ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 174 ตอบโต้และต่อกร
สนมหวางเหม่ยเหรินพูดจาตรงเผ็ง ทำเอาสีหน้าฉินโม่เอ๋อร์มีแววกระอักกระอ่วน
สนมเล่อผินและสนมหวางเหม่ยเหรินสบตากัน ในแววตาล้วนมีแววสาแก่ใจกัน
สนมหวางเหม่ยเหรินพูดถึงขั้นนี้แล้ว ฉินโม่เอ๋อร์เลยได้แต่เปิดปากถามว่า “มิทราบว่าน้องท่านพูดเช่นนี้หมายความว่ากระไร? ชุดนี้มีสิ่งใดมิสมควรรึ?”
สนมหวางเหม่ยเหรินตอบว่า “ฉินเฟยอยู่ไกลถึงต้าเยียน ย่อมมิรู้กฎระเบียบของต้าฉีเราอยู่แล้ว ในตำหนักหลังจะใส่ชุดสีขาวมิได้ หรือว่าพระนางไม่รู้สึกรึว่า ใส่ชุดขาวไว้ เหมือนกำลังจัดงานศพ? ฉินเฟยเป็นสนมที่ฝ่าบาททรงโปรดปราน แต่งกายเยี่ยงนี้ทุกวัน ถือเป็นการไม่เคารพต่อฝ่าบาทเป็นอย่างมาก”
ฉินโม่เอ๋อร์คงสีหน้าไม่อยู่ ได้แต่ฝืนยิ้มว่า “แต่ฝ่าบาทมิเคย…”
สนมหวางเหม่ยเหรินแทรกทันที “ถึงฝ่าบาทมิเคยกล่าวว่าอันใด เพราะเห็นแก่ว่าฉินเฟยพึ่งมาต้าฉีได้ไม่นาน เลยยอมอ่อนข้อให้ แต่ในเมื่อพวกหม่อมฉันพบเข้าแล้ว ย่อมต้องบอกกล่าวแก่ฉินเฟย จะไม่รู้ระเบียบมิได้เด็ดขาด มิเช่นนั้นจะถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะเอาได้”
ไฉ่ฉินยืนดูอยู่ข้างๆ ทนไม่ไหวยิ้มออกมา เดิมนางเป็นนางกำนัลที่มู่หรงอี๋ส่งมาอยู่ข้างกายฉินโม่เอ๋อร์ เพื่อไม่ให้ฉินโม่เอ๋อร์อยู่อย่างเป็นสุขนัก ปกติ สนมหลี่ผินเป็นคนเย็นชา ไม่ค่อยเสวนากับผู้ใด สุขุมนุ่มลึก ส่วนสนมหวางเหม่ยเหรินกับสนมเล่อผินต่างขึ้นชื่อเรื่องเอะอะอาละวาด และชอบหึงหวง มิมีทางยอมให้ฉินโม่เอ๋อร์มีความสุขแน่
วังเจาหรงภายภาคหน้าคงสนุกมากขึ้นแน่ๆ
รอจนทั้งสามคนออกไป ฉินโม่เอ๋อร์ถึงสั่งว่า “เจ้าออกไปก่อน”
“เพคะ”
รอจนไฉ่ฉินออกไป ฉินโม่เอ๋อร์ถึงเริ่มหายใจแรงขึ้น
ฉินโม่เอ๋อร์กวาดถาดผลไม้บนโต๊ะทิ้งลงพื้นหมด นางน่าจะรู้ดีก่อนแล้วว่า ทั้งสามคนมิได้มาดี แต่ไม่คิดว่าจะกล้าเหิมเกริมต่อหน้านางเยี่ยงนี้
ความโกรธในครั้งนี้นางจะทนได้อย่างไร?
ไม่รู้ว่าหรูเสวี่ยมาปรากฎตัวต่อหน้าฉินโม่เอ๋อร์ตั้งแต่เมื่อใด และหยิบขวดกระเบื้องเคลือบออกมาจากในอกพลางว่า “คุณหนู ทานยาเถอะ”
“นับจากบัดนี้เป็นต้นไป! เรียกข้าว่าฉินเฟย!”
หรูเสวี่ยคุกเข่าครึ่งหนึ่งลงพื้น พูดอย่างนอบน้อมว่า “ฉินเฟย ท่านหอบหายใจแรงเกินไป ทานยาเถอะ”
ฉินโม่เอ๋อร์ยื่นมือไปรับขวดกระเบื้องในมือหรูเสวี่ย มองดูเม็ดยาที่แผ่ซ่านกลิ่นหอมจากด้านใน จากนั้นหยิบเม็ดหนึ่งออกมาใส่ปาก พลางว่า “ท่านพ่อส่งเจ้ามาปกป้องข้า เจ้าต้องช่วยข้า ช่วยข้าฆ่าสามคนนั้น”
หรูเสวี่ยพูด “หากตอนนี้ฆ่าพวกนาง เกรงว่าจะไม่เหมาะสมหรือไม่?”
