ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 190 ใส่ร้ายป้ายสีไม่สำเร็จกลับถูกตี
“นางก็คือพยาน”
มู่หรงอี๋สั่งให้ขันทียกคนสองคนขึ้นมา เห็นเพียงนางกำนัลที่กำลังขลาดกลัวคนหนึ่ง ร้องไห้พร้อมตะโกนขึ้นมาว่า: “จวิ้นจู่! ได้โปรดช่วยบ่าวด้วย!”
กู้ชิวเหลิ่งเลิกคิ้ว กล่าวถาม: “ข้าไม่รู้จักเจ้า จะช่วยเจ้าได้อย่างไร?”
มู่หรงอี๋กล่าวออกมาด้วยคำพูดอ่อนโยนเฉียบขาด: “เจ้ายังไม่พูดในสิ่งที่เจ้าทำลงไปมาตามความจริงอีก!”
นางกำนัลรีบร้อนคารวะหน้าผากแตะพื้น กล่าวว่า: “เป็นเพราะบ่าวถูกความโลภครอบงำจิตใจ จวิ้นจู่ให้ทองคำบ่าวหนึ่งร้อยตำลึง ให้บ่าวขโมยแหวนวงนี้ออกมา บ่าวผิดไปแล้ว กุ้ยเฟยโปรดยกโทษให้บ่าวด้วย! บ่าวไม่กล้าอีกแล้ว!”
จู่ๆกู้ชิวเหลิ่งก็หัวเราะออกมา กล่าวว่า: “ในเมื่อเจ้าบอกว่าข้าสั่งให้เจ้าขโมย เช่นนั้นข้าขอถามเจ้าหน่อย ตอนนี้แหวนวงนั้นอยู่ที่ไหน?”
นางกำนัลไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา กล่าวว่า: “บ่าวมอบให้จวิ้นจู่ไปแล้ว……ย่อมอยู่ในมือของจวิ้นจู่อยู่แล้ว”
มู่หรงอี๋กล่าวว่า: “ข้าคิดว่า จวิ้นจู่เป็นจวิ้นจู่ของต้าเยียน เช่นนั้นต้องไม่รู้จักนางกำนัลรับใช้ของแคว้นฉีเราอย่างแน่นอน แล้วทำไมนางกำนัลรับใช้นางนี้ถึงได้กล่าวหาจวิ้นจู่โดยไม่มีเหตุผลได้? นี่มันช่างทำให้คนรู้สึกแปลกใจจริงๆ”
“ทำให้คนรู้สึกแปลกใจจริงๆนั่นแหละ แต่เรื่องที่ข้าไม่ได้ทำ ก็ไม่คิดจะปล่อยให้คนอื่นมาใส่ร้ายเช่นกัน ในเมื่อนางกำนัลรับใช้คนนี้บอกว่า ข้าเป็นคนสั่งให้นางไปขโมย ยังให้ทองคำหนึ่งร้อยตำลึงกับนาง ไม่ทราบว่าข้าให้เป็นตั๋วเงิน หรือว่าเงินสด?”
คำพูดของกู้ชิวเหลิ่งเพิ่งจะหยุดลง นางกำนัลก็กล่าวว่า: “เป็นตั๋วเงิน!”
“นี่มันก็น่าแปลกแล้ว ข้ามาที่แคว้นฉีเป็นครั้งแรก ก็มีข้อพิพาทกับทหารรักษาการณ์ที่เฝ้าอยู่นอกประตูเมือง จากนั้นก็เข้าไปในห้องโถงรับแขก เช้าวันรุ่งขึ้นก็ถูกส่งเข้ามาในวังหลวงแล้ว แต่ไม่เคยได้แลกเปลี่ยนตั๋วเงินของแคว้นฉีของพวกเจ้าเลย แล้วข้าจะให้ตั๋วเงินกับเจ้าได้อย่างไรกัน?”
นางกำนัลชะงักงันไปครู่หนึ่ง มองไปทางมู่หรงอี๋โดยสัญชาตญาณ
ความจริงมู่หรงอี๋ก็ถือได้ว่านึกถึงเรื่อง “ของกลางที่ใช้เป็นหลักฐาน” อยู่เช่นกัน แต่ว่ารูปร่างทองคำของแต่ละแคว้นแตกต่างกันไป ยิ่งไปกว่านั้นทองคำในวังทุกแท่งล้วนมีเครื่องหมายทั้งนั้น เพราะกู้ชิวเหลิ่งเป็นคนของต้าเยียน ก็ไม่ง่ายที่จะหาทองคำแท่งของต้าเยียนมาใส่ร้าย
แต่ใครจะรู้ว่า ทันทีที่มาถึงหน้าประตูเมืองหลวงกู้ชิวเหลิ่งก็เกิดความขัดแย้งกับทหารรักษาการณ์ที่เฝ้าประตูเมืองอย่างมุทะลุแล้ว บนตัวไม่มีตั๋วเงินของแคว้นฉีเลย
จวินฉีเซิ่งฟังถึงตรงนี้ก็เข้าใจไปกว่าครึ่งแล้ว เดิมทีนึกว่ามู่หรงอี๋ก็แค่เจ้าแง่แสนงอนเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะไม่เข้าใจสถานการณ์ กู้ชิวเหลิ่งในฐานะที่เป็นจวิ้นจู่ของต้าเยียน เกี่ยวพันใหญ่หลวง นางยังกล้าใส่ร้ายป้ายสี
มู่หรงอี๋กล่าวด้วยความโกรธทันที: “นังไพร่บังอาจ! แม้แต่ข้าก็ถูกเจ้าหลอก! ถึงกับกล้าใส่ความจวิ้นจู่ ทหาร! ลากตัวนางออกไป! ตีให้ตาย!”
