ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 179 กลับสู่จวนตระกูลมู่หรง
กู้ชิวเหลิ่งพยักหน้าอย่างฝืนๆ พลางบอกกับจีเฟิงข้างกายว่า “ย้ายของๆเราไปทั้งหมด” ลิ่งกวนหลี่รีบเดินขึ้นหน้าพลางว่า “ไม่รบกวนพี่ชายท่านนี้ลงมือเองดอก ให้คนของพวกเราย้ายเถิด”
กู้ชิวเหลิ่งมีหรือจะไม่รู้ถึงวิธีการของขุนนางต้าฉี รู้ว่าลิ่งกวนหลี่จงใจประจบ ดังนั้นเลยมิได้สนใจ ยอมให้พวกเขาทำงานหนัก
ห้องพักระดับฟ้าที่ใช้รับแขก ชาติก่อนกู้ชิวเหลิ่งเคยมา ไม่ว่าจะเป็นสิ่งตกแต่งในห้องหรือระดับความกว้างโอ่โถง ล้วนไม่เลวเลย ปกติมักเอามาใช้เป็นที่ประชุมของทูตสองประเทศ กู้ชิวเหลิ่งได้มาพักผ่อนที่นี่ ถือว่าเห็นแก่หน้าอวี๋ฉือจ้านอยู่มาก
อวี๋ฉือจ้านเทพสงครามแห่งต้าเยียน ต่อให้เป็นคนต้าฉีก็มิกล้าดูแคลน
“หากหนิงจวิ้นจู่ ต้องการสิ่งใด ข้าน้อยจะให้คนไปจัดการ รับรองจะมิให้หนิงจวิ้นจู่ ลำบากแม้แต่น้อย”
กู้ชิวเหลิ่งพูดเสียงเรียบว่า “อย่างไรก็ดีพักแรมที่นี่คืนเดียว ข้าวของมิต้องหรอก เพียงแต่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ตระเตรียมอาหารค่ำแล้วส่งเข้ามา ข้ากินเสร็จก็จะเข้านอนพักผ่อนแล้ว”
จ้าวจื้อฉุนรับคำโดยดี หลังจากบอกกล่าวกู้ชิวเหลิ่งเสร็จ ก็ถอยออกไป
จีเฟิงยืนพูดอยู่ข้างๆว่า “พระชายา ท่านจะเข้าวัง?”
จีเฟิงพึ่งหาคำตอบได้จากคำพูดเมื่อครู่ของกู้ชิวเหลิ่ง
ก่อนหน้านี้พระชายามิได้บอกกับท่านอ๋องเยี่ยงนี้เลย
กู้ชิวเหลิ่งบอกเสียงเรียบว่า “เจ้ามิใช่อวี๋ฉือจ้าน ไม่มีหนทางมาตัดสินใจแทนข้า เรื่องนี้หากเจ้ามิเก็บงำเงียบลงท้องไป เจ้าก็กลับไปอยู่ข้างกายอวี๋ฉือจ้านตามเดิมเถิด”
“ข้าน้อยมิกล้า! ท่านอ๋องสั่งการให้ข้าน้อยคอยอารักขาคุ้มครองพระชายา ข้าน้อยมิกล้าล่าช้าเลยแม้สักนิด!”
กู้ชิวเหลิ่งบอก “ข้าไม่ได้สงสัยในความภักดีของเจ้า เพียงแต่ก่อนหน้าที่อวี๋ฉือจ้านจะมา ข้าจำเป็นต้องเข้าวัง”
“ขอรับ!”
กู้ชิวเหลิ่งบอก “ที่นี่เป็นสถานที่รับรองที่ดีที่สุดของต้าเยียน ข้างๆเป็นห้องของเจ้า เจ้าพักผ่อนให้ดี พรุ่งนี้จะเข้าวังแล้ว หลังจากเข้าวังก็คือถ้าเสื้อรังมังกร เจ้าต้องตั้งสติให้มากนะ”
“จะมีอันตรายรึ?”
