ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 191 มู่หรงอี๋ถูกกักบริเวณ
มู่หรงอี๋มองดูจวินฉีเซิ่ง บนใบหน้านั้นไม่มีความทะนุถนอมดูแลเอาใจใส่เลยแม้แต่น้อย คำพูดทุกคำที่กล่าวออกมาก่อนหน้านั้นล้วนทำให้นางรู้สึกแปลกหน้าและเย็นยะเยือกอย่างมาก
เดิมทีนางนึกว่า เมื่อตัวเองเอ่ยชื่อ “อาอี๋ ” อย่างน้อยจวินฉีเซิ่งก็จะรำลึกถึงความรักครั้งเก่า แต่กลับคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะถูกคำพูดประโยคนี้ของจวินฉีเซิ่งทำให้ตกนรกไปโดยตรง
จู่ๆมู่หรงอี๋ก็นึกถึงบทกวีที่กู้ชิวเหลิ่งกล่าวขึ้นมาในวันนั้น ในใจก็ยิ่งเข้าใจชัดเจนมากขึ้น
“ฝ่าบาทตั้งชื่อให้หม่อมฉันว่าหลิ่วหยินจู๋ เพราะอะไรกันแน่?”
จวินฉีเซิ่งไม่รู้ว่าทำไมมู่หรงอี๋ถึงเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา สีหน้าท่าทางเปลี่ยนเป็นความอึดอัดขึ้นมาทันที
เดิมทีมู่หรงอี๋เห็นการแสดงออกทางสีหน้าของจวินฉีเซิ่งก็น่าจะเข้าใจตั้งแต่ต้นจนจบแล้ว แต่ก็ถามออกมาอย่างยังไม่ยอมถอดใจ: “ฝ่าบาท ทรงบอกหม่อมฉันมา เป็นเพราะหยินจู๋ชิวกวงเหลิ่งฮั่วผิงประโยคนั้นใช่หรือไม่?”
จวินฉีเซิ่งเม้มปากขึ้นมาเบาๆ การกระทำเล็กๆนี้ถูกมู่หรงอี๋จับเอาไว้ได้อย่างดี นางรู้อยู่แล้ว นางน่าจะรู้นานแล้ว เพียงแต่ว่าจวินฉีเซิ่งอำพรางตัวเก่งเกินไป หลายปีมานี้ นางถึงกับไม่รู้เลยว่าในใจของจวินฉีเซิ่งยังคิดถึงมู่หรงชิวอยู่ แม้แต่ชื่อ ก็ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับมู่หรงชิว
ความจริงในตอนที่กู้ชิวเหลิ่งเอ่ยถึงบทกวีบทนี้ ในใจของนางก็มีความรู้สึกแปลกๆแล้ว
เพราะบทกวีบทนี้ดูเหมือนจะเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน ใช่แล้ว คือมู่หรงชิวที่เคยออกรบเพื่อจวินฉีเซิ่ง นางนอนอยู่ในห้องของจวินฉีเซิ่ง เห็นจวินฉีเซิ่งได้รับจดหมายของมู่หรงชิว ข้างบนเขียนบทกวีชิวซีเอาไว้บทหนึ่ง ซึ่งเดิมทีก็เป็นประโยคที่ทั้งสองคนใช้เพื่อสื่อถึงความรักและความคิดถึงอยู่แล้ว
แต่ว่า ในขณะที่จวินฉีเซิ่งตัดสินใจจะฆ่ามู่หรงชิวให้ตาย แล้วแต่งงานกับนาง กลับตั้งชื่อนี้ให้กับนาง นี่มันช่างน่าขันมากมายขนาดไหน
เลือดของจวินฉีเซิ่งแข็งตัวไปในชั่วพริบตา สีหน้าท่าทางก็ยิ่งมืดมนมากขึ้น: “กุ้ยเฟย เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่?”
“หม่อมฉันรู้แน่นอนอยู่แล้ว! หลายปีขนาดนี้แล้ว หลังจากที่มู่หรงชิวตายไปแล้ว ทรงห้ามไม่ให้ใครเอ่ยถึงชื่อของนาง! ทรงหาศพมาใส่เข้าไปในโลงศพฮองเฮาอย่างเสแสร้งแกล้งทำ ก็เพื่อให้ตัวเองรู้สึกสบายใจไม่ใช่หรือ! ก็เพราะไม่อยากจะยอมรับว่าทรงไร้ความปรานีไม่ใช่หรือ! ตอนนี้ ศพที่แท้จริงของมู่หรงชิว ไม่รู้ว่าถูกหมาป่ากัดกินจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก อยู่ในเนินเขาที่ฝังศพคนไร้นามเนินไหนไปตั้งนานแล้ว!”
