ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 19 เข้าวังพบหน้าฝ่าบาท
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 19 เข้าวังพบหน้าฝ่าบาท
งานเลี้ยงแห่งแคว้นยังมีครึ่งเดือนก็จะถึงแล้ว หลังจากที่กู้ชิวเหลิ่งออกมาจากลานของกู้ชิวเซียง กู้ชิวเซียงก็ไม่ออกมาอีกเลย คนอื่นไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด กู้ชิวเหลิ่งกลับรู้อย่างชัดเจนว่า เป็นเพราะภาพวาดม้วนที่นางทำหล่นลงบนพื้นในเมื่อวานนี้
ท่าเต้นบนภาพวาดนั้นดูพอแวบแรกแล้วก็เหมือนจะง่าย แต่ในความเป็นจริงมันต้องใช้พื้นฐานที่ดียิ่งนัก ในอดีตมู่หรงอี๋ใช้ความพยายามอย่างมากในการเต้นรำนี้ ฝึกฝนกับเซียนเซิงและนางเต้นมาเป็นเวลาสามปี ในที่สุดก็ออกแบบท่าเต้นนี้ให้ได้ จากนั้นค่อยๆแย่งจวินฉีเซิ่งไปจากข้างนาง
พรสวรรค์ของกู้ชิวเซียงไม่เลวนัก พื้นฐานก็ดี เต้นตามแบบอย่าง สิบวันก็เพียงพอแล้ว
จูเอ๋อร์นอนค่ำอยู่บนขอบหน้าต่าง ยื่นหัวออกไปดู เหมือนกำลังรอคนอะไรอยู่
กู้ชิวเหลิ่งพูดอย่างเฉยชาว่า:”พึ่งจะยามซื่อ เจ้านอนรอก็รอยังไม่มาหรอก ไปยกอาหารกลางวันมาก่อน”
จูเอ๋อร์พูดอย่างสับสนว่า: “คุณหนูบอกว่าวันนี้จะมีคนมาเชิญคุณหนู เป็นญาชิงที่อยู่ข้างท่านอ๋องรองหรือไม่เจ้าค่ะ?”
กู้ชิวเหลิ่งพูดอย่างเฉยชาว่า:”ไม่ คงเป็นคนรอบข้างของฝ่าบาทมั้ง”
“อ๊ะ?”
ชาตินี้จูเอ๋อร์ยังไม่เคยเห็นฝ่าบาทเลย กู้ชิวเหลิ่งก็ยิ่งไม่เคยเห็นมาก่อนเลย จูเอ๋อร์เข้าใจไม่ได้ในขณะนั้น ทำไมฝ่าบาทต้องเชิญคุณหนูด้วย?
กู้ชิวเหลิ่งดูเวลาแล้ว ตามเวลาเลิกทรงว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินหวายคงไปที่วังและบอกเรื่องการถอนหมั้นให้ฝ่าบาทได้ทราบแล้ว ขณะนี้ถ้านางเดาไม่ผิด อวี่เหวินเจี๋ยก็คงต้องอยู่ข้างๆด้วยแน่นอน
จูเอ๋อร์กอดท้องที่หิวโหย ฟังคำสั่งของกู้ชิวเหลิ่ง ยกอาหารเที่ยงมา เหมือนปกติ แม้ว่าซุปจะยังร้อน แต่กับข้าวกลับไม่เห็นเนื้อแม้แต่นิดเลย สาวใช้ระดับสองในลานของกู้ชิวเซียงยังกินได้ดีกว่ากู้ชิวเหลิ่งเลย
กู้ชิวเหลิ่งเหลือบมองเพียงแวบเดียวแล้วพูดว่า:”เปิดฝาออก”
จูเอ๋อร์เปิดออก ข้างในมีเพียงหัวไก่หนึ่งชิ้น ซี่โครงสองสามชิ้น แม้แต่น้ำมันยังไม่มีเลย สีจืดเหมือนน้ำเลย
กู้ชิวเหลิ่งหัวเราะอย่างเย็นชา แม้ฮูหยินใหญ่จะแสดงต่อหน้าเซียวอวิ๋นเซิงได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ในความเป็นจริงหล่อนก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ ทำเป็นมองไม่เห็นสิ่งที่คนรับใช้ทำกับกู้ชิวเหลิ่ง และไม่คิดที่จะให้นางมีชีวิตที่ดีอยู่แล้ว
อาจเป็นเพราะยังเกรงกลัวที่กู้หนานเฉิงยังมีใจต่ออี๋เหนียงสาม บวกกับคนในจวนลือกันเยอะ ไม่อยากให้ตัวเองเป็นที่นินทากัน ดังนั้นจึงไม่กล้าทำอะไรเกินไปอย่างเปิดเผย แต่เรื่องเลวๆที่แอบทำเอาไว้นั้นกลับมีไม่น้อยนัก
นางเป็นลูกคุณหนู แม้จะเป็นบุตรีอนุภรรยาก็ตาม แต่ก็ไม่ควรได้รับการปฏิบัติเช่นนี้
กู้ชิวเหลิ่งพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า:”ปิดประตูห้อง เมื่อมีคนมา ไม่ว่าจะตะโกนเรียกอย่างไร เจ้าก็แค่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน รู้หรือไม่?”
