ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 205 ฉินโม่เอ๋อร์เสียโฉม
กู้ชิวเหลิ่งก็แค่นั่งดื่มช้าไปสองถ้วยบนตั่งนอน ทางด้านตำหนักจาวหรงก็เริ่มตื่นตกใจกันขึ้นมา ตอนที่จีเฟิงเข้ามาแจ้งข่าว กู้ชิวเหลิ่งก็จัดเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วว กล่าวว่า: “ตำหนักจาวหรงเกิดเหตุขึ้นแล้ว?”
จีเฟิงพยักหน้า กล่าวว่า: “เมื่อครู่นี้ได้ยินนางกำนัลบอกว่า หลังจากที่ฉินเฟยของตำหนักจาวหรงดื่มชาที่ฮ่องเต้ฉีส่งไปแล้ว ไม่นาน
“หน้าเสียโฉม?”
กู้ชิวเหลิ่งอดหัวเราะออกมาไม่ได้ หากไม่ใช่เพราะรู้วิธีการของวี่เฟย ตอนนี้คนที่เสียโฉมก็คือนางแล้ว
วี่เฟยก็ถือว่ามีความสามารถเช่นกัน สำหรับผู้หญิง โดยเฉพาะผู้หญิงที่งดงามอย่างมา การเสียโฉมเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากกว่าการถูกฆ่าเสียอีก
และสำหรับฉินโม่เอ๋อร์แล้ว ใบหน้าเป็นเครื่องต่อรองเพียงสิ่งเดียวที่นางยังพอมีในวังหลังแห่งนี้
กู้ชิวเหลิ่งยังไม่ทันได้พูดอะไรสักคำ หน้าประตูก็มีนางกำนัลมาเชิญแล้ว กู้ชิวเหลิ่งจำนางกำนัลคนนี้ได้ เดิมทีก็เป็นนางกำนัลที่คอยรับใช้ในห้องหนังสือของจวินฉีเซิ่ง ตอนนี้นางมาด้วยตัวเอง ต้องเป็นคำสั่งของจวินฉีเซิ่งแน่นอน
“เรียนจวิ้นจู่ ฝ่าบาทมีรับสั่งเชิญที่ตำหนักจาวหรง”
กู้ชิวเหลิ่งแสร้งทำเป็นไม่รู้ กล่าวถาม: “เมื่อครู่นี้ได้ยินด้านนอกมีความเคลื่อนไหวผิดปกติ เกิดอะไรขึ้นที่ตำหนักจาวหรงใช่ไหม?”
นางกำนัลกล่าวออกมาตามความจริง: “เกิดเรื่องขึ้นกับฉินเฟยเหนียงเหนียงของตำหนักจาวหรง จวิ้นจู่โปรดตามบ่าวไปก่อนเถอะ”
กู้ชิวเหลิ่งก็ถือว่าได้เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยแล้ว ก็ไม่น่าแปลกใจ จวินฉีเซิ่งในฐานะที่เป็นฮ่องเต้ น้ำแกงหวานที่ส่งไปจะมีปัญหาได้อย่างไรกัน? จะต้องเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากคนที่ผ่านมืออย่างแน่นอน และที่นี่คนที่ผ่านมือที่เห็นได้ชัดเจนมากที่สุดก็คือกู้ชิวเหลิ่ง
จีเฟิงติดตามอยู่ด้านหลังของกู้ชิวเหลิ่ง เดินไปที่ตำหนักจาวหรงตลอดทาง นางกำนัลเร่งฝีเท้า เกรงว่าจะทำให้เหตุการณ์ล่าช้า
และเพิ่งถึงด้านนอกตำหนักของตำหนักจาวหรง กู้ชิวเหลิ่งก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของฉินโม่เอ๋อร์ ด้านนอกตำหนักยังมีนางกำนัลเข้าๆออกๆมากมาย เห็นได้ชัดว่าเกิดเรื่องใหญ่แล้ว
หยินซวงกับซวงมู่หรงอี๋นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้หลีฮวา สีหน้าท่าทางนั่นต่างก็มีความวิตกกังวล
หลังจากที่กู้ชิวเหลิ่งเข้ามาแล้ว มู่หรงอี๋ลุกขึ้นมาเป็นคนแรก กล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางเคียดแค้นชิงชังอย่างยิ่ง: “จวิ้นจู่ เหตุใดท่านถึงต้องทำร้ายฉินเฟยอย่างไม่มีเหตุผลด้วย? พวกท่านล้วนมาจากต้าเยียนทั้งนั้น ถึงกับลงมือโหดร้ายเช่นนี้?”
