ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 2 เกิดใหม่ในจวนโหว
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 2 เกิดใหม่ในจวนโหว
“ร้อง! เจ้าทำได้แค่ร้องไห้! คนใบ้ควรจะทำตัวให้เหมือนคนใบ้…”
“เนื้อตัวเจ้ามีตรงไหนบ้างที่เหมือนพี่สาวของเจ้า แค่จะถือรองเท้าของนาง เจ้ายังไม่คู่ควรด้วยซ้ำ!”
“กู้ชิวเหลิ่ง เจ้าเกิดมาเป็นใบ้ตั้งแต่กำเนิดรึ”
“…..”
มู่หรงชิวรู้สึกว่าร่างกายของนางเย็นเยียบราวกับถูกแช่อยู่ในสระน้ำอันเย็นเยือก กระดูกตามร่างกายส่งเสียงกรอบแกรบและรู้สึกเจ็บปวดจนเหลือทน
เสียงก่นด่าของผู้ชายยังดังขึ้นมาไม่หยุด นางฝืนทนและลืมตาขึ้นมาเล็กน้อยอย่างยากลำบาก สิ่งที่เห็นมีเพียงภาพอันเลือนรางของชายผู้หนึ่งที่ดูเหมือนจะสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
นางตายแล้วหรือ หรือว่ายังมีชีวิตอยู่? กู้ชิวเหลิ่งคือใคร
สติของนางเริ่มเลือนรางขึ้นทุกที มีใบหน้าของเด็กสาวผู้หนึ่งปรากฏขึ้นมาในความคิดของมู่หรงชิว ความทรงจำที่กระจัดกระจายเป็นเหมือนกระบองหนักๆ ที่ปลุกให้นางตื่นขึ้นมา
มู่หรงชิวนอนเอนกายบนตั่งนุ่มตรงส่วนโค้งของระเบียงทางเดิน นางลืมตาขึ้นมาอย่างฉับพลันจนรู้สึกแสบตาเพราะแสงสว่าง
เกิดความเจ็บปวดไปทั่วร่างกายราวกับว่าร่างกายของนางถูกคมมีดเชือดเฉือน คอยย้ำเตือนทุกขณะว่านางยังมีชีวิตอยู่
นับตั้งแต่วินาทีที่นางลืมตาตื่น นางคิดถึงความเป็นไปได้นับไม่ถ้วน สิ่งที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดตอนนี้ก็คือนางยังมีชีวิต หรือไม่ก็ยังมีชีวิตอยู่ในร่างของคนอื่น
บางทีตอนยังมีชีวิต นางคงจะฆ่าคนมากเกินไป มือของนางเต็มไปด้วยเลือด แม้แต่พญายมก็ยังไม่กล้ารับนางไว้และอนุญาตให้นางมีชีวิตต่อ
แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน การเปลี่ยนตัวตนใหม่คงมีประโยชน์มากกว่าที่นางจะเข้าหาจวินฉีเซิ่ง
ตั้งแต่นี้ต่อไปนางคือกู้ชิวเหลิ่ง
จูเอ๋อร์ยกอ่างน้ำเข้ามาอย่างระมัดระวัง ตั้งแต่คุณหนูของนางฟื้นขึ้นมาเมื่อวาน นางก็ไม่พูดอะไรสักคำ หนำซ้ำยังไม่ยอมหลับตาลงเลย นางแค่เดินเท้าเปล่าอยู่ในลานบ้านอยู่เป็นนาน เอาแต่อ่านหนังสือโดยไม่พูดอะไร
จูเอ๋อร์นำผ้ามาชุบน้ำจนเปียกและเอื้อมมือไปเพื่อจะสัมผัสเท้าของกู้ชิวเหลิ่ง แต่กู้ชิวเหลิ่งกลับชักเท้ากลับอย่างระวังตัวและมองจูเอ๋อร์อย่างเย็นชา
จูเอ๋อร์เอ่ยอย่างขลาดกลัวว่า “คุณหนู เท้าของท่านสกปรก บ่าวจะทำความสะอาดให้เจ้าค่ะ”
น้ำเสียงของกู้ชิวเหลิ่งน่าฟังจนเกินจะเอื้อนเอ่ยและเย็นเยียบราวกับไข่มุกหยก “จูเอ๋อร์?”