กู้ชิวเหลิ่งไม่ได้ขัดขวาง แต่มองดูอยู่ด้านข้างเงียบๆ หลังจากที่นางกำนัลรับใช้ถูกลากออกไป กู้ชิวเหลิ่งถึงกล่าวว่า: “เหตุใดกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงต้องโกรธขนาดนี้ด้วย แหวนยังหาไม่พบเลย ถ้าเกิดตีนางกำนัลรับใช้คนนี้จนตายไป แหวนวงนั้นก็จะหาไม่เจอตลอดไป”
มู่หรงอี๋เก็บซ่อนความอายบนใบหน้า กล่าวว่า: “ถ้าหากไม่ใช่เพราะจวิ้นจู่เตือนสติ ข้าก็คงลืมไปแล้วว่า……”
“ความจริงในเมื่อกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงค้นตัวของนางแล้ว ย่อมค้นเรือนของนางแล้วเช่นกัน แต่ก็หาแหวนวงนั้นไม่พบ ไม่แน่ว่าจะถูกนางกำนัลรับใช้คนนั้นเอาไปซ่อนที่อื่นแล้ว กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงคิดว่าที่ข้าพูดถูกหรือไม่?”
สีหน้าของมู่หรงอี๋เขียวแล้วเขียวอีก จนกระทั่งเสียงที่แหลมคมของขันทีดังมาจากนอกประตู: “ฝ่าบาท! ด้านนอกตำหนักมีคนอ้างตัวว่าเป็นผู้ติดตามของจวิ้นจู่มาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า: “เป็นองครักษ์ติดตามที่อยู่ข้างกายข้า ฮ่องเต้ฉีโปรดให้เข้ามาด้วยเถอะ”
จวินฉีเซิ่งพยักหน้า แล้วก็มองไปที่มู่หรงอี๋ด้วยใบหน้ามืดมน กล่าวว่า: “ให้เขาเข้ามา”
“พ่ะย่ะค่ะ”
กู้ชิวเหลิ่งยืนอยู่กับที่ มองดูจีเฟิงเดินเข้ามาด้วยใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกใดๆ ในมือยังถือแมวสีขาวที่เต็มไปด้วยเลือด ท่าทางนั้นดูน่าสยดสยองอย่างมาก
“เสวี่ยถวนจื่อ! เสวี่ยถวนจื่อของข้า!”
ใบหน้าของมู่หรงอี๋เปลี่ยนจากซีดขาวเป็นโกรธขึ้นมา กล่าวตะโกน: “เจ้าถึงกับกล้าตีเสวี่ยถวนจื่อของข้าจนตาย!”
จีเฟิงกล่าวขึ้นมาอย่างราบเรียบ: “เรียนจวิ้นจู่ ข้าน้อยพบว่าพุ่มหญ้าในลานมีความเคลื่อนไหว เดิมทีนึกว่าเป็นมือสังหาร คิดไม่ถึงว่าจะเป็นแมวที่อยู่ข้างกายของกุ้ยเฟย ข้าน้อยพบแหวนในปากของแมววงหนึ่ง จึงส่งกลับมาให้โดยเฉพาะ”
สีหน้าของมู่หรงอี๋เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิ่ง กู้ชิวเหลิ่งกลับยังคงกล่าวขึ้นมาอย่างสงบนิ่ง: “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง นางกำนัลรับใช้ข้างกายของกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงฉลาดมากจริงๆ ถึงกับกล้าใช้แมวที่อยู่ข้างกายของกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงมาเล่นตุกติก เพื่อให้ตัวเองหลุดพ้น เพียงแต่ว่านางกำนัลรับใช้คนนี้ก็โง่มาก แหวนวงนี้ตกลงมาในลานของข้า นางจะไม่ขโมยโดยเปล่าประโยชน์หรอกหรือ?”