จูเอ๋อร์มองดูกู้ชิวเหลิ่งอย่างสงสัย ไม่เข้าใจความหมายของคำคำนี้
หลังจากนั้นไม่นาน ด้านนอกก็มีเสียงของอาวุธและชุดเกราะดังขึ้น กู้ชิวเหลิ่งอยู่ในห้อง แต่ก็ยังสามารถได้ยินเสียงที่สุภาพของกู้หนานเฉิงว่า “เชิญ”
หากไม่ใช่บุคคลสำคัญ กู้หนานเฉิงก็คงไม่มาด้วยตัวเองอย่างแน่นอน นางได้เปิดอ่านตำรารอบรู้ของต้าเยียน คนที่อยู่ข้างฝ่าบาทนั้นเป็นหัวหน้ากองทหารรักษาพระองค์รับผิดชอบควบคุมดูแลยามรักษาการณ์ในพระราชวัง เป็นขุนนางระดับหนึ่ง ทุกคนในราชสำนักต่างก็ต้องเห็นแก่หน้านายพลคนนี้บ้าง แม้แต่กู้หนานเฉิงที่เป็นโหวฝ่ายบู๊ระดับหนึ่ง ก็ต้องประจบประแจงเขา
ผู้นำคนปัจจุบันของกองทหารรักษาพระองค์แห่งต้าเยียนคือหลี่เฉิงเย่ ซึ่งอายุเพียงสามสิบปี ก็ได้ขึ้นครองตำแหน่งผู้บัญชาการกองทหารรักษาพระองค์แล้ว ได้ยินว่าหน้าตาของเขาน่ากลัวยิ่งนัก ดังนั้นจึงไม่มีผู้หญิงยอมแต่งงานกับเขา เลยอยู่ตัวคนเดียวมาจนถึงตอนนี้
กู้หนานเฉิงเคาะประตูห้องของกู้ชิวเหลิ่ง และพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งครัดว่า:”เหลิ่งเอ๋อร์ เปิดประตู”
ในห้องไม่ได้มีการตอบสนองใดๆ
กู้หนานเฉิงขมวดคิ้ว ประตูข้างในถูกล็อคเอาไว้ หากเขาเปิดมันโดยไม่พิจารณาให้ถี่ถ้วน ต้องเสียหน้าต่อหน้าผู้บัญชาการกองทหารรักษาพระองค์มากแน่ๆเลย ดังนั้นกู้หนานเฉิงจึงพูดอีกครั้งว่า: “ฝ่าบาทมีคำสั่งให้เจ้าเข้าวังไปเข้าเฝ้า อย่าได้หน่วงเหนี่ยว”
ในห้องก็ยังคงไม่มีการตอบสนองใดๆ
หลี่เฉิงเย่ที่อยู่ไม่ไกลนักก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า:”ฝ่าบาทมีคำสั่ง กระหม่อมไม่กล้าหน่วงเหนี่ยว คุณหนูรองปฏิเสธที่จะเปิดประตู เป็นเพราะมีความทุกข์อะไรที่ไม่อาจพูดได้หรือไม่?”
หลี่เฉิงเย่ก็เคยได้ยินข่าวลือที่อวี่เหวินหวายบุกเข้ามาในจวนโหว เกิดการทะเลาะเบาะแว้งจนถึงขั้นลงไม้ลงมือกับกู้ชิวเหลิ่งในเมื่อไม่กี่วันก่อน และวันนี้จู่ๆอวี่เหวินหวายก็เข้าพระราชวังมาพบหน้าฝ่าบาท เพื่อที่จะถอนหมั้น แต่เนื่องโดยชื่อเสียงของราชวงศ์ จึงจำเป็นต้องเรียกกู้ชิวเหลิ่งเข้าเฝ้าตามความคิดเห็นของนาง แต่ตอนนี้กู้ชิวเหลิ่งปฏิเสธที่จะเปิดประตู หรือเป็นเพราะได้ยินข่าวลืออะไรมา?
