ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 196 งานเลี้ยงในวังที่บ้าคลั่ง
ณ งานเลี้ยงในวัง ดนตรีแห่งการร่ายรำบรรเลงขึ้นมาอย่างสงบ
จวินฉีเซิ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร มู่หรงอี๋กับหยินซวงซวงนั่งอยู่ข้างกายของจวินฉีเซิ่ง กู้ชิวเหลิ่งนั่งอยู่ในที่นั่งสำหรับผู้สูงศักดิ์เหมือนกับเป่ยไห่เฟิง
ชั่วขณะหนึ่ง ก็มองเห็นบรรดาขุนนางในสายตา แวบแรกของกู้ชิวเหลิ่งก็สังเกตเห็นหนานชางโหว
ชายผู้ซึ่งเคยกำกับการประหารตระกูลมู่หรงคนนั้น
หนานชางโหวอายุเกินห้าสิบแล้ว ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับหวู่โหวมานานแล้ว ดูแล้วก็แค่ตาแก่ที่ลุ่มหลงในสุรานารีคนหนึ่งเท่านั้น เวลานี้ก็ดื่มสุราไปไม่น้อยแล้ว ใบหน้าที่แดงก่ำ ดวงตาที่เจ้าเล่ห์เพทุบายคู่นั้นกำลังจ้องมองนางรำที่เป็นผู้นำในการร่ายรำในตำหนักอย่างไม่ละสายตา
กู้ชิวเหลิ่งเบนสายตาไปจากหนานชางโหวอย่างรวดเร็ว มองสังเกตไปที่หลิ่วอี๋เหนียงที่นั่งอยู่ในที่นั่งสำหรับผู้สูงศักดิ์
หลิ่วอี๋เหนียงในตอนนี้เป็นฮูหยินระดับเอก มีหน้ามีตาไร้ขอบเขต รูปร่างหน้าตาไม่ได้แตกต่างไปจากในตอนนั้นเลย เพียงแต่ร่างกายที่สวมใส่เสื้อผ้าและเครื่องประดับหรูหราราคาแพง ทำให้คนเห็นแล้วก็รู้สึกตาพร่ามัว
“มา เจ้าน่านน้ำ ข้าดื่มคารวะท่านหนึ่งจอก”
จวินฉีเซิ่งริเริ่มยกถ้วยสุราขึ้นมาก่อน ยิ้มให้กับเป่ยไห่เฟิงอย่างสุภาพ
ข้างกายของเป่ยไห่เฟิงกอดหญิงงามเอาไว้ทั้งซ้ายและขวานานแล้ว ทั้งหมดเป็นสาวน้อยงดงามเลิศล้ำที่จวินฉีเซิ่งส่งมาวันนี้ เขาก็เสวยสุขอย่างสุขกายสบายใจมาก เพียงแต่ไม่สามารถเอ่ยปากพูดเท่านั้น
สายตาจ้องมองดูกู้ชิวเหลิ่งอย่างไม่วางตา กู้ชิวเหลิ่งก็เพียงแค่ยิ้มออกมาเล็กน้อย พยักหน้าให้กับเป่ยไห่เฟิงเล็กน้อย
เป่ยไห่เฟิงแอบกัดฟันเงียบๆ กู้ชิวเหลิ่งคนนี้! ทำให้จนถึงตอนนี้เขาก็ยังพูดออกมาไม่ได้
กู้ชิวเหลิ่งเห็นสถานการณ์ที่ยากลำบากของเป่ยไห่เฟิงในสายตา จวินฉีเซิ่งดื่มสุราในถ้วยลงไป เห็นเป่ยไห่เฟิงก็ดื่มลงไปเช่นกัน เพียงแต่ว่าดวงตาคู่นั้นกลับมองไปที่กู้ชิวเหลิ่ง
จวินฉีเซิ่งขมวดคิ้วขึ้นมา หรือว่าเป่ยไห่เฟิงก็ชอบกู้ชิวเหลิ่งเช่นกัน?
ในใจของจวินฉีเซิ่งคิดเช่นนี้อยู่ ปากก็เอ่ยถามขึ้นมาว่า: “เจ้าน่านน้ำทำไมถึงไม่พูดอะไรสักคำ? หรือว่าข้าดูแลไม่ทั่วถึง?”