ประโยคนี้ของคำพูดมู่หรงอี๋ ราวกับกระตุ้นไปถึงภายในจิตใจของจวินฉีเซิ่ง
ใช่แล้ว เขาเคยใช้ผ้าขาวคลุมศพที่กระจัดกระจายของมู่หรงชิวอย่างไม่เปลี่ยนสีหน้า สั่งให้คนโยนทิ้งที่เนินเขาที่ฝังศพคนไร้นาม แล้วก็เลือกนางกำนัลรับใช้ที่หน้าตาคล้ายกับมู่หรงชิวมาคนหนึ่งด้วยตัวเอง จากนั้นก็ฝังเข้าไปในโลงศพทั้งเป็น และยังฝังเข้าไปในสุสานฮองเฮา แต่เรื่องพวกนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีใครกล้าพูดออกมาต่อหน้าของเขาเลย
มู่หรงอี๋มองดูจวินฉีเซิ่ง จู่ๆก็รู้สึกมันว่าน่าขบขันอย่างมาก กล่าวว่า: “ฝ่าบาท หม่อมฉันก็แค่พูดเรื่องจริงเท่านั้น ฝ่าบาทไม่ทรงทราบหรือว่า หลายปีมานี้ ที่ฝ่าบาทไม่มีลูกมาตลอด เพราะมู่หรงชิวคอยขัดขวางอยู่? ถ้าหากไม่ใช่เพราะลูกของนางถูกฝ่าบาทพรากไปอย่างไร้ความปรานี วิญญาณอาฆาตของนางก็คงจะไม่วนเวียนอยู่กับต้นไห่ถังที่อยู่ในสวนยวี่ฮวาต้นนั้น ไม่ยอมจากไป ทำให้ฝ่าบาทไร้ลูกชายมาตลอดหรอก”
จู่ๆจวินฉีเซิ่งก็บีบคอของมู่หรงอี๋เอาไว้กะทันหัน ดวงตาคู่นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความชั่วร้าย: “เจ้าบอกนางแล้ว? เจ้าบอกทุกสิ่งทุกอย่างกับนางแล้ว?”
มู่หรงอี๋ยังไม่เคยเห็นแววตาที่น่ากลัวขนาดนี้ในดวงตาของจวินฉีเซิ่งมาก่อน รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาในทันที เพราะจวินฉีเซิ่งใช้พละกำลังอย่างมาก แม้แต่โอกาสจะหายใจนางก็แทบจะไม่มีเลย
“ฝ่า……บาท……”
ดวงตาที่แดงก่ำขึ้นมาเพราะความโกรธของจวินฉีเซิ่ง ค่อยๆลดระดับลงมาช้าๆ จากนั้นก็ปล่อยคอของมู่หรงอี๋อย่างแรง กล่าวด้วยความโกรธ: “เจ้าทำอะไรลงไปกันแน่! ก่อนที่นางจะตาย เจ้าพูดอะไรไปกันแน่!”
มู่หรงอี๋นอนคว่ำหน้าอยู่บนโต๊ะไอติดต่อกันไปสองสามครั้ง ถึงได้กล่าวขึ้นมาราวกับแก้แค้น: “หม่อมฉันบอกนางไปหมดแล้ว รวมไปถึงเรื่องที่ตอนนั้นฝ่าบาทกับหนานชางโหวร่วมมือกันทำให้นางสูญเสียลูกไป จากนั้นก็ป้อนน้ำทำหมันให้นางดื่มกับมือ ทำให้นางไม่มีลูกตลอดชีวิต หม่อมฉันยังบอกกับนางอีกว่า ในตอนที่นางออกรบเพื่อท่าน ร่วมรักกับฝ่าบาทในห้องของนาง สุดท้ายหม่อมฉันยังบอกนางอีกว่า พ่อกับพี่ชายของนางและคนทั้งตระกูลมู่หรงทั้งหมดถูกหนานชางโหวประหารไปแล้ว ยังแต่งตั้งหม่อมฉันเป็นหรงเฟย ท่าทางของนางในตอนนั้น……เกรงว่าฝ่าบาทคงไม่เคยได้เห็น ท่าทางคลุ้มคลั่งของมู่หรงชิวมาก่อนใช่ไหม? หม่อมฉันน่าจะบอกกับนางอีกว่า ถึงแม้ฝ่าบาทจะเนรเทศจวินหวาเทียน แต่กลับส่งคนไปไล่ล่าสังหาร เก็บเอาไว้ไม่ได้เช่นกัน……สุดท้าย หม่อมฉันกรอกตะกั่วที่ร้อนระอุใส่ปากของนางกับมือ สิบนิ้วของนางหักไปหมด ตอนที่ตายไปแล้วดวงตายังเปิดเอาไว้ ฝ่าบาทก็น่าจะเคยเห็นใช่ไหม!”