“ไม่ มิใช่อันตราย ข้าจะให้เจ้าช่วยจับตาดูความเคลื่อนไหวของคนผู้หนึ่ง” กู้ชิวเหลิ่งกำหมัดแน่นจนแดง แทบจะมีเลือดไหลออกมา
มู่หรงอี๋ พรุ่งนี้เราจะได้พบกันแล้ว
พอเห็นใบหน้างามงดนี่ และสายตาของมู่หรงชิว เจ้าจะมีสีหน้าอย่างไรกันนะ? ช่างน่ารอคอยเสียจริง
ค่ำคืนนี้เงียบสงัดนัก
แสงจันทร์กระจ่างฟ้า กู้ชิวเหลิ่งเปลี่ยนเป็นชุดที่ไม่สะดุดตา แอบจีเฟิงหลบออกไปเงียบๆ
จวินหวาเทียนรอนางอยู่ที่ซากปรักหักพังของตระกูลมู่หรงนานแล้ว
ต่อให้ผ่านไปสามปีแล้ว แต่สถานที่เดียวที่มิเคยเปลี่ยนแปลงในเมืองหลวงก็คือตระกูลมู่หรง
ว่ากันว่าเป็นเพราะไอสังหารของตระกูลมู่หรงหนักมากเกินไป ชีวิตคนหลายร้อยคนในครอบครัวโดนประหารสิ้น ไอแค้นทะลุฟ้า ยังไม่ทันพังบ้านไปได้ถึงครึ่ง ก็ตายไปไม่น้อยแล้ว
ดังนั้นสุดท้ายมีคนเอาไฟเผาให้ราบ ตอนนี้นอกจากเห็นเรือนของตระกูลมู่หรงและบ่อน้ำที่แห้งเผือด ทุกสิ่งล้วนถูกเผาจนสิ้นซาก เหลือเพียงโครงเรือนและเสาที่ไหม้เกรียมไม่กี่ต้น
กู้ชิวเหลิ่งกับจวินหวาเทียนก้าวเท้าข้างหนึ่งเข้าจวนตระกูลมู่หรง ตอนนี้เป็นกลางดึก ไม่มีคนบนถนนเลย ดังนั้นเลยไม่มีใครเห็นพวกเขา
ในความทรงจำของกู้ชิวเหลิ่ง ต่อให้ตระกูลมู่หรงมิใช่ตระกูลร่ำรวยอะไร แต่พอเข้าไปก็จะสามารถเห็นหลังคาเรือนที่โอ่โถง ต้นสนและต้นตั๊กแตนสูงใหญ่หลายต้น แยกกันอยู่สองข้าง ในบ่อใหญ่เลี้ยงปลาคาร์ฟที่แหวกว่ายไปมาอย่างเริงร่าหลายตัว
กู้ชิวเหลิ่งเดินไปยังห้องตนเองตามทางที่คุ้นเคย ต้นบีโกเนียหลายต้นไม่อยู่แล้ว หากมิใช่ทางเดินยังอยู่ แม้แต่นางเองก็คงหาไม่เจอว่าห้องตนเองอยู่ที่ไหน
“หวาเทียน พวกเรากลับกันเถอะ”
จวินหวาเทียนมองกู้ชิวเหลิ่งที่ขอบตาแดงเรื่อ นางไม่ชอบร้องไห้ต่อหน้าคนอื่นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เขารับรู้ได้ถึงอาการอดกลั้นของกู้ชิวเหลิ่ง จวินหวาเทียนเพียงพยักหน้าน้อยๆพลางว่า “เจ้าวางใจเถอะ ที่นี่ไม่มีใครกล้ามาแตะต้องหรอก”
กู้ชิวเหลิ่งแค่นเสียงเย็นพลางว่า “ต้องไม่มีใครกล้าแตะต้องอยู่แล้ว หลายร้อยชีวิตของตระกูลมู่หรง โดนจวินฉีเซิ่งฆ่าฟันอย่างไร้เหตุผลหมดสิ้น ต้องไอแค้นทะลุฟ้าอยู่แล้ว ไอแค้นนี้อยู่ในตัวข้า ข้าไม่มีวันให้จวินฉีเซิ่งมีความสุขดอก”
จวินหวาเทียนไอค่อกแค่กออกมาสองคำ คนรับใช้ข้างกายรีบหยิบขวดยาออกมาใส่ปากจวินหวาเทียน
กู้ชิวเหลิ่งขมวดคิ้วถาม “ร่างกายเจ้าเป็นอย่างไรกันแน่? ทำไมข้ารู้สึกว่าเป็นหนักกว่าครั้งก่อนที่ได้เจออีก?”