ไม่ควรเอ่ยเรื่องไหนก็เอ่ยเรื่องนั้นจริงๆ……เป่ยไห่เฟิงคิดแค้นเคืองจวินฉีเซิ่งเอาไว้แล้ว
เห็นว่าเป่ยไห่เฟิงก็ยังไม่พูดอีก จวินฉีเซิ่งรู้สึกกระอักกระอ่วนบนใบหน้าในทันที
อย่างไรเขาก็เป็นถึงราชาแห่งแคว้น ยังไม่เคยมีตอนไหนที่เอ่ยถามออกไปแล้ว ไม่มีใครตอบรับมาก่อน
องครักษ์ติดตามที่อยู่ข้างกายของเป่ยไห่เฟิงกล่าวขึ้นมาอย่างถือได้ว่าเคารพนบนอบ: “หลังจากที่เจ้าน่านน้ำมาแล้วพบว่าไม่ชินกับสภาพอากาศ รู้สึกเจ็บคอ ตอนนี้ไม่สามารถพูดออกมาได้ หวังว่าฮ่องเต้ฉีจะให้อภัย”
“อ๋อ? มีเรื่องเช่นนี้ด้วย แคว้นฉีเรามีหมออยู่ไม่น้อย ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในโรงหมอหลวงก็ถือว่ามีทักษะทางการแพทย์สูง ถ้าอย่างไรเรียกตัวหมอหลวงมาดูหน่อย อย่าให้เป็นอะไรร้ายแรงถึงจะดี”
เดิมทีจวินฉีเซิ่งคือเจตนาดี แต่พอไปถึงหูของเป่ยไห่เฟิงกลับฟังไม่รื่นหูอย่างมาก
กู้ชิวเหลิ่งพูดกับเขาอย่างชัดเจนแล้วว่า นอกจากหมอที่มีความสามารถเหนือโลกสองท่านนั้นกับนางแล้ว ไม่มีใครสามารถแก้ได้แน่นอน คืนนั้นหลังจากที่กลับไปเขาก็ให้คนของตัวเองมาลองแล้ว แม้แต่อาการของโรคก็ตรวจไม่เจอจริงๆ ครั้งนี้เดิมทีการประจบประแจงเอาใจของจวินฉีเซิ่ง ก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกยินดีเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับยิ่งทำให้นึกถึงความอัดอั้นตันใจเมื่อคืนนี้
องครักษ์ติดตามที่อยู่ข้างกายของเป่ยไห่เฟิงเอ่ยปากกล่าวว่า: “เจ้าน่านน้ำเพียงแค่มีอาการเจ็บคอเท่านั้น และก็กินยาไปแล้ว ไม่รบกวนฮ่องเต้ฉีแล้ว”
มู่หรงอี๋เห็นใบหน้าของจวินฉีเซิ่งมีความกระอักกระอ่วนแวบผ่านไป รีบร้อนยกถ้วยสุราขึ้นมา เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปทางด้านกู้ชิวเหลิ่ง กล่าวว่า: “จวิ้นจู่ เดินทางมาไกลข้าเองก็ดื่มคารวะท่านหนึ่งจอก”
กู้ชิวเหลิ่งหยิบถ้วยสุราขึ้นมา กล่าวว่า: “ขอบพระทัยสำหรับการต้อนรับของกุ้ยเฟยเหนียงเหนียง”
ดูจากท่าทางนั่น กู้ชิวเหลิ่งไม่ได้คิดจะถือสามู่หรงอี๋แล้ว จวินฉีเซิ่งก็แอบโล่งใจเล็กน้อย
มองไปที่เครื่องแต่งกายไห่ถังที่กู้ชิวเหลิ่งสวมใส่ มันดูดีกว่าที่คนอื่นๆสวมใส่อยู่จริงๆ และสายตาคู่นั้น ก็เหมือนกับมู่หรงชิวอย่างมาก
ในขณะที่ทุกคนต่างก็กินกันจนอิ่มหนำสำราญ ดนตรีและการร่ายรำถูกผลักดันไปยังจุดสูงสุดช้าๆ
แคว้นฉีเสื่อมโทรมไม่เป็นท่ามานานแล้ว กู้ชิวเหลิ่งเพียงแค่มองดู ก็รู้สึกอยากสะอิดสะเอียนอย่างมากแล้ว
ไม่รู้ว่าเหตุใดบนใบหน้าหลิ่วอี๋เหนียงถึงมีสีแดงเลือดฝาดปรากฏขึ้นมา อาจเป็นเพราะได้คุยกับฮูหยินสูงศักดิ์ที่อยู่ด้านข้างอย่างสนุกสนาน ถึงกับดื่มมากไปเล็กน้อย คนทั้งคนรู้สึกมึนๆงงๆขึ้นมา
ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้น ทำลายเสียงดนตรีที่น่าเบื่อทั้งหมดไป
“อ๊า——!”
สีหน้าของมู่หรงอี๋เปลี่ยนไปเล็กน้อย เห็นเพียงหลิ่วอี๋เหนียงพลิกโต๊ะที่อยู่ข้างหน้าจนคว่ำ บนใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว: “อย่าเข้ามานะ! มู่หรงชิว! อย่าเข้ามา! ข้าไม่ได้เป็นคนฆ่าเจ้า! ท่านโหวเย๋……ข้าไม่ได้ต้องการจะฆ่าท่าน! ข้าไม่ตั้งใจจะวางยาสลบท่าน……เพราะอี๋เออร์ อี๋เออร์บอกว่า ขอเพียงแค่ฆ่าท่านซะ เราก็จะสามารถไต่เต้าไปสู่ความโรจน์รุ่ง……”
ไม่ว่าใครก็ฟังความหมายในคำพูดของหลิ่วอี๋เหนียงออกทั้งนั้น หลิ่วอี๋เหนียงท่านนี้ในอดีตคือสนมของจวนมู่หรง เพียงแต่ว่าต่อมาสองแม่ลูกไต่เต้าสู่ความโรจน์รุ่งแล้ว ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงมันอีก และจวนมู่หรงก็มีโหวเย๋เพียงคนเดียว นั่นก็คือพ่อของมู่หรงชิว แม่ทัพเลือดเหล็กในตอนนั้น ซึ่งก็คือสามีของหลิ่วอี๋เหนียง
สีหน้าของจวินฉีเซิ่งเปลี่ยนไปอย่างมากทันที มู่หรงอี๋ที่อยู่ด้านข้างก็ยิ่งนั่งไม่ติด ตบโต๊ะแล้วก็ลุกขึ้นมา กล่าวออกมาด้วยความโกรธ: “ท่านแม่! ท่านรู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังพูดอะไรอยู่!”
