่างรู้กันดีว่า เป่ยไห่เฟิงพูดเข้าข้างตนเองในคำพูดนั้น พอเข้ามาก็จะมาแย่งเจ้าสาว ไม่คิดจะมามอบของขวัญยินดีสักนิด ตอนนี้พอโดนกู้ชิวเหลิ่งตอกเข้าให้หน่อย เป่ยไห่เฟิงไม่หาของขวัญล้ำค่าจริงจังมามอบให้สักชิ้นก็ไม่ได้การละ
เป่ยไห่เฟิงเข้าใจแล้วว่า อวี๋ฉือจ้านต้องการให้เขาลำบากใจ กู้ชิวเหลิ่งยิ่งอยากได้เงินหรือของล้ำค่าจากตัวเขา
ไม่เป็นมิตร ไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย!
เป่ยไห่เฟิงฝืนพูดว่า “ข้าก็แค่รีบร้อนมาเท่านั้นมิได้รึ? พวกท่านรับไว้ ไข่มุกเจ็ดสีลูกนี้มีสรรพคุณขับไล่ความเย็น รอผ่านไปสักหลายวัน ข้าจะเตรียมของขวัญล้ำค่าจริงจังให้พวกท่านอีก”
อวี๋ฉือจ้านแย่งพูดก่อนกู้ชิวเหลิ่งว่า “น่ากลัวจะสายแล้ว อีกสองวันข้ากับพระชายาจะไปท่องเที่ยวฉลองน้ำผึ้งพระจันทร์กัน ข้าขอลาพักครึ่งปีแล้ว จะไปท่องเที่ยวประเทศอื่นสักหน่อย”
กู้ชิวเหลิ่งหันมองอวี๋ฉือจ้านทันที อวี๋ฉือจ้านพูดว่าจะไปประเทศอื่นดูไม่เหมือนไปฉลองน้ำผึ้งพระจันทร์ง่ายดายเพียงนั้น ยิ่งไปกว่านั้นพูดออกมาในยามนี้ ลาครึ่งปีคือจะตามนางไปต้าฉี?
เป่ยไห่เฟิงหาข้ออ้างให้ตนเองว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกท่านก็ตามข้ากลับทะเลได้ ที่นั่นสนุกมาก ไข่มุกเจ็ดสีนี่มีมากมายนับไม่ถ้วน!”
อวี๋ฉือจ้านพูดเสียงต่ำว่า “ดูท่าจะมิได้”
“เหตุใดกัน?”
“พระชายาเมาทะเล ดังนั้นไปมิได้”
เมาทะเล คำพูดนี้พึ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก อวี๋ฉือจ้านไม่รู้จูงมือกู้ชิวเหลิ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ ท่าทางดูสนิทสนมยิ่งนัก
ถึงเป่ยไห่เฟิงจะสนใจในตัวกู้ชิวเหลิ่ง แต่ถ้าเป็นสตรีของอวี๋ฉือจ้าน เช่นนั้นเขาจะไม่แตะต้อง
ในความคิดของเป่ยไห่เฟิง สตรีที่อวี๋ฉือจ้านชอบพอ ย่อมมิใช่คนดีอะไรแน่นอน
เป่ยไห่เฟิงโดนดักคอไว้หมดแล้ว สามีภรรยาคู่นี้ไม่ยอมให้ทางรอดแก่เขาเลย แม้แต่โอกาสในการพูดเข้าข้างตนเองก็ไม่ยอมให้เขา ถ้าเป็นศัตรูกับต้าเยียนเขาไม่กลัว แต่ถ้าเป็นศัตรูกับอวี๋ฉือจ้าน เขายังหวาดหวั่นอยู่หลายส่วน
กู้ชิวเหลิ่งบอกว่า “อ๋องไห่เป็นแขก เชิญเข้าร่วมงานเถอะ พวกเราจะกลับไปแล้ว”
กู้ชิวเหลิ่งพูดให้ทางเขาก่อน ทำให้เป่ยไห่เฟิงค่อนข้างตกใจ เขาอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก็ไม่พูดอะไร
กู้ชิวเหลิ่งเลิกคิ้วบอก “ดูท่าอ๋องไห่จะมิใคร่อยากเข้าร่วมงาน เช่นนั้น…”
“ข้าชื่นชมต้าเยียนของพวกท่านที่ต้อนรับอย่างดีอีกทั้งข้าวของอุดมสมบูรณ์ ไม่เหมือนกับพวกต้าฉีที่ไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย วันนี้เป็นวันดีของเซ่อเจิ้งหวางกับพระชายาของเซ่อเจิ้งหวาง พระชายาของเซ่อเจิ้งหวางยังเชื้อเชิญด้วยความจริงใจ เช่นนั้นข้าเข้าร่วมล่ะนะ!”
