ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 187 ลิดรอนอำนาจหกตำหนัก
มู่หรงอี๋ตื่นเต้นผิดปกติ กล่าวด้วยความโกรธ: “เจ้ารู้หรือไม่ว่าการใส่ร้ายป้ายสีข้ามีโทษอย่างไร! ข้าสามารถประหารเจ้าตอนนี้ได้เลย!”
“อ๊า——!”
หลี่เหม่ยเหรินดูเหมือนกับจะได้รับความตกใจอย่างมาก คนทั้งคนถอยหลังออกไป แทบอยากจะหดตัวกลับเข้าไปในมุมกำแพง
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า: “กุ้ยเฟยไม่จำเป็นต้องโกรธไป ถ้าเกิดเรื่องราวมีเงื่อนงำซ่อนอยู่ล่ะ? ข้าว่าสภาพแวดล้อมของที่นี่มันแย่มากจริงๆ และบนร่างกายของหลี่เหม่ยเหรินก็มีบาดแผลมากมายขนาดนี้ ถึงแม้ว่าหลี่เหม่ยเหรินจะลักลอบคบชู้ แต่การลงโทษโดยใช้อำนาจส่วนบุคคลโดยพลการเช่นนี้ ก็ควรจะมีคำสั่งห้ามอย่างชัดแจ้งถึงจะถูกใช่ไหม?”
มู่หรงอี๋ทำอารมณ์ให้สงบลงมา พยายามทำให้จิตใจของตัวเองสงบลงมา แต่เมื่อเห็นดวงตาคู่นั้นของกู้ชิวเหลิ่ง กลับดูเหมือนกับว่าความชั่วร้ายทั้งหมดของตัวเองถูกเปิดเผยออกมากลางอากาศ
สิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกอึดอัดอย่างมาก
จวินฉีเซิ่งกล่าวว่า: “จวิ้นจู่กล่าวถูกแล้ว ทหาร! พาหลี่เหม่ยเหรินออกไป ข้าจะสอบสวนด้วยตัวเอง!”
“ฝ่าบาท ผู้หญิงคนนี้บ้าๆบอๆ ถ้าเกิดทำให้ตกพระทัย……”
“หลายปีมานี้กุ้ยเฟยดูแลหกตำหนักอย่างไรกัน? ห้ามมิให้มีการลงโทษโดยใช้อำนาจส่วนบุคคลในตำหนักเย็นอย่างชัดแจ้ง กุ้ยเฟยกลับไม่รู้เลย?”
การซักถามกะทันหันของจวินฉีเซิ่ง ทำให้มู่หรงอี๋สำลักจนพูดไม่ออก แสดงให้เห็นว่าจวินฉีเซิ่งโกรธขึ้นมาแล้ว
หลายปีมานี้ ปมที่ใหญ่ที่สุดในใจของจวินฉีเซิ่งก็คือปัญหาเรื่องสายเลือดทายาทมังกร
แต่ดัน…….
สายตาของมู่หรงอี๋มองไปทางหลี่เหม่ยเหรินอย่างเฉียบคม ถ้าหากนางรู้แต่แรก ก็จะฆ่าผู้หญิงคนนี้ไปซะ
และกู้ชิวเหลิ่ง มู่หรงอี๋มองเห็นรอยยิ้มจากดวงตาคู่นั้นของกู้ชิวเหลิ่ง
ราวกับว่ากู้ชิวเหลิ่งชักนำจวินฉีเซิ่งมาถึงที่นี่
แต่นี่จะเป็นไปได้อย่างไรกัน? กู้ชิวเหลิ่งก็แค่คนต่างแคว้นคนหนึ่ง เวลาที่มาที่นี่ยังไม่ถึงหนึ่งวัน ถึงกับสามารถรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในตำหนักเย็นได้
มู่หรงอี๋มีความรู้สึกเกรงกลัวและระมัดระวังต่อกู้ชิวเหลิ่งอย่างมากแล้ว
คนของจวินฉีเซิ่งพาหลี่เหม่ยเหรินไปสอบสวนที่ตำหนักจรุงจิต กู้ชิวเหลิ่งกับมู่หรงอี๋ย่อมอยู่ด้วยเช่นกัน
ถึงแม้กู้ชิวเหลิ่งจะรู้ว่า มู่หรงอี๋จะไม่ต้องการให้นางอยู่ด้านข้างอย่างมากก็ตาม
ในตอนที่เห็นรูปลักษณ์ของหลี่เหม่ยเหริน กู้ชิวเหลิ่งก็ยังคงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะหลี่เหม่ยเหรินมีดวงตาที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับนางในชาติก่อน
และในตอนที่หมอหลวงตรวจร่างกายของหลี่เหม่ยเหริน บาดแผลที่อยู่บนร่างกายของหลี่เหม่ยเหรินถูกเปิดเผยออกมาอย่างหมดสิ้น
บาดแผลจากการเฆี่ยนตีของแส้ ยังมีเสียงเถี่ยฉุยที่ตีลงไปบนร่างกายอย่างแรง ทุกๆบาดแผลล้วนเป็นที่น่าสยดสยอง ทำให้คนไม่กล้ามองตรงๆ
“ทูลฝ่าบาท หลี่เหม่ยเหรินเคยทำแท้งมาก่อนจริงๆ แต่ว่าเวลาค่อนข้างนานแล้ว กระหม่อมก็ระบุวันที่ชัดเจนไม่ได้”
จวินฉีเซิ่งทำหน้าเคร่งขรึม กล่าวว่า: “เจ้าถอยไปก่อน”
“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา”
“ฝ่าบาท ผู้หญิงคนนี้ลักลอบคบชู้กับองครักษ์จริงๆ ต่อมาหม่อมฉันจับนางขังในตำหนักเย็น ไม่ได้บอกฝ่าบาท ก็เพราะเห็นแก่พระพักตร์ของฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้จงใจจะเก็บซ่อนส่วนตัวอย่างแน่นอน”
จวินฉีเซิ่งกล่าวถามเสียงเย็นชา: “แล้วการลงโทษพวกนั้น เจ้าจะอธิบายอย่างไร?”