หลิ่วอี๋เหนียงดูเหมือนจะตกตะลึงไป จู่ๆก็เสียสติขึ้นมา ตะโกนขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง: “ช่วยด้วย! ข้าไม่ได้เป็นคนให้อี๋เออร์ยั่วยวนสามีของเจ้านะ! อา……แม้แต่ฮ่องเต้องค์ก่อน……ฮ่องเต้องค์ก่อนก็……”
“หุบปาก!”
จวินฉีเซิ่งชักกระบี่ออกมาแล้ว กล่าวด้วยเสียงที่เย็นชา: “หลิวฮูหยิน! ท่านเสียสติไปแล้วหรือ? ถึงกับกล้าพูดจาเพ้อเจ้อในพระตำหนัก!”
จู่ๆหลิ่วอี๋เหนียงก็ชี้ไปทางจวินฉีเซิ่ง กล่าวขึ้นมาอย่างดุดัน: “ท่านนั่นแหละ! ท่านเป็นคนยุยงอี๋เออร์ให้ข้าฆ่าท่านโหวเย๋! และท่านก็เป็นฆ่าภรรยาของตัวเอง! ท่านเป็นคนใส่ร้ายป้ายสีอ๋องหวา! ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ล้วนเป็นฝีมือท่านทั้งนั้น! ไม่ใช่ข้า……ข้าก็แค่ฟังคำพูดของอี๋เออร์เท่านั้น……ข้าไม่เคยคิดจะฆ่าคน คือท่าน ท่านที่เป็นคนให้ยาพิษถ้วยนั้นกับฮ่องเต้องค์ก่อน……”
“อุ๊บ!”
จู่ๆหัวใจของหลิ่วอี๋เหนียงก็ถูกกระบี่แทง เห็นเพียงกระบี่ที่อยู่ในมือของจวินฉีเซิ่งไม่รู้ว่าแทงเข้าไปในหัวใจของหลิ่วอี๋เหนียงเมื่อไหร่ เลือดกำลังพุ่งกระฉูดออกมา
ดวงตาของจวินฉีเซิ่งแดงก่ำ โกรธสุดขีดแล้วจริงๆ เขาคิดไม่ถึงเลยว่า หญิงบ้าคนนี้จะกล่าววคำพูดเช่นนี้ในงานเลี้ยงในวัง
มู่หรงอี๋มองดูภาพฉากนี้ กรีดร้องออกมา นางคิดไม่ถึงเลยว่า จวินฉีเซิ่งจะฆ่ามารดาของตัวเอง และนางยังยืนอยู่ด้านข้าง จวินฉีเซิ่งไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย ก็ลงมือไปเช่นนี้แล้ว
“ท่านแม่!”
“จับกุ้ยเฟยเอาไว้!”
จวินฉีเซิ่งกล่าวขึ้นมาด้วยความโกรธ: “ทหาร! ลากศพของหญิงบ้านางนี้ออกไป!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
“ฝ่าบาท! นั่นคือท่านแม่ของข้านะ! ฝ่าบาท!”
มู่หรงอี๋อยู่ด้านข้างร้องไห้และตะโกนไปด้วย จวินฉีเซิ่งทำราวกับไม่เคยได้ยินมาก่อน เขากล่าวออกมาอย่างเย็นชา: “พาตัวกุ้ยเฟยออกไปด้วย! ดูแลอย่างเคร่งครัด!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ขุนนางที่อยู่เบื้องล่างมองหน้ากันไปมา สิ่งที่หลิ่วอี๋เหนียงกล่าวเมื่อครู่นี้ ทำให้คนตกตะลึงจริงๆ
แน่นอนว่า เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะวิพากษ์วิจารณ์ฮ่องเต้ในตอนนี้เพราะคำพูดของหญิงบ้าคนหนึ่ง นี่มันช่างไร้สาระเกินไปแล้ว
เพราะเรื่องที่แทรกเข้ามานี้ หนานชางโหวก็รู้สึกสร่างเมาไปครึ่งหนึ่งแล้ว จู่ๆก็เห็นศพไร้หัวที่อุ้มศีรษะยืนอยู่ตรงหน้า มันคือตระกูลมู่หรงที่เขาเคยกำกับการประหาร! ศพไร้หัวพวกนี้เรียงรายกันเป็นแถวๆ เขาตกใจจนถอยหลังออกไป: “เจ้า! เจ้าอย่าเข้ามานะ! หยุดนะ!”