อวี๋ฉือกงมุมปากกระตุก เมื่อครู่กู้ชิวเหลิ่งพูดคำนั้นออกมาเพราะรำคาญต่างหาก เหตุใดจึงกลายเป็นเชื้อเชิญด้วยความจริงใจได้เล่า?
แต่เพื่อเข้าขากับอาสะใภ้ตนเอง อวี๋ฉือกงได้แต่คล้อยตามว่า “คนมา เตรียมเชิญอ๋องไห่เข้าร่วมงาน”
ในตอนที่ทุกคนพากันยกมือคารวะกับเป่ยไห่เฟิง อวี๋ฉือจ้านได้จูงมือกู้ชิวเหลิ่งออกจากท้องพระโรง
อวี๋ฉือกงพูดอย่างหัวเสียเล็กน้อย “ข้ายังมิได้อนุมัติการลาเลยนะ…”
สีหน้าฝู้จื่อโม่แทบจะตีอกชกหัวร้องไห้อยู่แล้ว “คนที่ไม่อยากให้ฝ่าบาทอนุมัติการลานี้ ควรจะเป็นข้า”
ทั้งสองคนคิดไปถึงฎีกาที่วางกองกันเป็นภูเขาพร้อมกัน พออวี๋ฉือจ้านไป ประหนึ่งภูเขาล้มทับเลย! อวี๋ฉือจ้านนั่งลงในเกี้ยวพร้อมกับกู้ชิวเหลิ่ง กู้ชิวเหลิ่งเอ่ยปากถามว่า “เมื่อครู่ท่านพูดกับเป่ยไห่เฟิงว่าจะขอลางานครึ่งปี พูดจริงรึ?”
อวี๋ฉือจ้านยิ้มบอก “พูดจริง หรือว่าเจ้าคิดว่าสามีพูดเท็จรึ?”
“อันที่จริงท่านไม่ต้องขอลาก็ได้ ข้า….”
อวี๋ฉือจ้านตัดบทว่า “ถึงเจ้าจะไม่บอกข้าหลายเรื่อง แต่ข้ารู้ว่า จวินหวาเทียนกลับมาแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ช้าก็เร็วเจ้าต้องไปต้าฉีแน่”
“ถึงจะต้องไปต้าฉี ก็มิใช่เรื่องใหญ่อะไร ข้าคนเดียวรวมกับพลังของจวินหวาเทียนก็เพียงพอแล้ว ท่านขอลาครึ่งปี ต้าเยียนจะทำอย่างไร?”
อวี๋ฉือจ้านเลิกคิ้วน้อยๆ ยื่นหน้ามากระซิบข้างหูกู้ชิวเหลิ่งว่า “ข้าไม่ค่อยวางใจให้เจ้าไปประเทศอื่นกับชายอื่น แรงหึงหวงของข้ามากโขอยู่นะ”
นี่เป็นครั้งแรกที่กู้ชิวเหลิ่งได้ยินคนบอกนางว่าหึง
ต่อให้เป็นชาติก่อน ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างนางกับจวินหวาเทียนจะสนิทสนมเพียงไหน จวินฉีเซิ่งก็ไม่เคยหึงหวงเลยสักครั้ง และยังวางใจให้นางคบหากับจวินหวาเทียนอย่างมากด้วย
ตอนนี้นางถึงรู้ว่า จวินฉีเซิ่งไม่เคยหึงหวง ในหัวใจของจวินฉีเซิ่งนั้น ยิ่งนางกับจวินหวาเทียนสนิทสนมกันมากแค่ไหน สำหรับเขาแล้วก็จะได้ข่าวกรองมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ถึงเวลาจะปรักปรำว่าตระกูลมู่หรงกับจวินหวาเทียนจะก่อกบฏก็ยิ่งง่ายดายขึ้น
เพียงแต่นางมารู้ในตอนนี้ มันสายเกินไป
อวี๋ฉือจ้านพูดอย่างไม่พอใจว่า “กำลังคิดอะไรรึ?”