มู่หรงอี๋กล่าวว่า: “ทูลฝ่าบาท หลี่เหม่ยเหรินถูกขังอยู่ในตำหนักเย็นมาครึ่งปีกว่าแล้ว หม่อมฉันจะส่งคนไปตรวจสอบตำหนักเย็นปีละครั้ง ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าคนที่อยู่ในอาณัติจะกล้าทำเช่นนี้”
อี้ชุ่ยที่อยู่ข้างกายของมู่หรงอี๋กลับมาจากด้านนอกตำหนัก กล่าวขึ้นมาอย่างเคารพนบนอบ: “ทูลฝ่าบาท ตอนนี้ได้รับการตรวจสอบแล้วว่า เป็นการลงโทษโดยพลการของขันทีที่ดูแลตำหนักเย็น เพื่อสร้างความสนุกสนาน หลายปีมานี้เขาลอยนวลเหนือกฎหมายมาตลอด ตอนนี้ถูกกุมขังเพื่อรอการสอบสวนแล้ว”
กู้ชิวเหลิ่งมองดูมู่หรงอี๋กับนางกำนัลที่อยู่ข้างกายเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย จู่ๆก็รู้สึกว่ามันน่าสนใจอย่างมาก
ตอนนี้องครักษ์ที่ลักลอบคบชู้ก็ตายไปแล้ว หลี่เหม่ยเหรินก็บ้าๆบอๆ มีขันทีโผล่มารับผิดแทนคนหนึ่ง ทุกอย่างดูเหมือนจะมีเหตุมีผล แต่ว่าจวินฉีเซิ่งไม่ใช่คนโง่ เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่าใครถูกใครผิด ก็แค่ทำเป็นเอาหูไปนา เอาตาไปไร่เท่านั้น
จวินฉีเซิ่งมองดูมู่หรงอี๋ กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก: “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องนี้ก็ให้มันจบลงเพียงเท่านี้ แต่ว่ากุ้ยเฟยมีความผิดฐานบกพร่องในการสำรวจตรวจสอบ เรื่องการดูแลจัดการหกตำหนักส่งมอบให้หยินเฟยจัดการก่อนชั่วคราวเจ้าก็ควรจะพักผ่อนสักสองสามวัน”
ในใจของมู่หรงอี๋หมดความมั่นใจในทันที มองดูจวินฉีเซิ่งอย่างไม่อยากจะเชื่อ: “ฝ่า……ฝ่าบาท?”
