ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 181 สิบนิ้วเชื่อมต่อหัวใจ
มู่หรงอี๋ยิ้มออกมาเล็กน้อย เดินนำหน้าไปก่อน กู้ชิวเหลิ่งหันกลับมาคำนับจวินฉีเซิ่ง และถอยออกไปเช่นกัน
มู่หรงอี๋ให้คนเตรียมเกี้ยวนั่งเอาไว้นานแล้ว กล่าวด้วยรอยยิ้ม: “หนิงจวิ้นจู่ลำบากมาตลอดทางแล้ว ข้าสั่งให้คนเตรียมเกี้ยวนั่งเอาไว้ให้โดยเฉพาะ โปรดขึ้นเกี้ยวเถอะ”
สายตาคู่หนึ่งของกู้ชิวเหลิ่งจ้องมองไปที่มู่หรงอี๋ วันเวลาทำให้มู่ใบหน้าของหรงอี๋ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น สายตาคู่นั้นยิ่งมีเสน่ห์เย้ายวนใจมากขึ้น
มู่หรงอี๋หันกลับมา ก็เห็นสายตาของกู้ชิวเหลิ่ง จู่ๆในใจก็เต้นตึกตักขึ้นมากะทันหัน
จู่ๆกู้ชิวเหลิ่งก็ยิ้มออกมา กล่าวว่า: “กุ้ยเฟยช่างคิดได้รอบคอบจริงๆ ขอบพระทัยกุ้ยเฟยมากเพคะ”
ราวกับว่าสายตาที่เย็นชาคู่นั้นเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาของมู่หรงอี๋เท่านั้น รอยยิ้มในดวงตาของกู้ชิวเหลิ่งทำให้คนรู้สึกอบอุ่นและเป็นมิตรอย่างมาก ทำให้มู่หรงอี๋ละทิ้งความคิดที่ไม่สบายใจทุกอย่างทิ้งไป
“ขึ้นเกี้ยวเถอะ”
กู้ชิวเหลิ่งพยักหน้า กู้ชิวเหลิ่งนั่งอยู่บนเกี้ยวนั่ง และมู่หรงอี๋ก็นั่งอยู่บนเกี้ยวนั่งที่อยู่ด้านข้าง
มู่หรงอี๋มองดูใบหน้าด้านข้างของกู้ชิวเหลิ่ง ยิ่งอยู่ก็ยิ่งรู้สึกคุ้นเคยมากของเรื่อยๆ
แต่ว่ามู่หรงชิวไม่ได้มีรูปลักษณ์อย่างกู้ชิวเหลิ่ง และไม่มีกลิ่นอายความไร้ชีวิตชีวาของกู้ชิวเหลิ่ง
มู่หรงชิวเปิดเผยตรงไปตรงมาตลอด แม้แต่รูปลักษณ์ก็ยังหล่อเหลาสดใส และไม่ใช่ท่วงท่าที่งดงาม กับบุคลิกที่สงบนิ่งของกู้ชิวเหลิ่ง
“ว่ากันว่าธรรมเนียมจารีตของต้าเยียนก็เข้มงวดมากเช่นกัน ไม่ทราบว่าจวิ้นจู่ออกมาครั้งนี้ ท่านพ่อกับพี่ชายของจวิ้นจู่เห็นด้วยหรือไม่?”
กู้ชิวเหลิ่งรู้ว่ามู่หรงอี๋กำลังหยั่งถามเบื้องลึกของนางอยู่ ดังนั้นจึงกล่าวขึ้นมาว่า: “ท่านพ่อข้าคือโหวเย๋ของต้าเยียน ท่านแม่ข้าเพิ่งจะเสียไปเพราะอาการป่วยเมื่อไม่นานมานี้ พี่ชายคือแม่ทัพ พวกเขาต่างก็ยุ่งกันมาก ดังนั้นจึงไม่มีเวลาสนใจข้า ครั้งนี้มาที่แคว้นฉีก็ถือเป็นการพักผ่อนหย่อนใจเช่นกัน”
มู่หรงอี๋พยักหน้าราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ กล่าวว่า: “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”
“ดูจากการแต่งกายของหนิงจวิ้นจู่ เหมือนจะชอบไห่ถังมาก?”