ในขณะที่หลี่เฉิงเย่กำลังคิดแบบนี้ ก็มีเสียงชามตกแตกดังมาจากในห้อง
หลี่เฉิงเย่เตะประตูออกโดยสัญชาตญาณ เห็นเพียงแต่มุมปากของกู้ชิวเหลิ่งนั้นยังคงมีคราบน้ำ บนพื้นเป็นซุปร้อนที่ตกแตกไปแล้ว กู้ชิวเหลิ่งกำลังมองดูชามที่แตกบนพื้นอย่างตาปริบๆ ราวกับว่าเห็นสิ่งของที่หวงแหนถูกทำลายไป
หลี่เฉิงเย่เคยได้ยินว่ารูปร่างหน้าตาของกู้ชิวเหลิ่งนั้นธรรมดา แต่วันนี้เมื่อเห็นแล้วก็งามเหมือนนางฟ้ายิ่งนัก ในขณะนี้กู้ชิวเหลิ่งกำลังสวมชุดสีน้ำเงิน ดวงตาของเขาไร้เดียงสายิ่งนัก และริมฝีปากที่แดงและเล็กนั้น พอดูแล้วก็รู้สึกเหมือนมีความคับข้องใจยิ่งนัก และท่าทางเช่นนั้น หากไม่ใช่เป็นเพราะอายุยังน้อยเกินไป คงต้องสวยกว่าหญิงงามอันดับหนึ่งในเมืองหลวงอย่างแน่นอน
หลี่เฉิงเย่สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดอย่างเคารพ: “กระหม่อมล่วงเกินแล้ว กระหม่อมมาเชิญคุณหนูรองเข้าเฝ้าตามคำสั่งของฝ่าบาท”
กู้ชิวเหลิ่งเงยหน้าขึ้นมอง เห็นว่าหลี่เฉิงเย่ไม่ได้น่ากลัวเหมือนในข่าวลือนัก ตรงกันข้ามกลับดูแข็งแกร่งและเย็นชาหน่อยด้วย ออร่าคล้ายกับพี่ชายของนางมากนัก หากสังเกตดูดีๆ หน้าตาของหลี่เฉิงเย่ก็ไม่ได้เลว ตรงกันข้ามกลับยิ่งดูก็ยิ่งดูดีมาก
กู้หนานเฉิงกล่าวหาว่า:”ยังไม่รีบขอโทษใต้เท้าหลี่อีก! เจ้าทำอะไรอยู่ในห้องกันแน่? แม้แต่ประตูก็ไม่เปิด! พ่อเรียกเจ้าอยู่ที่หน้าประตู เจ้าไม่ได้ยินหรือ……”
กู้หนานเฉิงยังพูดไม่จบ กู้ชิวเหลิ่งก็ได้ก้มหน้าร้องไห้ด้วยความคับข้องใจแล้ว และเสียงก็ดังขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่หลี่เฉิงเย่ก็ตกตะลึงไปเลย
กู้หนานเฉิงเห็นว่ามีหลี่เฉิงเย่อยู่ด้วย จึงไม่กล้าโมโหมากเกินไป ได้แต่พูดว่า: “ข้าก็แค่พูดเจ้าไปสองสามคำเอง เจ้า……”
กู้ชิวเหลิ่งเงยหน้าขึ้น ชี้ไปที่ซุปร้อนๆบนพื้นและพูดว่า:”ลูกไม่ได้กินของมาหนึ่งวันแล้ว หิวมาก ลูกก็แค่อยากดื่มน้ำแกงอุ่นๆคำหนึ่งเอง……แต่……”
น้ำแกงอุ่นๆ?
หลี่เฉิงเย่และกู้หนานเฉิงจึงค่อยสังเกตเห็นชามที่ตกแตกอยู่บนพื้น ซึ่งสิ่งที่ชัดเจนที่สุดก็คือหัวไก่และซี่โครงไก่บนพื้น และอาหารบนโต๊ะกลับเป็นข้าวรำที่แม้แต่ขอทานก็ยังไม่กิน ยังมีใบผักที่เน่าเสียไปแล้ว
จู่ๆกู้หนานเฉิงก็พูดอย่างโกรธว่า:”เหลวไหล ใครทำ! เจ้าเป็นคุณหนูรอง ใครกล้าไม่ให้เจ้ากินข้าว! ”
“ลูกไม่ได้ตั้งใจจะไม่เปิดประตูจริงๆ……เพียงแต่ว่าลูกนึกว่าพ่อจะมาตีลูก……ลูกไม่อยากถูกตีตาย”
หลี่เฉิงเย่ขมวดคิ้วและพูดว่า:”ถูกตีตาย? ”
กู้ชิวเหลิ่งร้องไห้หนักขึ้นกว่าเดิม พูดอย่างสะอึกสะอื้นว่า:”ลูกไม่ได้จงใจแอบซ่อนสิ่งของที่อี๋เหนียงสามทิ้งไว้…… ลูกไม่กล้าอีกแล้ว! อย่าตีลูกตายเลยเจ้าค่ะ! ”
เมื่อพูดถึงอี๋เหนียงสาม กู้หนานเฉิงก็รู้สึกโกรธยิ่งนัก มันต้องเกี่ยวพันกับฮูหยินใหญ่แน่เลย
กู้หนานเฉิงชี้ไปที่จูเอ๋อร์ซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นและพูดอย่างโกรธเคืองว่า:”เจ้าว่ามา! เกิดขึ้นกันแน่! ”
จูเอ๋อร์รีบกราบและพูดว่า:”บ่าวรู้เพียงว่าหลังจากคุณหนูกลับมาจากในลานของคุณหนูใหญ่ในเมื่อวานนี้ คุณหนูก็กินน้ำตาต่างข้าว แม้แต่ข้าวก็กินไม่ลง แต่พึ่งกินข้าวรำไปคำหนึ่ง ก็อาเจียนไปอย่างนาน บ่าวก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น……”