“ตอนนี้ไม่ฆ่า ช้าเร็วก็ต้องฆ่า! เจ้ารอดูไปเถอะ รอคำสั่งข้า ข้าจะให้พวกนางชดใช้ในสิ่งที่พูดออกมาวันนี้!”
หรูเสวี่ยพูดอย่างนอบน้อมว่า “ข้าน้อยทูลลา”
ฉินโม่เอ๋อร์กินยาแล้วถึงรู้สึกสงบลง ทั้งตำหนักใหญ่มีนางแค่คนเดียว พอมองเครื่องกระเบื้องเต็มพื้น ฉินโม่เอ๋อร์จึงสั่งการออกไปว่า “ไฉ่ฉินให้คนเข้ามาเก็บกวาดเสีย”
ไฉ่ฉินเดินเข้ามา เห็นเพียงฉินโม่เอ๋อร์กำลังนั่งหวีผมอย่างเป็นลำดับขั้นตอน และตรวจดูใบหน้าและทรงผมของตนเอง ส่วนของบนพื้นเห็นได้ชัดว่า เป็นเพราะฉินโม่เอ๋อร์ปัดกระจายลงพื้นอย่างโกรธจัด
ไฉ่ฉินบอก “ข้าน้อยจะให้คนมาปัดกวาด”
“ช้าก่อน!”
ไฉ่ฉินชะงักฝีเท้าลง ฉินโม่เอ๋อร์เดินมายืนหน้าไฉ่ฉิน พลางกวาดตามองพินิจไฉ่ฉินอย่างละเอียด ก่อนบอก “ข้าไม่ชอบให้คนในตำหนักมีมากเกินไป เจ้าจัดการเถอะ”
ไฉ่ฉินเหลือบตาขึ้นมอง เห็นฉินโม่เอ๋อร์ขมวดคิ้ว ได้แต่รับคำ “เพคะ”
ฉินโม่เอ๋อร์รู้สึกอารมณ์ดียิ่งนัก นางมิได้โง่ วันนี้ทั้งสามคนนั่นตอบโต้และต่อกรกับนาง ทั้งๆที่จงใจทำให้นางเสียหน้า แต่ไฉ่ฉินที่อยู่ข้างกายกลับมิได้พูดแทนนางสักคำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงช่วยแก้สถานการณ์เลย
พูดอย่างนี้ ทั้งหมดนี้เป็นการวางแผนของมู่หรงอี๋ ไฉ่ฉินเป็นนางกำนัล เรื่องจัดคนย่อมเป็นการตัดสินใจของผู้ครองวังหลังอย่างมู่หรงอี๋แน่นอนอยู่แล้ว ดังนั้นไฉ่ฉินคงเป็นคนที่ไฉ่ฉินส่งมาจับตาดูนางแน่
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางจะยอมให้ไฉ่ฉินผู้นี้มีความสุขได้อย่างไรกัน?
นางจะให้ทุกคนดูว่า นางฉินโม่เอ๋อร์ มิได้รังแกกันง่ายๆ
ทางนี้กู้ชิวเหลิ่งกับจวินหวาเทียนใกล้เข้าสู่ต้าฉีแล้ว ระหว่างทางถือว่าราบรื่นอยู่ แต่ว่าอาการป่วยของต้าฉีกลับสาหัสยิ่งกว่าที่กู้ชิวเหลิ่งคาดคิดไว้
“นี่เป็นที่มั่นซึ่งอยู่ภายใต้ชื่อข้า ดีกว่าโรงเตี๊ยมที่เข้าพักหลายวันก่อนหน่อย” กู้เจินช่วยคลุมเสื้อคลุมให้จวินหวาเทียน พลางนั่งลงข้างๆและพูดว่า “ข้าให้คนไปสืบแล้ว ด้านหน้าคือขอบเขตต้าฉี”
กู้ชิวเหลิ่งหันมองท้องฟ้าด้านนอก และมองใบหน้าซีดเผือดของจวินหวาเทียน พลางว่า “พักผ่อนคืนหนึ่งแล้วพวกเราค่อยไปเถอะ เดินทางมาหลายวัน ก็เหนื่อยมากแล้ว”
จวินหวาเทียนเหลือบตาขึ้นมองกู้ชิวเหลิ่ง พลางว่า “ตอนนี้ก็แค่เที่ยง ตอนบ่ายยังเดินทางได้” กู้ชิวเหลิ่งพูดอย่างไม่ยอมให้ปฏิเสธว่า “ร่างกายเจ้าทนไม่ไหว ต่อให้พวกเราไป จะไปได้ไกลแค่ไหน? หากหาโรงเตี๊ยมมิเจอ ร่างกายของเจ้าเป็นอย่างนี้ข้าไม่ยอมให้ค้างอ้างแรมในป่าแน่”
กู้เจินเองก็บอกว่า “ร่างกายของท่านทนต่อไปไม่ได้นานเพียงนี้ อีกอย่างหลายวันนี้ก็เดินทางเหน็ดเหนื่อยแล้ว พักผ่อนสักระยะหนึ่ง มิเป็นไรดอก”
จวินหวาเทียนไอออกมาอย่างรุนแรงอีกครั้ง พลางว่า “แค่สามปี ข้าก็กลายเป็นภาระเสียแล้ว”
“เจ้าพูดบ้าอะไร!”