กู้ชิวเหลิ่งมองเสื้อผ้าที่ตัวเองใส่อยู่ครู่หนึ่ง กล่าวว่า: “ใช่แล้ว ไห่ถังดูแล้วสวยงามมาก ต้าเยียนเห็นได้ไม่บ่อย แต่ว่าระหว่างทางของแคว้นฉีล้วนมีดอกไม้ชนิดนี้อยู่ ข้าเห็นแล้วรู้สึกชอบมันมาก ในอดีตใส่แต่ชุดสีเขียวไผ่เขียวตลอด แต่ว่าหลังจากที่มาแล้วถึงได้พบว่าไห่ถังก็มีเอกลักษณ์และความน่าสนใจอีกแบบหนึ่งเช่นกัน”
รอยยิ้มของมู่หรงอี๋เป็นมิตรอย่างมาก นางจำได้ว่าในอดีตมู่หรงชิวก็ชอบไห่ถังอย่างมาก แต่ความชอบที่มีต่อไห่ถังนั้นมาจากข้างในจิตใจ แต่สิ่งที่กู้ชิวเหลิ่งพูดออกมาเมื่อครู่นี้กลับไม่เหมือนความชอบแบบนั้น
มู่หรงอี๋อดที่จะมองกู้ชิวเหลิ่งอีกครู่หนึ่งไม่ได้ ถึงแม้รูปลักษณ์จะแตกต่างกัน แต่ไม่รู้ว่าทำไม บนตัวของผู้หญิงคนนี้ถึงได้มีเงาของมู่หรงชิว สิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกไม่ชอบใจอย่างมาก
มู่หรงอี๋ลงมาจากเกี้ยวนั่งนุ่ม กุมมือของกู้ชิวเหลิ่งเอาไว้อย่างสนิทสนม กล่าวว่า: “ที่นี่คือทิงหลานจวี คือเรือนที่เช้าวันนี้ข้าสั่งให้คนทำความสะอาดเตรียมเอาไว้ นอกจากนี้ยังจัดหานางกำนัลที่มีความสามารถเอาไว้อีกสองสามคน คอยดูแลปรนนิบัติความเป็นอยู่ของจวิ้นจู่ด้วย”
กู้ชิวเหลิ่งรู้สึกถึงนิ้วมือที่เรียวยาวของมู่หรงอี๋ สัมผัสอยู่บนร่างกายของนางราวกับหนอนที่น่าสะอิดสะเอียนตัวหนึ่ง กู้ชิวเหลิ่งแทบอยากจะใช้มีดพันหมื่นเล่มแล่เนื้อเฉือนหนังมู่หรงอี๋ตอนนี้เลย
แต่เมื่อนึกถึงความหลอกลวง การทรยศทั้งหมดที่ได้รับเมื่อชาติก่อน แล้วก็ยังมีตระกูลมู่หรงที่ถูกทำลายจนย่อยยับไปทั้งตระกูล กู้ชิวเหลิ่งก็รู้สึกว่าจะให้มู่หรงอี๋ตายไปอย่างง่ายดายเช่นนี้มันง่ายเกินไปจริงๆ
ในใจของกู้ชิวเหลิ่งราวกับมีคลื่นปะทุขึ้นมา แต่ในใจยิ่งเต้นแรงเท่าไหร่ ใบหน้าก็ยิ่งสงบนิ่งเท่านั้น
กู้ชิวเหลิ่งหันกลับมากุมมือของมู่หรงอี๋เอาไว้ กล่าวว่า: “กุ้ยเฟยคิดแทนข้าในทุกด้าน ช่างเพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรมและความรู้ความสามารถจริงๆ ปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความกรุณาขนาดนี้ คนที่ไม่รู้ล้วนนึกว่ากุ้ยเฟยเป็นฮองเฮาเสียอีก”
กู้ชิวเหลิ่งสังเกตดูใบหน้าของมู่หรงอี๋อย่างละเอียด แล้วก็เห็นความจองหองที่แวบผ่านไปในดวงตาของมู่หรงอี๋ และความเกลียดชังรุนแรงที่อยู่ในดวงตาจริงๆ
ตอนนั้น เหวินซูอวิ๋นยังไม่เข้าวัง และจวินฉีเซิ่งก็ขึ้นครองบัลลังก์แล้ว หลังจากที่ฝังศพของมู่หรงชิวแล้วก็แต่งงานกับเหวินซูอวิ๋นในฐานะฮองเฮาโดยไม่พูดอะไรในทันที และนางที่เป็นผู้หญิงที่อยู่เบื้องหลังของจวินฉีเซิ่งมานานขนาดนี้ กลับได้รับการแต่งตั้งเป็นแค่หรงเฟยเท่านั้น
และตำแหน่งกุ้ยเฟยของนางในตอนนี้ ยังเป็นตำแหน่งที่จวินฉีเซิ่งให้หลังจากที่ขึ้นครองบัลลังก์ครึ่งปี
ใช่แล้ว ด้วยรูปลักษณ์และอุบายในใจของนาง เป็นฮองเฮาได้เหลือเฟืออยู่แล้ว แต่ว่าเพื่อรักษาหน้าตา เพื่อควบคุมราชวงศ์ก่อนหน้านี้จวินฉีเซิ่งถึงไม่ได้แต่งตั้งนางเป็นฮองเฮา
“กุ้ยเฟย?”