“หือ? ข้าเพียงแค่กำลังคิดว่าเซ่อเจิ้งหวางแห่งต้าเยียนผู้ยิ่งใหญ่จะพูดจาเง้างอนเช่นนี้ หากโดนผู้อื่นได้ยินเข้า มิขายหน้าหมดรึ?”
“เง้างอนกับเมียตนเอง ผู้ใดจะกล้าพูดมาก? ต่อให้มีคนขบขัน ขายขี้หน้าแล้วอย่างไรเล่า? นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่มีเมียที่มีศีลธรรมจรรยา พวกองุ่นเปรี้ยวทั้งนั้นล่ะ”
ในใจกู้ชิวเหลิ่งถึงจะยินดีที่ได้ฟังคำหวานพวกนี้ แต่ก็ยังทำหน้าขึงขังบอกว่า “ไม่ว่าจะอย่างไร ตอนนี้ท่านมิอาจไปได้ จะอย่างไรต้องช้าไปอีกหนึ่งเดือน ต้าฉีพึ่งจะจากไป ท่านกับข้าก็รีบตามไปติดๆเลย ผู้อื่นจะคิดสงสัยได้ ข้าจะไปสืบกับจวินหวาเทียนก่อน ท่านจัดการต้าเยียนให้ดี จัดระเบียบกองทหารรักษาพระองค์และกองทหารทุกกอง เพื่อป้องกันว่า หากท่านไปแล้ว ประเทศอื่นจะคิดเหิมเกริมมารุกราน ต่อให้พี่ชายข้าอยู่ ก็ไม่แน่จะสามารถยับยั้งประเทศใกล้เคียงไว้ได้”
อวี๋ฉือจ้านจะไม่รู้ว่า ตอนนี้ต้าเยียนพึ่งมั่นคง ต้องระมัดระวังอำนาจประเทศใกล้เคียงรึ?
เพียงแต่คิดถึงว่าจวินหวาเทียนไปกับกู้ชิวเหลิ่งสองคนตามลำพัง เขาก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
กู้ชิวเหลิ่งแกล้งพูดว่า “ถ้าท่านไม่วางใจจริงๆ ก็ให้จีเฟิงอยู่ข้างกายข้ามิดีรึ? อย่างไร เซ่อเจิ้งหวางมิมีความมั่นใจในเสน่ห์ของตนเลยรึ? หรือว่าท่านไม่เชื่อใจข้า?”
อวี๋ฉือจ้านบอกทันทีว่า “ข้ามีหรือจะไม่ไว้ใจเจ้า? ข้าไม่ไว้ใจจวินหวาเทียนต่างหาก…”
“จวินหวาเทียนเป็นคนอย่างไรท่านรู้ดีแก่ใจ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของโลกภายนอกดีมาตลอด เหนือยิ่งไปกว่าท่านอีก เพียงแต่โชคร้าย ต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้ ไม่มีทางทำอันใดข้าหรอก”
อวี๋ฉือจ้านหน้าดำคร่ำเครียดบอก “ก็เพราะชื่อเสียงเขาดียิ่งนัก หน้าตามิเลว และไม่ด้อยไปกว่าข้าเลย ถึงได้มิวางใจอย่างไรเล่า”
กู้ชิวเหลิ่งพยักหน้าอย่างครุ่นคิด พลางว่า “ที่แท้ พูดไปพูดมาท่านไม่วางใจข้ารึ?”
“ข้า…มิกล้า”