ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 175 ตายไร้ที่ฝังดินกลบหน้า
จีเฟิงยกอาหารหลายอย่างส่งไปที่ห้องจวินหวาเทียนอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่
จวินหวาเทียนนั่งอยู่หน้าเตาผิง อังไฟ มองดูจีเฟิงยกอาหารมาวางบนโต๊ะ จึงบอกว่า “ขอบใจ”
จีเฟิงเองก็ไม่คิดว่าจวินหวาเทียนจะเกรงใจขนาดนี้ ได้แต่พูดว่า “อาหารเหล่านี้พระชายาของเราตระเตรียมไว้ ข้าน้อยเพียงยกมาเท่านั้น”
จีเฟิงเน้นเสียงที่คำว่า “พระชายาของเรา”
จวินหวาเทียนยิ้มน้อยๆ ท่าทางดูไม่ใส่ใจ
กู้ชิวเหลิ่งตอนนี้ยืนอยู่หน้าประตู กระแอมออกมาหนึ่งคำพลางว่า “จีเฟิง ข้าแค่ให้เจ้านำอาหารมา มาพูดมากตั้งแต่เมื่อไหร่?”
จีเฟิงรีบถอยไปด้านข้างพลางว่า “ข้าน้อยขอตัวก่อน”
กู้ชิวเหลิ่งเดินผ่านจีเฟิง เข้ามานั่งตรงข้ามจวินหวาเทียน และยกกุ้งผัดผักวางตรงหน้าจวินหวาเทียน พลางว่า “เมื่อก่อนเจ้าชอบกินสิ่งนี้ที่สุด”
จวินหวาเทียนบอก “ข้าจำได้ว่าเมื่อก่อนเจ้าชอบกินเกี๊ยวกุ้ง ทำไมไม่ให้พวกเขาทำล่ะ?”
กู้ชิวเหลิ่งวางโจ๊กลูกบัวไว้ข้างหน้าจวินหวาเทียน พลางว่า “โจ๊กลูกบัว เมื่อก่อนเจ้าชอบกินลูกบัวขมมากที่สุด”
“อาชิว…”
“รีบกินเร็ว!”
กู้ชิวเหลิ่งตักอาหารเข้าปากอีกสองคำ ผ่านไปอยู่นานถึงพูดว่า “ไปต้าฉีครั้งนี้ ข้าจะกลับไปตระกูลมู่หรงก่อน”
มือที่คีบอาหารให้กู้ชิวเหลิ่งของจวินหวาเทียนชะงักกึก พลางว่า “ไม่มีจวนตระกูลมู่หรงอีกแล้ว มีแต่ซากปรักหักพัง”
“ต่อให้เป็นซากปรักหักพังก็ดี”
กู้ชิวเหลิ่งพูดขึ้น “หวาเทียน เจ้าสามารถตามหาที่ฝังศพของท่านพ่อท่านพี่ และคนอื่นในตระกูลมู่หรงได้หรือไม่?”
“เจ้ารู้ดีอยู่แก่ใจ ด้วยนิสัยของจวินฉีเซิ่ง มีหรือจะเตรียมที่ฝังศพให้ท่านพ่อท่านพี่เจ้า?”
