ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 193 ให้คำเรียกที่ไพเราะ รำลึกความหลัง
ถึงแม้กู้ชิวเหลิ่งจะคิดเช่นนี้ เป่ยไห่เฟิงก็ยังมาอย่างไม่มีสิ่งใดสามารถขวางกั้นได้
เจ้าน่านน้ำแห่งชนเผ่าน่านน้ำ นี่ไม่ใช่แค่แขกธรรมดาทั่วไป ก็มีแต่อวี้ฉือจ้านเท่านั้นที่กล้าขับไล่เป่ยไห่เฟิง แต่เมื่อมาถึงที่จวินฉีเซิ่ง ก็แทบอยากจะสักการบูชาเป่ยไห่เฟิงราวกับพระพุทธองค์
ต้องรู้ว่าเมื่อเจ้าน่านน้ำผู้นี้พึงพอใจ การค้าทางทะเลก็จะสะดวกสบายขึ้นไม่รู้เท่าไหร่
เพราะการกักบริเวณของมู่หรงอี๋ เรื่องเล็กใหญ่ของงานเลี้ยงในวังล้วนมีหยินเฟยเป็นผู้ดูแลจัดการ ครั้งนี้เป่ยไห่เฟิงมาได้จังหวะพอดี งานเลี้ยงสำหรับต้อนรับนางก็จัดไปพร้อมกันเลยทีเดียว
กู้ชิวเหลิ่งรู้มานานแล้วว่าหยินซวงซวงคือสายที่อวี้ฉือจ้านกับฝู้จื่อโม่วางข้างกายของจวินฉีเซิ่ง ดังนั้นเลยไม่เป็นกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นในงานเลี้ยง แต่ว่าอาศัยการมาของเป่ยไห่เฟิง จวินฉีเซิ่งผู้ซึ่งกลัวการเสียหน้ามาตลอดน่าจะปล่อยมู่หรงอี๋ออกมาสักพัก เพราะสมญานามสาวงามอันดับหนึ่งแห่งแคว้นฉีของมู่หรงอี๋ก็ยังมีประโยชน์อย่างมาก จวินฉีเซิ่งโอ้อวดตัวว่าเป็นฮ่องเต้ผู้ทรงเกียรติภูมิที่สุดแห่งแคว้นฉี และข้างกายของฮ่องเต้ผู้ทรงเกียรติภูมิก็จำเป็นต้องมีผู้หญิงที่มีความสามารถรูปลักษณ์งดงามเพื่อให้สมเกียรติของเขา
ก่อนหน้านี้ผู้หญิงคนนั้นคือนาง และตอนนี้ผู้หญิงคนนี้คือมู่หรงอี๋
เพื่อศักดิ์ศรีที่โอหังอวดดีนั่นของจวินฉีเซิ่ง ครั้งนี้มู่หรงอี๋ก็ถือว่าโชคดีในความโชคร้ายแล้ว
กู้ชิวเหลิ่งกำลังกลัดกลุ้มเรื่องการมาของเป่ยไห่เฟิง จีเฟิงก็ส่งเทียบเชิญมาใบหนึ่งแล้ว
ด้านบนมีอักษรห้าคำเขียนเอาไว้อย่างเปล่งประกายแวววับ “เป่ยไห่เฟิงขอพบ”
กู้ชิวเหลิ่งเปิดซองจดหมายออก เห็นเพียงเป่ยไห่เฟิงเขียนเอาไว้อย่างฉะฉาน: “หากมีวาสนาห่างกันพันลี้ยังได้พบกัน ในวันแต่งงานพระชายาเซ่อเจิ้งหวาง กระฉับกระเฉงและมีชีวิตชีวาอย่างมาก”
กู้ชิวเหลิ่งขมวดคิ้วแน่น กล่าวกับจีเฟิงที่อยู่ข้างกายว่า: “เผาจดหมายฉบับนี้ซะ อย่าให้ถูกใครเห็นเข้า”
“ข้าน้อยรับคำสั่ง”
หลังจากที่จีเฟิงออกไปแล้ว กู้ชิวเหลิ่งถึงได้นวดหว่างคิ้ว การมาของเป่ยไห่เฟิงในครั้งนี้ สิ่งที่ทำให้นางปวดหัวมากที่สุดไม่มีอะไรมากไปกว่าเรื่องที่นางกับอวี้ฉือจ้านแต่งงานกันแล้ว สถานการณ์ในตอนนี้นางยังไม่สามารถเปิดเผยตัวตนด้วยฐานะของพระชายาเซ่อเจิ้งหวางต่อหน้าจวินฉีเซิ่งอย่างเด็ดขาด