กู้ชิวเหลิ่งลุกพรวดขึ้นมา มองดูจวินหวาเทียนอย่างอารมณ์พลุ่งพล่าน “เมื่อก่อนเจ้ามิเคยพูดถึงตนเองเช่นนี้ และเจ้าเองก็มิใช่ภาระด้วย”
“เป็นภาระหรือไม่ ข้ารู้ตัวเองดี ต่อให้คอยกินยารักษาตัว ร่างกายข้าก็อยู่ไม่เกินหลายปีนี้แล้ว อาชิวเจ้าน่าจะเข้าใจข้าดี ถ้ามิใช่เพราะตระกูลมู่หรงและเสด็จพ่อ มิใช่เพราะเจ้าและองค์รัชทายาท ข้าคงฆ่าตัวตาย จบชีวิตนี้ไปนานแล้ว”
กู้ชิวเหลิ่งขมวดคิ้วพลางว่า “เจ้าพักผ่อนให้ดีๆ ไม่ว่ายังไงก็ตาม เจ้าก็เป็นพี่ชายที่ข้าเคารพนับถือ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
จวินหวาเทียนเผยรอยยิ้มบางออกมา แต่สายตากลับมีแต่ความเศร้าเก็บอยู่
กู้เจินฟังอยู่ข้างๆอย่างงุนงง เขายิ่งรู้สึกแปลกใจที่จวินหวาเทียนเรียกกู้ชิวเหลิ่งว่าอาชิว
เพียงแต่เขามิได้เอ่ยปากถาม
กู้ชิวเหลิ่งบอกกู้เจินว่า “รบกวนเจ้าดูแลเขาด้วย ข้าจะออกไปรับลมเสียหน่อย”
กู้เจินพยักหน้าบอก “ท่านวางใจได้”
กู้ชิวเหลิ่งพึ่งเปิดประตูออกไป ก็เห็นจีเฟิงยืนรอหน้าประตูนานแล้ว
กู้ชิวเหลิ่งพูดด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “เจ้านายเจ้าให้เจ้ามาปกป้องข้า มิใช่ให้เจ้ามาแอบฟังพวกเราคุยกัน”
จีเฟิงรีบบอก “ข้าน้อยมิกล้า! ข้าน้อยมิได้ยินอะไรทั้งนั้น! แค่ยืนรอพระชายาออกมาอยู่ตรงนี้เท่านั้น! พระชายาอย่าคิดมากเลย”
“เจ้าได้ยินหรือไม่มิสำคัญ ข้าหิวแล้ว ให้พ่อบ้านตระเตรียมกุ้งผัดผักและโจ๊กลูกบัว ส่งไปที่ห้องคุณชายมู่”
จีเฟิงอดถามขึ้นไม่ได้ว่า “พระชายา ท่านจะทานอาหารกลางวันที่ห้องคุณชายมู่รึ?”
กู้ชิวเหลิ่งไม่คิดตอบคำถามนี้สักนิด นางพูดต่อไปว่า “อาหารสองอย่างนี้ต้องมี และเพิ่มมาอีกสักอย่าง ส่งไปที่ห้องคุณชายมู่ทั้งหมด เจ้าก็หาอะไรกินไปด้วยเลย ข้างๆมีที่พัก”
“….”
ถ้าให้เจ้านายรู้ว่าพระชายากินอาหารในห้องชายอื่น มิรู้ว่าหน้าเจ้านายตนจะดำถึงขั้นไหน