อาหารที่กู้ชิวเหลิ่งกินเข้าปากยิ่งไม่มีรสชาติมากขึ้นเรื่อยๆ จวินหวาเทียนบอกว่า “ตอนนั้นหลังจากต้าฉีประกาศว่าเจ้าตายแล้ว ข่าวก็มาถึงข้า ในขณะเดียวกันที่ข้าส่งคนไปตามหาศพเจ้า ก็ได้ยินข่าวว่า ตระกูลมู่หรงโดนประหารทั้งตระกูล และเสียบหัวประจานไว้ที่กำแพงเมืองสามวันสามคืน สุดท้ายก็เผาหมด”
ตะเกียบในมือกู้ชิวเหลิ่งหักสะบั้นทันที จวินหวาเทียนเงียบไปครู่หนึ่ง หันไปบอกคนรับใช้ว่า “ไปหยิบตะเกียบมาอีกคู่หนึ่ง”
“ไม่ต้องหรอก ข้าอิ่มแล้ว”
กู้เจินนั่งอยู่ข้างๆ มองดูสีหน้าทะมึนลงเรื่อยๆของกู้ชิวเหลิ่ง พลางเอ่ยปากขึ้นว่า “พรุ่งนี้ยังต้องเดินทางทั้งวัน กลางคืนควรกินให้มากหน่อย ท่านกินมากหน่อยดีกว่า”
กู้ชิวเหลิ่งเหลือบตาขึ้นมองกู้เจิน สีหน้ากู้เจินไม่มีอารมณ์อะไร ดูจะทำเพื่อทุกคนเท่านั้น
กู้ชิวเหลิ่งมองอาหารเต็มโต๊ะ สุดท้ายพูดขึ้นว่า “ข้าไม่อยากอาหาร พวกเจ้ากินเถอะ”
ตอนกู้ชิวเหลิ่งลุกขึ้น กู้เจินจับแขนกู้ชิวเหลิ่งเอาไว้ คล้ายกับทำไปโดยไม่ได้ตั้งตัว
กู้ชิวเหลิ่งเหล่มองมือกู้เจินที่อยู่บนแขนนางอย่างเย็นชา กู้เจินถึงปล่อยมือ
จวินหวาเทียนมองดูอาหารบนโต๊ะ พลางว่า “กินเถอะ ให้นางอยู่คนเดียวสักพัก”
กู้เจินเองก็วางตะเกียบลง พลางพูดเสียงต่ำว่า “ข้าไม่ใคร่หิว”
กู้ชิวเหลิ่งกลับห้องตนเอง ในสมองมีแต่คำพูดเมื่อครู่ของจวินหวาเทียนวนเวียนอยู่ เล็บนางจิกเข้าในเนื้อ จนเลือดไหลหยดลงพื้น
“จวินฉีเซิ่ง! จวินฉีเซิ่ง!!”
กู้ชิวเหลิ่งปัดของบนโต๊ะลงพื้นเกลื่อนกลาด นางคิดได้เลยว่า จวินฉีเซิ่งใช้เหตุผลดูดีอะไรมาปกปิดความผิดทั้งหมดนี้
ท่านพ่อท่านพี่โดนให้ร้ายจนตายอย่างไร และโดนตัดหัวเสียบประจานอย่างเหยียดหยามเช่นไรอีก
สุดท้ายกลายเป็นตายไร้แผ่นดินกลบหน้าหาซากไม่เจอเช่นไรอีก
กู้เจินได้ยินเสียง ผลักประตูเข้ามา ดวงตากู้ชิวเหลิ่งแดงก่ำ นางถลึงตามองกู้เจินอย่างเคียดแค้น ประหนึ่งกำลังมองจวินฉีเซิ่งก็ไม่ปาน
“ข้าคือกู้เจิน”
น้ำเสียงหนักแน่นของกู้เจินลอยเข้าหูกู้ชิวเหลิ่ง กู้ชิวเหลิ่งค่อยๆสงบสติอารมณ์ พลางนั่งลงบนเก้าอี้ และพูดว่า “เจ้ามาหาข้ามีอะไร?”
กู้เจินไม่ได้พูดอะไร แต่วางกล่องอาหารในมือลงบนโต๊ะ
กู้ชิวเหลิ่งพูดเสียงเรียบว่า “ข้าบอกแล้ว ข้าไม่หิว”
กู้เจินบอก “เกี๊ยวกุ้ง อยากกินเมื่อใดค่อยกินเถิด”
พูดจบ กู้เจินหมุนตัวเดินออกไป ไม่พูดมากแม้เพียงสักคำ
กู้ชิวเหลิ่งมองดูเกี๊ยวกุ้งบนโต๊ะ มักจะคิดถึงเรื่องเมื่อก่อนมากมายนัก
ท่านแม่ชอบทำเกี๊ยวกุ้งยิ่งนัก แต่พี่ใหญ่กลับแพ้กุ้ง นางมักจะโอ้อวดต่อหน้าพี่ใหญ่เสมอว่าสามารถกินเกี้ยวกุ้งที่ท่านแม่ทำด้วยตัวเอง พี่ใหญ่มักจะเข้มงวดต่อนางในวันต่อมาของการฝึกฝน จนสุดท้าย นางทำพี่ใหญ่อยากกินแทบลงแดง แต่ตนเองต้องฝึกซ้อมอย่างเหน็ดเหนื่อยทุกวัน ถึงกระนั้น มันก็มีความสุขนัก