คำพูดต่อเนื่องของมู่หรงอี๋ ทำให้จวินฉีเซิ่งแทบจะหายใจไม่ออก
ผู้หญิงคนนี้ นางทำอะไรลงไปบ้าง!
เดิมทีเรื่องพวกนั้น เขาก็ต้องการที่จะฝังกลบเอาไว้ใต้ดินให้หมด ถึงแม้ว่ามู่หรงชิวจะตายไป เขาก็ไม่อยากจะให้นางรู้
เมื่อเห็นว่าจวินฉีเซิ่งกำลังจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ มู่หรงอี๋เอ่ยปากกล่าวว่า: “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องโกรธไป หม่อมฉันก็แค่ทำให้นางนอนตายตาหลับเท่านั้น นี่ไม่ถือว่าเป็นการชดเชยอย่างหนึ่งสำหรับนางหรอกหรือ? ฝ่าบาท หม่อมฉันเป็นสาวงามอันดับหนึ่งของแคว้นฉี ใต้หล้ามีคนมากมายเท่าไหร่ที่อยากจะพบหม่อมฉันสักครั้ง หม่อมฉันล้วนไม่ไยดีทั้งนั้น มีเพียงฝ่าบาทเท่านั้น ถ้าหากให้ฝ่าบาทเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง จะทรงชอบมู่หรงชิวผู้หญิงคนนั้นจริงๆหรือ? ฝ่าบาท ทรงมองตาของหม่อมฉันสิเพคะ! มู่หรงชิวก็เป็นเพียงผู้หญิงที่รู้จักแต่การรบราฆ่าฟันคนหนึ่งเท่านั้น! แต่หม่อมฉัน หม่อมฉันต่างหากที่เป็นคนที่คู่ควรกับฝ่าบาท!”
“หุบปาก! เจ้าหุบปากซะ!”
จวินฉีเซิ่งไม่กล้ามองตาของมู่หรงอี๋ ครั้งหนึ่งเขาเคยฆ่าภรรยาที่เดิมทีเขาไม่อยากจะฆ่า เพื่อดวงตาที่มีเสน่ห์ทำให้คนหลงใหลคู่นั้น
เพราะความงามของมู่หรงอี๋ ใต้หล้านี้ ไม่มีใครจะปฏิเสธใบหน้าเช่นนี้ได้
เขาจวินฉีเซิ่ง ก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน
“ฝ่าบาท!”
จวินฉีเซิ่งบันดาลโทสะ ตบไปบนใบหน้าของมู่หรงอี๋อีกครั้ง พละกำลังนั่นมากกว่าครั้งก่อนไม่รู้เท่าไหร่ มู่หรงอี๋รู้สึกเพียงแค่ว่าในปากเต็มไปด้วยเลือด ถึงกับคายฟันออกมาซี่หนึ่งโดยตรง
จวินฉีเซิ่งกลับไม่มองมู่หรงอี๋อีก แต่ตะโกนกล่าวว่า: “ทหารพากุ้ยเฟยกลับไปที่ตำหนักเฟิ่งหลวน ต่อไปไม่มีคำสั่งของข้า ใครก็ห้ามไปเยี่ยมทั้งนั้น!”
ขันทีสองคนที่วิ่งเหยาะๆเข้ามาจากหน้าประตู มองหน้ากันไปมา แล้วก็มองไปที่มู่หรงอี๋ที่อยู่บนพื้นครู่หนึ่ง ในใจลังเลแทบตาย สามปีมานี้ สถานะในวังหลังของมู่หรงอี๋เป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งกันทั่วทุกคน ใครก็ไม่ได้รับความเคารพและโปรดปรานเท่ามู่หรงอี๋ ครั้งนี้ไม่รู้ว่าไปล่วงเกินจวินฉีเซิ่งอย่างไร ถึงกับโดยตบตีจนเลือดออก
จวินฉีเซิ่งรู้สึกได้ถึงความลังเลของขันทีทั้งสอง ในใจก็ยิ่งโกรธมากขึ้น ตะโกนกล่าวขึ้นมา: “บังอาจ! พวกเจ้าไม่ได้ยินคำสั่งของข้าหรือ! ยังไม่รีบลากตัวคนออกไปอีก!”
ครั้งนี้ จวินฉีเซิ่งใช้คำว่า “ลาก” เห็นได้ชัดว่าโกรธมากแล้ว
ขันทีสองคนไม่กล้าเกียจคร้าน รีบร้อนลากตัวมู่หรงอี๋ลงไป และมู่หรงอี๋แทบจะถูกจวินฉีเซิ่งตบจนหมดสติไป แม้แต่สติสัมปชัญญะก็ยังเลือนรางไป ได้ยินเพียงการลงโทษที่จวินฉีเซิ่งปฏิบัติต่อนางลางๆ