ประเด็นสำคัญที่อยู่ข้างในชัดเจนโดยที่ไม่ต้องพูดนานแล้ว จวินฉีเซิ่งอดกลั้นความโกรธเอาไว้ กล่าวว่า: “ครั้งนี้เป็นเพราะการดูแลจัดการในวังไม่เข้มงวด จวิ้นจู่อย่าได้ถือสาเลย”
“เห็นเรื่องแปลกไม่ถือสาหาความ จู่ๆข้าก็รู้สึกว่าวังหลวงของแคว้นฉีเป็นสถานที่ที่คนมีความสามารถซ่อนอยู่มากมายจริงๆ”
กู้ชิวเหลิ่งเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน กล่าวว่า: “มื้อเที่ยงก็กินไปแล้ว และก็รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาเล็กน้อยแล้วจริงๆ อภัยที่ข้าขอทูลลา”
เดิมทีจวินฉีเซิ่งยังคิดจะคุยเรื่องสัพเพเหระกับกู้ชิวเหลิ่งสักครู่หนึ่ง แต่เกิดความผิดพลาดนี้ขึ้นมา จวินฉีเซิ่งรู้สึกว่าความประทับใจที่กู้ชิวเหลิ่งมีต่อเขาลดลงไปถึงจุดเยือกแข็งแล้ว
“จวิ้นจู่กลับไปพักผ่อนดีๆ ข้าจะจัดการเรื่องนี้อย่างเคร่งครัด”
กู้ชิวเหลิ่งพยักหน้าอย่างแทบจะมองไม่เห็น แต่ว่านางไม่เชื่อหรอกว่าจวินฉีเซิ่งจะทำการลงโทษอะไรอย่างจริงจัง สำหรับมู่หรงอี๋แล้ว ถ้าหากไม่ถึงเวลาที่คุกคามต่อตำแหน่งเขาอย่างแท้จริง เขาจะไม่ทำอะไรนางหรอก
มองดูกู้ชิวเหลิ่งจากไป ในใจของมู่หรงอี๋รู้สึกเย็นวาบ
จวินฉีเซิ่งมองดูแมวตายที่อยู่บนพื้น จู่ๆก็ตบไปที่มู่หรงอี๋หนึ่งฉาก
มู่หรงอี๋ชะงักงันไปชั่วขณะ กุมใบหน้าที่เจ็บเอาไว้ มองดูจวินฉีเซิ่งอย่างไม่อยากจะเชื่อ
หลังจากที่นางแต่งงานกับจวินฉีเซิ่ง หลายปีมานี้จวินฉีเซิ่งไม่เคยทำร้ายนางแม้แต่ปลายเล็บ แทบอยากจะประคองเอาไว้ในมืออย่างทะนุถนอมเป็นสมบัติล้ำค่าด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะตบนางอย่างเช่นในตอนนี้
“ท่าน……”
“มู่หรงอี๋! เจ้าคิดจริงๆหรือว่าสิ่งที่เจ้าทำหลายปีที่ผ่านมานี้ข้าจะไม่รู้? กู้ชิวเหลิ่งเป็นใคร? นางคือจวิ้นจู่ของต้าเยียน! แม้แต่นางเจ้ายังกล้าใส่ความ ข้าว่าเจ้าคงจะใช้ชีวิตจนเบื่อแล้วจริงๆ!”
มู่หรงอี๋ลุกขึ้นมาจากพื้น กล่าวว่า: “ฝ่าบาท หลายปีมานี้ท่านไม่เคยโกรธหม่อมฉันขนาดนี้มาก่อนเลย เพื่อกู้ชิวเหลิ่งคนนี้ ก็จะปฏิบัติกับหม่อมฉันเช่นนี้แล้วหรือ?”
ดวงตาคู่หนึ่งของจวินฉีเซิ่งเย็นยะเยือกอย่างสุดพรรณนา ทำให้มู่หรงอี๋สั่นสะท้านไปทั้งตัว มู่หรงอี๋รีบร้อนคุกเข่าลงไปบนพื้น กล่าวว่า: “หม่อมฉันพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดไป หม่อมฉันก็แค่เห็นว่าฝ่าบาทให้ความสนใจกับนางมากเกินไป ในใจรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเท่านั้น……ฝ่าบาท ท่านยกโทษให้อาอี๋สักครั้งเถอะ”
อาอี๋ ชื่อนี้เขาจำไม่ได้มานานมาแล้ว
ถ้าหากไม่ใช่มู่หรงอี๋ใช้สรรพนามแทนตัวเองเช่นนี้ เกรงว่าเขาก็คงลืมไปแล้วว่า ในอดีตผู้หญิงคนนี้เคยใช้นามสกุลมู่หรง ชื่อมู่หรงอี๋
จวินฉีเซิ่งหรี่ตาลงอย่างคุกคาม ไม่มีความอ่อนโยนอย่างที่มู่หรงอี๋คาดการณ์เอาไว้ ตรงกันข้ามดวงตาคู่นั้นกลับยิ่งเย็นชามากขึ้นเรื่อยๆ
จวินฉีเซิ่งกล่าวว่า: “กุ้ยเฟย ตอนนี้เจ้าต้องจำเอาไว้ให้ดี เจ้าแซ่หลิ่ว ชื่อหลิ่วหยินจู๋ มู่หรงอี๋ในอดีตคนนั้น ตายไปตั้งแต่ตอนที่ตระกูลมู่หรงถูกฆ่าล้างตระกูลในตอนนั้นแล้ว! ในฐานะที่เป็นหลิ่วกุ้ยเฟย ก็ต้องใช้สรรพนามแทนตัวเองว่าหม่อมฉัน!”