แต่นับแต่แต่งงานกับจวินฉีเซิ่ง ความสุขทั้งหมดก็ยุติลง
นางตั้งใจ พยายามช่วยจวินฉีเซิ่งอย่างสุดความสามารถจนได้ก้าวขึ้นบัลลังก์ แต่จวินฉีเซิ่งกลับทรยศนาง
เดิมนางคิดว่าเรื่องอย่างเช่นหลอกใช้เสร็จแล้วกำจัดทิ้งจะไม่เกิดขึ้นกับตระกูลมู่หรงของนาง ไม่คิดเลยว่าจวินฉีเซิ่งและมู่หรงอี๋ทั้งสองคนจะร่วมมือกันนานแล้ว ทำลายล้างตระกูลมู่หรงมิให้ตายดี
กู้ชิวเหลิ่งคีบเกี๊ยวกุ้งชิ้นหนึ่งเข้าปาก มิรู้ว่าเป็นรสชาติอะไร
เวลานี้อวี๋ฉือจ้านกำลังโยนฎีกาในมือไปให้ฝู้จื่อโม่ที่อยู่ไม่ไกลในห้องหนังสือของจวนเซ่อเจิ้งหวาง
เดิมฝู้จื่อโม่ไม่ชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว แต่สองวันนี้อวี๋ฉือจ้านราวกับเป็นบ้าไปแล้ว วันหนึ่งต้องอ่านฎีกากองพะเนินให้จบ ทำเอาเขาต้องมาช่วย
อวี๋ฉือจ้านบอก “ไป ไปเอาฎีกาของตระกูลฉินและตระกูลกู้ระยะนี้มาอ่านอีกรอบ”
ฝู้จื่อโม่เบ้ปากอย่างไม่พอใจ พลางว่า “มิใช่ข้าพูด เจ้าเร่งรีบเกินไปแล้ว ต่อให้ร่างเจ้าทำจากเหล็ก ก็ต้องดูแลตัวเองให้มากหน่อย อย่างเจ้าน่ะ ต่อให้สามารถเข้าใจเรื่องของตระกูลฉินและกู้ของเมืองหลวงภายในสิบวันได้ เจ้าก็มิได้มีร่างกายตามไปต้าฉีได้ทัน”
อวี๋ฉือจ้านเหลือบตาขึ้นมอง สายตาแหลมคมว่า “พูดมาก งานในวันนี้ทำไม่เสร็จ ภายในวันนี้เจ้ามิต้องคิดจะไปจากจวนเซ่อเจิ้งหวาง ทางด้านจวนซื่อจื่อข้าไปบอกกล่าวแล้ว เจ้านั่งอ่านฎีกาที่นี่ให้สบายใจเถิด ลองคิดหาทางว่าจะยุแยงให้พวกเขาแตกแยกกันอย่างเปิดเผยได้อย่างไร”
ฝู้จื่อโม่เปิดฎีกาออกอ่านพลางว่า “เรื่องพวกนี้มิต้องให้เจ้าบอก ข้าก็รู้ และสองตระกูลนั้นมิต้องรอให้พวกเรายุแยงตะแคงรั่ว ก็เปิดศึกใส่กันราวน้ำกับไฟแล้ว เจ้ามิรู้ดอก ตระกูลฉินนั่นตอนนี้คิดหาทุกวิถีทาง จะฟ้องเรื่องติดสินบนหลายปีมานี้ของตระกูลกู้ ตระกูลกู้ก็พยายามใช้เส้นสายสมาคมกับขุนนางที่สนิทสนม คิดหาทางฟ้องตระกูลฉินว่าเหิมเกริมโอหังมาหลายปี และหาทางเปิดโปงเรื่องฆ่าคนเป็นผักปลาออกมา ตอนนี้กำลังรอฮ่องเต้จะลงโทษอย่างไรน่ะ!”
อวี๋ฉือจ้านบอก “ทางด้านกงเอ๋อร์มิต้องเป็นห่วงไปดอก มีแต่ต้องเก็บแหทางด้านเจ้าหกและองค์หญิงอานไท่เสียหน่อย”
ฝู้จื่อโม่บอก “ข้าไม่เข้าใจเจ้าเลยจริงๆ อยากให้ศพหายสาบสูญ พวกเราเอาไปซ่อนเองก็ได้ เหตุใดต้องดึงองค์หญิงอานไท่แห่งซีจิ้งนั่นเข้าเกี่ยวข้องด้วยเล่า?”
“สตรีโอหังเกินไปไม่ควรได้มา ให้นางอยู่ข้างกายเจ้าหก คืออยากให้เจ้าหกสิ้นลูกสิ้นหลานน่ะ”
ฝู้จื่อโม่ครุ่นคิดดู ถึงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย พลางว่า “จะว่าไปก็จริง”