จูเอ๋อร์พยักหน้าอย่างระมัดระวัง นางไม่เคยได้ยินคุณหนูของนางพูดมาก่อนและไม่คิดว่าเสียงของนางจะไพเราะขนาดนี้ ใบหน้าที่ไร้การแต่งแต้มยิ่งดูงดงามขึ้นกว่าเดิม
กู้ชิวเหลิ่งวางเท้าของตนลงในอ่างน้ำ นางวางม้วนหนังสือในมือลงและเอ่ยว่า “ขอถามเจ้าหน่อย ปีนี้ข้าอายุเท่าไรแล้ว”
“สิบ… สิบสี่เจ้าค่ะ”
กู้ชิวเหลิ่งบีบคางของจูเอ๋อร์เบาๆ และถามว่า “เจ้ากลัวข้าหรือ”
จูเอ๋อร์ไม่ได้กลัว ก่อนหน้านี้คุณหนูไม่เคยพูดเลยสักคำ นางเป็นคนขี้ขลาดและไม่เคยมีสายตาที่เย็นชาขนาดนี้
“เจ้าจำได้หรือไม่ว่าข้าได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร”
จูเอ๋อร์ตัวสั่น ไม่กล้าสบตากู้ชิวเหลิ่ง “ปะ… เป็นท่านอ๋องหกเจ้าค่ะ! ท่านอ๋องหกถีบคุณหนูตกลงไปในสระบัว…”
กู้ชิวเหลิ่งเลิกคิ้ว “ไม่มีใครห้าม?”
“พวกบ่าวมิกล้าหยุดท่านอ๋องหกจริงๆ เจ้าค่ะ!”
กู้ชิวเหลิ่งปล่อยจูเอ๋อร์และยกเท้าขึ้นโดยไม่เช็ดให้แห้ง นางเอ่ยเรียบๆ ว่า “เจ้าไปได้แล้ว”
จูเอ๋อร์ยกอ่างน้ำแล้ววิ่งออกไปข้างนอก นึกตกใจกับการเปลี่ยนแปลงของคุณหนูของนางอยู่เงียบๆ
กู้ชิวเหลิ่งไตร่ตรอง ตอนนี้กู้ชิวเหลิ่งอายุสิบสี่ปี และนี่คือปีแห่งโชคลาภปีที่หกของแคว้นต้าเยียน
กู้ชิวเหลิ่งหยิบม้วนหนังสือขึ้นมาอีกครั้ง ข้างในเป็นหนังสือเกี่ยวกับแคว้นต้าเยียน อีกม้วนหนึ่งที่วางอยู่ข้างๆ คือหนังสือเกี่ยวกับแคว้นฉี
อดีตสวามีของนาง… อ๋องหลินอัน จวินฉีเซิ่ง ตอนนี้เขาเป็นฮ่องเต้แห่งแคว้นฉีที่ขึ้นครองบัลลังก์มาได้สามปี ในแววตาของกู้ชิวเหลิ่งมีประกายแห่งความโหดเหี้ยมฉายวาบขึ้นมา ทว่ายากที่จะสังเกต
สามปี… นี่เป็นเรื่องที่ได้เปรียบที่สุดสำหรับจวินฉีเซิ่ง แค่คิดถึงเรื่องนี้ กู้ชิวเหลิ่งก็กำม้วนหนังสือในมือแน่น
ความเกลียดชังแพร่กระจายไปทั่วใบหน้าของกู้ชิวเหลิ่ง แผลที่มุมปากถูกรั้ง กู้ชิวเหลิ่งสัมผัสรอยช้ำบนแก้มอย่างแผ่วเบา รู้สึกเจ็บปวดไปถึงหัวใจ
“เมื่อวานท่านอ๋องหกบุกเข้ามาถึงเรือนของเรา ข้านึกว่าจะมีเรื่องร้ายแรงอะไรเกิดขึ้น เรื่องน่าอับอายนี้ แม้แต่ข้าที่เป็นบ่าวยังรู้สึกเสียหน้า!”
ปี้เถาเอ่ยพลางเทน้ำที่ใช้ล้างเท้าของตนเองออกจากอ่างทองแดงที่อยู่ในมือลงบนพื้น นางพ่นล่มหายใจอย่างเย็นชา ไม่คิดจะเก็บซ่อนความรังเกียจที่มีต่อกู้ชิวเหลิ่งเลยแม้แต่น้อย
กู้ชิวเหลิ่งเบนสายตาไปยังปี้เถา สาวใช้ระดับสูงข้างกายของกู้ชิวเหลิ่ง เพราะนางเป็นหลานสาวของสาวใช้ข้างกายฮูหยินใหญ่ ไม่ว่าใครก็ต้องอ่อนน้อมกับนาง
สาวใช้ที่มีฐานะเช่นนี้จะยอมมาปรนนิบัติบุตรสาวของอนุที่ไม่มีใครโปรดปรานได้อย่างไร
มุมปากของกู้ชิวเหลิ่งกระตุกขึ้นจนปรากฏรอยยิ้มจางๆ แต่ไหนแต่ไรนางไม่เคยยอมให้เศษผงมาขวางหูขวางตา ในเมื่อฮูหยินใหญ่ส่งคนมาเฝ้าติดตามนาง ทำให้ไม่มีความสุข เช่นนั้นจะโทษที่นางโหดร้ายไม่ได้
ในตอนนั้นเอง กู้ชิวเหลิ่งเห็นจูเอ๋อร์บังเอิญชนกับปี้เถาและถูกปี้เถาตบหน้าอย่างฉับพลัน ใบหน้าข้างหนึ่งบวมแดงขึ้นมา แต่นางไม่กล้าส่งเสียงและได้แต่ก้มหน้าสะอื้น ปี้เถาเอ่ยอย่างโมโหว่า “นังบ้า! เข้าจวนมาไม่กี่วัน ช่างกล้ายิ่งนัก! กล้าดีอย่างไรมาชนข้า!”