จวินหวาเทียนคลายอาการลง สีหน้าซีดเผือดยิ้มน้อยๆ พลางว่า “มิเป็นไร ไม่ต้องเป็นห่วงไปดอก เจ้าเพียงทำเรื่องที่เจ้าอยากทำ ยังมีข้าอยู่ข้างหลังนะ”
กู้ชิวเหลิ่งมองเข้าไปในดวงตาใสกระจ่างของจวินหวาเทียนที่เต็มไปด้วยอารมณ์อื่น กู้ชิวเหลิ่งอดก้มหน้าลงไม่ได้ พลางว่า “ดึงเจ้าเข้ามาเกี่ยวด้วย ขอโทษ”
“จะมาขอโทษอะไรข้าล่ะ? อาชิว เจ้ารู้จักข้าดี ต้าฉีมิอาจล่มสลายในน้ำมือของจวินฉีเซิ่งได้ ต่อให้ข้าเหลือเวลาอีกไม่มาก ก็ต้องลากคอเขาลงไปด้วย ล้างแค้นให้เสด็จพ่อองค์รัชทายาทและตระกูลมู่หรง และเพื่อตัวข้าเองด้วย”
จวินหวาเทียนช่วยกู้ชิวเหลิ่งจัดปอยผมไว้หลังหู พลางว่า “ที่นี่ลมแรง พวกเราไปกันเถอะ”
กู้ชิวเหลิ่งพยักหน้า เดินตามหลังจวินหวาเทียน และเห็นจวินหวาเทียนกลับไปที่พักกับตาตนเอง ถึงวางใจกลับไปห้องชั้นสองที่เรือนรับรอง
คืนนี้ จวินฉีเซิ่งพักอยู่ในตำหนักมู่หรงอี๋ มู่หรงอี๋อาบน้ำเรียบร้อยแล้ว แนบร่างข้างจวินฉีเซิ่ง และเป่าลมข้างหูจวินฉีเซิ่งแผ่วเบา พลางพูดเสียงอ่อนว่า “ฝ่าบาท ดึกป่านนี้แล้วยังอ่านฎีกา ให้หม่อมฉันนวดไหล่ให้ฝ่าบาทเถิดนะเพคะ?”
จวินฉีเซิ่งลูบมืออ่อนนุ่มเรียบเนียนของมู่หรงอี๋ ร่างสาวงามอยู่ในอ้อมกอด อีกอย่างมู่หรงอี๋เสนอตัวนวดไหล่ให้เขาเอง เขาย่อมมิขัดข้องอยู่แล้ว “ดี ข้าเองก็รู้สึกปวดเมื่อยที่ไหล่เช่นกัน ในเมื่อเจ้าพูดเยี่ยงนี้แล้ว เช่นนั้นรบกวนด้วย”
ฝีมือบีบนวดของมู่หรงอี๋ดียิ่งมาตลอด ในตอนที่มู่หรงอี๋นวดไหล่ให้จวินฉีเซิ่งไปได้ครึ่งหนึ่ง ก็เห็นจวินฉีเซิ่งกำลังมองเหม่อไปที่ฎีกาหนึ่ง
“ฝ่าบาท?”
จวินฉีเซิ่งมองฎีกาในมือ บนนั้นเขียนว่าหนิงจวิ้นจู่ แห่งต้าเยียนมาเยี่ยมเยือน ในมือถือป้ายหยก บอกว่าได้รับการเชื้อเชิญจากฝ่าบาท
มู่หรงอี๋อาศัยแสงตะเกียง มองเห็นเนื้อหาบนฎีกาในมือจวินฉีเซิ่ง พลางว่า “นี่คืออะไร ดูน่าสนใจนัก หนิงจวิ้นจู่ แห่งต้าเยียน หม่อมฉันพึ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก”
จวินฉีเซิ่งรู้สึกประหลาดใจ ก่อนหน้านี้เขาเพียงแค่อยากเลียบเคียงถามเลยเชื้อเชิญกู้ชิวเหลิ่งไปสองครั้ง เพียงแต่นางปฏิเสธเขาอย่างเปิดเผยทั้งสิ้น หากครั้งนี้เขาแค่ก้าวเท้ากลับถึงต้าฉีไม่ถึงสองวัน กู้ชิวเหลิ่งก็ตามมาแล้ว ดูเหลือเชื่อจริงๆ
“ฝ่าบาท คิดอะไรอยู่รึ?”
เสียงของมู่หรงอี๋เต็มไปด้วยอันตราย จวินฉีเซิ่งรู้มาตลอดว่ามู่หรงอี๋เป็นคนเช่นไร ต้องมองกู้ชิวเหลิ่งเป็นศัตรูหัวใจที่เป็นอันตรายต่อตำแหน่งไปแล้วแน่
จวินฉีเซิ่งวางฎีกาในมือลง พลางว่า “ตอนนั้นแค่พูดไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้คิดจะเชื้อเชิญจริงๆ ทำไม นี่เจ้าหึงรึ?”