นางยังต้องอาศัยความรู้สึกดีๆที่จวินฉีเซิ่งมีต่อนางอยู่ และการทำเรื่องพวกนี้ ทันทีที่นางกับอวี้ฉือจ้านมีความเกี่ยวข้องกัน จุดประสงค์การมาในครั้งนี้ของนางก็จะทำให้จวินฉีเซิ่งเกิดเป็นความสงสัย คนที่ขี้สงสัยหวาดระแวงอย่างจวินฉีเซิ่ง ไม่มีทางจะยอมให้พระชายาเซ่อเจิ้งหวางแห่งต้าเยียนแฝงตัวอยู่ข้างกายเด็ดขาด ถ้าไม่ใช้ชีวิตของนางทำข้อตกลงกับอวี้ฉือจ้าน ก็คือกำจัดนางไปในคราวเดียว
เป่ยไห่เฟิงถึงแม้จะดูไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ว่าในคำพูดที่ส่งมากลับตรงประเด็นในประโยคเดียว ความลับสุดยอดของนางอยู่ในมือของเป่ยไห่เฟิง
ความจริงการแต่งงานของนางกับอวี้ฉือจ้านถือได้ว่าสร้างความฮือฮาไปทั่วทั้งแคว้นแล้ว แต่ว่าข่าวนี้จะค่อยๆแพร่มาถึงแคว้นฉีที่ห่างไกลช้าๆ นางคำนวณเวลาแล้ว น่าจะใช้เวลาประมาณสองเดือนในการมาถึงหูจวินฉีเซิ่งซึ่งก็เหลือเฟือแล้ว ช่วงเวลาประมาณนี้ก็เพียงพอแล้ว แต่เป่ยไห่เฟิงเข้ามายุ่งเช่นนี้ นางก็ทำได้แค่หาโอกาสถอนตัวออกจากวังหลวง รวมตัวกับจวินหวาเทียน หารือเกี่ยวกับแผนการรับมืออย่างอื่น
กู้ชิวเหลิ่งหยิบนกพิราบสื่อสารสีขาวที่พกติดตัวตลอดออกมา เขียนข้อความลงไปบนกระดาษ: เป่ยไห่เฟิงเข้าวัง พลิกแพลงไปตามสถานการณ์ เหลิ่ง
ตอนที่นกพิราบสื่อสารบินออกไป จีเฟิงกลับมาพอดี กล่าวถามด้วยสงสัย: “นี่คือพิราบสื่อสารที่พระชายาส่งถึงท่านอ๋องหรือ?”
กู้ชิวเหลิ่งส่ายหน้า กล่าวว่า: “คือพิราบสื่อสารที่ข้าส่งถึงคุณชายมู่”
คำนวณเวลาดูแล้ว ก็ได้แต่ให้จวินหวาเทียนรีบเข้าวังมาช่วยแก้ไขสถานการณ์แล้ว เรื่องราวดำเนินการมาถึงขั้นนี้แล้ว นางไม่อยากจะถอนตัวหลังจากที่งานบรรลุแล้วจริงๆ และการถอนตัวออกจากวังหลวงคือแผนการที่เลวร้ายที่สุดที่นางวางเอาไว้
นางจะให้เป่ยไห่เฟิงมาขัดขวางแผนการทั้งหมดของนางไม่ได้อย่างเด็ดขาด
“จีเฟิง เจ้าไปจัดการหน่อย บอกว่าข้าขอพบเจ้าน่านน้ำ”
ในตอนที่จีเฟิงส่งข่าวนี้ไปให้เป่ยไห่เฟิง เป่ยไห่เฟิงกำลังสำมะเลเทเมาอยู่ท่ามกลางสาวงามอยู่
เป่ยไห่เฟิงโบกไม้โบกมือให้กับจีเฟิง กล่าวว่า: “จวิ้นจู่ของเจ้าอ่านเทียบเชิญที่ข้าส่งไปแล้วหรือ?”
จีเฟิงกล่าวว่า: “จวิ้นจู่หวังว่าจะสามารถร่วมเจรจากับเจ้าน่านน้ำอย่างจริงใจ”
“ให้คำเรียกที่ไพเราะ?”
“รำลึกความหลัง”
ในตอนที่จีเฟิงพูดคำนี้ออกมา ในใจก็อดที่จะรู้สึกไม่ได้ว่าคำที่พระชายาของตนเองใช้คำไม่ถูกต้อง
ยังไม่พูดถึงบุญคุณความแค้นระหว่างทั้งสองคน แค่มิตรภาพที่พบกันไปเพียงสามครั้งก็ไม่ถือว่ามีความหลังอะไรให้รำลึกเลย อีกอย่าง เป่ยไห่เฟิงถูกบีบให้ยอมจำนนทุกครั้งที่พบกัน พระชายาของตนเองพูดเช่นนี้ ตอนที่พบกันยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก
เป่ยไห่เฟิงวางถ้วยสุราที่อยู่ในมือลง กล่าวว่า: “คืนวันนี้ ข้าจะแอบไปเงียบๆ เจ้ากลับไปรายงานต่อพระ……จวิ้นจู่ของพวกเจ้า ให้นางรอข้าได้เลย”
“กลางคืน?”