“บ่าวมิได้ตั้งใจเจ้าค่ะ!”
กู้ชิวเหลิ่งเหลือบมองอย่างเย็นชา ทันใดนั้นนางจึงยิ้ม ยันกายขึ้นมาครึ่งหนึ่งและลุกขึ้นมาจากตั่งนุ่ม นางนอนอาบแดดอยู่ครึ่งวันจนร่างกายอุ่นขึ้นแล้ว ต่อให้เดินเท้าเปล่าไปตามระเบียงทางเดินก็ไม่รู้สึกเย็นเลยสักนิด
ปี้เถาไม่ทันสังเกตว่ามีคนอยู่ข้างหลังนาง นางคิดจะลงมือกับเด็กสาวที่คุกเข่าอยู่บนพื้น แต่มือของนางกลับค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ ทำอย่างไรก็ตบลงไปไม่ได้
ปี้เถาหันกลับไปมองและพบกับสายตาที่เย็นชาคู่หนึ่ง ภายในใจเกิดความรู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมาอย่างฉับพลัน แต่เมื่อเห็นรอยช้ำที่มุมปากของกู้ชิวเหลิ่ง นางจึงนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานขึ้นมาได้ เดิมทีนางไม่เคยเห็นคุณหนูผู้นี้อยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ นางยื่นมือออกไปหวังจะตบ แต่กู้ชิวเหลิ่งแข็งแรงมากพอจนปี้เถาดึงมือให้หลุดไม่ได้ นางเอ่ยอย่างโมโหว่า “คุณหนู! คุณ… กู้ชิวเหลิ่ง! เจ้าคนใบ้! ปล่อยมือข้านะ!”
เสียงตบดังกังวานชัดเจน ฝ่ามือตกลงไปที่แก้มของปี้เถาอย่างแม่นยำ
น้ำเสียงของกู้ชิวเหลิ่งไพเราะน่าฟังราวกับไข่มุกที่เย็นสบาย แต่คนฟังกลับรู้สึกถึงความหนาวเหน็บ “ดีนะที่เจ้ายังจำได้ว่าข้าคือคุณหนู จำได้ว่าสกุลของข้าคืออะไร จำได้ว่าข้าเป็นใคร แต่ข้าไม่รู้ว่าเจ้าของเรือนจั๋วยู่เปลี่ยนไปเป็นปี้เถาตั้งแต่เมื่อไร ต่อหน้าข้ายังกล้ายื่นมือออกไปสั่งสอนสาวใช้ ช่างกล้าหาญยิ่งนัก”
ปี้เถาจ้องมองกู้ชิวเหลิ่งอย่างไม่เชื่อสายตา นางเอ่ยอย่างโหดเหี้ยมว่า “เจ้า? เจ้ากล้าตบข้ารึ! เจ้ามันก็แค่ลูกของอนุที่ไม่มีใครต้องการ! ยังเทียบกับบ่าวอย่างข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ!”
สายตาของกู้ชิวเหลิ่งเปลี่ยนไปเป็นเย็นชาอย่างฉับพลัน นางหยิบถาดน้ำล้างเท้าในมือจูเอ๋อร์ขึ้นมาและสาดลงบนใบหน้าของปี้เถาอย่างง่ายดาย
ก่อนที่ปี้เถาจะทันตอบโต้ กู้ชิวเหลิ่งก็ถีบนางลงไปในสระบัวแล้ว
จูเอ๋อร์คุกเข่าอยู่แทบเท้าของกู้ชิวเหลิ่งและเอ่ยอย่างกังวลว่า “คุณหนูรีบช่วยพี่ปี้เถาขึ้นมาเถิดเจ้าค่ะ! อีกเดี๋ยวแม่นมฉีก็จะกลับมาแล้ว! ถึงตอนนั้นคุณหนูจะถูกลงโทษนะเจ้าคะ!”
แววตาของกู้ชิวเหลิ่งเยือกเย็น นางมองปี้เถาที่กระเสือกกระสนอย่างไร้ความช่วยเหลือในสระน้ำ ไม่ได้สนใจคำพูดของจูเอ๋อร์เลยแม้แต่น้อย นางเอ่ยเรียบๆ ว่า “ตายไปก็สงบดี ไม่ต้องสนใจนาง”
“ดี! ตายไปสักคนก็สงบดี!”