จู่ๆมู่หรงอี๋ก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับดวงตาที่เงียบสงบคู่นั้นของกู้ชิวเหลิ่ง ทันใดนั้นในหัวนึกถึงคำพูดก่อนตายประโยคหนึ่งของมู่หรงชิว
นางจำได้อย่างชัดเจน ตอนนั้นมู่หรงชิวกล่าวเยาะเย้ยว่า: “หรงเฟยในตอนนี้? ก็แค่บุตรีอนุภรรยาคนหนึ่งเท่านั้น จวินฉีเซิ่งก็แค่เล่นๆเท่านั้น เขาจะไม่ให้เจ้ามีลูกของเขาหรอก มู่หรงอี๋เจ้าเกิดมาแพศยา ชาตินี้ทั้งชาติก็คู่ควรเป็นแค่สนมเท่านั้น ความประพฤติเหมือนกับแม่เจ้าไม่มีผิด!”
มู่หรงอี๋อดที่กำหมัดขึ้นมาไม่ได้ รอยยิ้มที่อยู่บนหน้าแข็งทื่อจนดูมืดมนมากยิ่งขึ้น
มุมปากของกู้ชิวเหลิ่งเกี่ยวเป็นรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย รอยยิ้มนั่นมองไปทางมู่หรงอี๋ ราวกับรอยยิ้มที่ชั่วร้ายและเย็นยะเยือก
มู่หรงอี๋ดึงมือออกจากมือของกู้ชิวเหลิ่งกะทันหัน กู้ชิวเหลิ่งทำเหมือนกับสะดุ้งตกใจ ถอยหลังออกไปสองก้าว กล่าวว่า: “กุ้ยเฟย? ท่านไม่สบายใช่ไหม?”
มู่หรงอี๋รู้สึกได้ว่าตัวเองทำกิริยาไม่เหมาะสม รีบร้อนกล่าวว่า: “ไม่เป็นไร เพียงแต่ว่าแดดวันนี้แรงมากไปหน่อย ดังนั้นก็เลยรู้สึกไม่สบายเล็กน้อยเท่านั้น”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า: “ในเมื่อกุ้ยเฟยไม่สบาย เช่นนั้นก็กลับไปก่อนเถอะ”
“ได้……ได้”
แผ่นหลังของมู่หรงอี๋มีเหงื่อเย็นไหลออกมา หลังจากที่นางขึ้นเป็นกุ้ยเฟยแล้ว ก็ไม่เคยกลัวใครในวังหลังแห่งนี้มาก่อน แม้แต่จวินฉีเซิ่งนางก็ไม่กลัว แต่มีเพียงตอนที่เห็นดวงตาที่ไร้ชีวิตชีวาของกู้ชิวเหลิ่งคู่นั้น รอยยิ้มที่ชั่วร้ายและเย็นยะเยือก ทำให้นางรู้สึกอึดอัดอย่างมาก
กู้ชิวเหลิ่งยิ้มอย่างเย็นชา มองดูแผ่นหลังที่จากไปไกลของมู่หรงอี๋ ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดถูมือข้างที่ถูกมู่หรงอี๋จับเอาไว้เมื่อครู่นี้อย่างแรง
กลัวแล้ว? แค่นี้ก็กลัวแล้วหรือ? ตอนนั้นเจ้าทำเรื่องที่ไร้มโนธรรมอย่างไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีเช่นไร กรรมนี้ก็จะตามสนองเจ้าเช่นนั้น
ในคืนวันนี้ มู่หรงอี๋นอนเงียบๆอยู่บนเตียง นางชอบกลิ่นหอมมาตลอด กลิ่นหอมที่อบอวลหอมหวานอย่างมาก นอกหน้าต่างมีเสียงลมพัดมา พัดจนผ้าม่านบางปลิวไสวไปมา
บริเวณโดยรอบไม่มีใครสักคน ภายในตำหนักบรรทมไม่มีเสียงอื่นใดนอกจากเสียงลมพัด