เป่ยไห่เฟิงไม่ได้รู้สึกไม่เหมาะสม แต่กล่าวว่า: “กลางคืนนั่นแหละ เจ้าก็บอกกับนางไปตามที่ข้าพูด พบหรือไม่พบ คุยหรือไม่คุยนั่นก็เป็นเรื่องของนางแล้ว”
มุมปากของเป่ยไห่เฟิงเผยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายออกมาเล็กน้อย ในที่สุดครั้งนี้ก็สามารถได้เป็นเจ้านายใหญ่โตต่อหน้ากู้ชิวเหลิ่งสักที และตอนนี้อวี้ฉือจ้านก็กำลังจัดการเรื่องต่างๆในต้าเยียน ไม่สามารถแยกตัวออกมาแคว้นฉีได้เลย อันคำว่าสวรรค์อยู่สูงฮ่องเต้อยู่ไกลอำนาจมาไม่ถึง ไม่ว่าอวี้ฉือจ้านจะมีความสามารถเป็นเลิศมีอำนาจเพียงใด ก็ไม่สามารถมาจับเขาที่แคว้นฉีได้อย่างแน่นอน
จีเฟิงไม่ได้เป็นกังวลว่าพระชายาของตนเองจะถูกลวนลาม เพียงแต่เป็นห่วงเจ้าน่านน้ำผู้นี้จะเข้าใจความหมายอะไรผิดไป ทำให้กู้ชิวเหลิ่งขอพบด้วยตัวเองไม่ใช่เรื่องที่ดีอะไรเลย
อีกอย่างวันนี้ตอนที่พระชายาของตนเองให้เขานำความมาบอก เขาเห็นความฉลาดแกมโกงที่ไม่สามารถอธิบายได้ในดวงตาของพระชายาตนเองอย่างเห็นได้ชัด
เกรงว่า…….ครั้งนี้เป่ยไห่เฟิงจะถูกบีบให้ยอมจำนนอีกแล้ว
จีเฟิงถอยออกไปช้าๆ ในตอนที่นำความมาแจ้งต่อกู้ชิวเหลิ่ง กู้ชิวเหลิ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้กินองุ่นที่หยินซวงซวงส่งมา
“เป่ยไห่เฟิงว่าอย่างไร?”
“เจ้าน่านน้ำบอกว่า ให้จวิ้นจู่รอเขาในตอนกลางคืน เขาจะมาตอนกลางคืน”
กู้ชิวเหลิ่งวางเปลือกองุ่นที่อยู่ในมือลง เช็ดมุมปากเล็กน้อย กล่าวว่า: “ตกลง เช่นนั้นก็ให้เขามาเถอะ”
พูดจบ กู้ชิวเหลิ่งก็โยนผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือลงไปในกระถางธูปหอม เหมือนกับโยนโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็ไม่ได้คิดจะหยิบขึ้นมา
นางไม่จำเป็นต้องไปคิดอย่างละเอียดว่าในใจของเป่ยไห่เฟิงวางแผนอะไรไว้ และไม่มีความจำเป็นต้องคิดเลย นางแค่ต้องทำให้คนที่รู้ความลับเรียนรู้ที่จะปิดปากเงียบก็ถือว่าเป็นการถอนตัวหลังจากที่ประสบความสำเร็จแล้ว
ในคืนวันนี้ ตำหนักบรรทมของกู้ชิวเหลิ่งจุดไฟเอาไว้ตลอด เป่ยไห่เฟิงดูเหมือนจงใจจะมาสาย หลังจากที่อิ่มหมีพีมันแล้วถึงได้ค่อยๆใช้วิชาตัวเบาแอบเข้ามาในตำหนักบรรทมของกู้ชิวเหลิ่ง
ท่าทางนั้นเหมือนโจรอย่างมาก กู้ชิวเหลิ่งกำลังนั่งรินชาอยู่บนเก้าอี้ ดูมีระเบียบและใจเย็นมากกว่าเป่ยไห่เฟิงเสียอีก
เป่ยไห่เฟิงเพียงแค่เห็นท่าทางที่ไม่ได้แตกต่างกันกับอวี้ฉือจ้านของกู้ชิวเหลิ่ง ในใจก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก
“ในเมื่อเจ้าน่านน้ำมาแล้ว ทำไมถึงไม่ส่งเสียงออกมาแม้แต่น้อยเลยล่ะ? ชาก็รินเอาไว้ให้ท่านแล้ว เข้ามาเถอะ”
คำพูดของกู้ชิวเหลิ่งเพิ่งจะหยุดลง ก็เห็นเป่ยไห่เฟิงกระโดดเข้ามาจากทางหน้าต่างจริงๆ ท่าทางนั่นเห็นได้ชัดว่าไม่ได้ใครตื่นตระหนกเลย
กู้ชิวเหลิ่งวางชาเอาไว้ตรงหน้าของเป่ยไห่เฟิง กล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม: “เจ้าน่านน้ำ เชิญดื่มชา”