หลายปีมานี้ ไม่ว่านางจะแอบทำอะไรอย่างลับๆ จวินฉีเซิ่งก็ไม่เคยลิดรอนอำนาจการดูแลจัดการหกตำหนักของนางมาก่อน แต่ว่าครั้งนี้จวินฉีเซิ่งจะถึงกับกระทำการอย่างไร้ความปรานี
กู้ชิวเหลิ่งก็แค่ยิ้มเย้ยหยันในใจ จวินฉีเซิ่งทำเช่นนี้ ก็เพื่อเหตุผลสองประการเท่านั้น ประการแรกก็เพื่อหน้าตา กุ้ยเฟยสังหารสายเลือดทายาทมังกรไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นกุ้ยเฟยที่ดูแลจัดการหกตำหนักอีก ประการที่สองถึงแม้จะไม่ใส่ข้อหาการสังหารทายาทมังกรบนตัวของมู่หรงอี๋ แต่กลับลิดรอนอำนาจในการดูแลจัดการหกตำหนักของมู่หรงอี๋ เป็นการตักเตือน
แต่ถ้าหากมู่หรงอี๋ทำเรื่องสังหารสายเลือดทายาทมังกรต่อไป จวินฉีเซิ่งก็จะไม่อดทนอย่างแน่นอน
เพราะถ้าหากข้างกายคือผู้หญิงที่ไม่ฟังคำตักเตือน เอาแล้วก็มีแต่จะสร้างปัญหาให้ตัวเองเท่านั้น
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า: “นี่เป็นเรื่องในบ้านของฝ่าบาท ข้าก็ไม่ก้าวก่ายแล้ว ขอตัวทูลลาไปก่อน”
จวินฉีเซิ่งพยักหน้า กล่าวว่า: “วันนี้ให้จวิ้นจู่เห็นเรื่องตลกไร้สาระเช่นนี้ ช่างน่าละอายยิ่งนัก ด้านนอกตำหนักได้เตรียมเกี้ยวนุ่มเอาไว้แล้ว เชิญจวิ้นจู่กลับไปพักผ่อนให้ดี งานเลี้ยงวังหลังในวันพรุ่งนี้ได้จัดเตรียมเอาไว้แล้ว ถึงเวลานั้นจวิ้นจู่ต้องให้เกียรติมาให้ได้”
กู้ชิวเหลิ่งโค้งคำนับ ก็จากไป
เพิ่งจะเดินไปถึงด้านนอกตำหนัก กู้ชิวเหลิ่งก็ได้ยินเสียงตบโต๊ะด้วยความโกรธของจวินฉีเซิ่ง แล้วก็เสียงตะโกนร้องไห้ของมู่หรงอี๋ กู้ชิวเหลิ่งก็แค่ยิ้มเย้ยหยันออกมา
จวินฉีเซิ่ง เจ้าชอบมู่หรงอี๋มากไม่ใช่หรือ? เพื่อมู่หรงอี๋แล้วยินดีจะฆ่าภรรยาที่แต่งงานด้วยเป็นคนแรกไม่ใช่หรือ?
ดีมาก เช่นนั้นเจ้าก็จงมองดูผู้หญิงที่เจ้าชอบคนนี้ค่อยๆทำให้ลูกๆของเจ้าตายอยู่ในครรภ์ไปทีละคนทีละคน มองดูนางทำให้เจ้ากลายเป็นคนโดดเดี่ยวปราศจากลูกหลานอย่างไรไปเถอะ
กู้ชิวเหลิ่งรู้สึกสาแก่ใจยิ่งนัก ในตอนที่นั่งอยู่บนเกี้ยวนุ่ม ยังไม่ลืมมองไปที่ตำหนักจรุงจิตเป็นครั้งสุดท้าย
ในค่ำคืนนี้ กู้ชิวเหลิ่งนั้งอยู่หน้าแสงเทียน กล่าวถามอย่างราบเรียบ: “เรื่องที่ให้เจ้าไปสืบ สืบได้อะไรมาบ้าง?”
จีเฟิงกล่าวขึ้นมาอย่างเคารพนบนอบ: “ข้าน้อยสืบชัดเจนแล้ว หลี่เหม่ยเหรินคนนั้นถูกฮ่องเต้ฉีประหารชีวิตตรงนั้นเลย ถูกรัดคอจนตาย”
กู้ชิวเหลิ่งยิ้มเย้ยหยันออกมา กล่าวว่า: “สมกับที่เป็นจวินฉีเซิ่งจริงๆ ไม่เปลี่ยนเลยสักนิด”
“อะไรนะ?”
“ไม่มีอะไร เจ้าถอยไปได้แล้ว”
กู้ชิวเหลิ่งเพิกเฉยต่อสายตาแปลกใจคู่นั้นของจีเฟิง
จีเฟิงยิ่งอยู่ก็ยิ่งรู้สึกว่าพระชายาของตนเองแปลกประหลาดมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว ตอนแรกก็กล่าวคำพูดที่ใครก็ฟังไม่เข้าใจออกมาก่อน สุดท้ายยังเกิดความสนใจในวังหลังของแคว้นฉีขนาดนั้น
รวมไปถึงวันแรกที่มาถึง ก็ให้เขาไปสืบสถานการณ์ของตำหนักเย็นแล้ว
และเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของพระชายาตนเอง
นี่ไม่อาจไม่พูดว่า มันแปลกประหลาดเกินไปแล้ว
กู้ชิวเหลิ่งมองดูแสงเทียนที่สั่นไหวไปมานั่น จวินฉีเซิ่งฆ่าหลี่เหม่ยเหริน ก็เพื่อช่วยมู่หรงอี๋ปิดปาก และมู่หรงอี๋สูญเสียอำนาจของหกตำหนัก ก็เป็นเพียงวิธีการอย่างหนึ่งของจวินฉีเซิ่งเท่านั้น
นางนึกว่ามู่หรงอี๋จะมีความสำคัญในใจของจวินฉีเซิ่งมากมายขนาดไหน ตอนนี้ดูแล้ว มันก็แค่นี้เท่านั้นเอง
มู่หรงอี๋เอ๋ยมู่หรงอี๋ เจ้าคิดคำนวณมามากมายขนาดนี้ สุดท้ายกลับไม่ได้อะไรเลย