กู้ชิวเหลิ่งแสร้งทำเป็นไม่รู้สถานการณ์ภายในตำหนัก กล่าวว่า: “ข้าก็เพิ่งจะมาถึง ทำไมกุ้ยเฟยถึงได้กล่าวหาข้าไปเรื่อยเช่นนี้? ก็ต้องบอกข้าก่อนไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับฉินเฟยกันแน่? ข้าถึงจะยอมรับความผิดได้ใช่ไหม?”
เดิมทีก็เป็นมู่หรงอี๋เองที่ใจร้อนไปหน่อย เมื่อเห็นจวินฉีเซิ่งที่อยู่ด้านข้างกำลังทำหน้าเคร่งขรึม ถึงได้ลดน้ำเสียงลงมา กล่าวว่า: “เมื่อครู่นี้ข้าใจร้อนไปหน่อย ต้องขอโทษด้วยจริงๆ เพียงแต่ว่าอาการบาดเจ็บของน้องฉินเฟยสาหัสมากเกินไปจริงๆ หมอหลวงก็ยังสืบหาสาเหตุไม่พบ พิษนี้ร้ายแรงขนาดไหน? เวลาแค่ชั่วครู่เดียวเท่านั้น ใบหน้าของน้องฉินเฟยก็เน่าเปื่อยจนไม่เหลือสภาพแล้ว ข้าเห็นแล้วยังรู้สึกตกใจเลย”
กู้ชิวเหลิ่งมองเห็นได้รางๆจากฉากบังตาด้านหลัง มีเงาประมาณคนคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียง เห็นได้ชัดว่าหมดสติไปหลังจากเสียงกรีดร้องก่อนที่นางเข้าประตูมา
จวินฉีเซิ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปากอย่างไรดีจริงๆ อยู่ดีๆน้ำแกงหวานที่เขาส่งมา ถูกส่งไปตรงหน้าของฉินโม่เอ๋อร์โดยไม่มีเหตุผล นอกจากนี้หลังจากที่ฉินโม่เอ๋อร์ดื่มลงไปแล้ว สุดท้ายก็ถูกพิษจนกลายเป็นเช่นนี้ ทันทีที่เกิดเรื่องขึ้นมา คนที่ถูกสงสัยขึ้นมาก่อนไม่ใช่เขา แต่เป็นกู้ชิวเหลิ่ง
แม้แต่เขาก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อยเช่นกัน เพราะอะไรน้ำแกงที่เขาส่งไป สุดท้ายกลับไปอยู่ตรงหน้าฉินโม่เอ๋อร์ได้?
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า: ไม่ทราบว่าหมอหลวงได้บอกหรือไม่ว่า ฉินเฟยถูกพิษเพราะเหตุใด?”
หมอหลวงกล่าวว่า: “พิษนี้รุนแรงผิดปกติ กระหม่อมยังไม่สามารถตรวจพบได้ชั่วคราว”
ฉ่ายฉินที่คุกเข่าอยู่บนพื้นได้รับสายตาที่มู่หรงอี๋ส่งมา รีบคารวะหน้าผากแตะพื้นทันที กล่าวว่า: “ทูลฝ่าบาท! เห็นได้ชัดว่าหลังจากที่ฉินเฟยเหนียงเหนียงดื่มน้ำแกงหวานที่ฝ่าบาทส่งมาแล้ว ถึงได้กลายเป็นอย่างในตอนนี้!”
มู่หรงอี๋ตะโกนขึ้นมา: “บังอาจ! ความหมายของเจ้าคือฝ่าบาทวางยาพิษฉินเฟยงั้นหรือ?”
“ไม่ใช่เพคะ! คนที่มาบอกว่าเป็นน้ำแกงหวานที่ฝ่าบาทส่งมา ดังนั้นฉินเฟยเหนียงเหนียงจึงดื่มเลย แต่เมื่อครู่นี้นางกำนัลรับใช้ที่ส่งน้ำแกงมาบอกว่าน้ำแกงถ้วยนี้จวิ้นจู่เป็นคนให้ส่งมา ดังนั้นคนที่วางยาต้องเป็นจวิ้นจู่อย่างแน่นอน!”
นี่ถือได้ว่าเป็นการกล่าวหาต่อหน้าแล้ว
กู้ชิวเหลิ่งยิ้มราบเรียบ กล่าวว่า: “นางกำนัลรับใช้ที่อยู่ข้างกายฉินเฟยใจกล้ามากจริงๆ ไม่รู้หรือว่าการใส่ร้ายป้ายสีจวิ้นจู่ต่างแคว้น มีโทษแบบไหน? หรือว่าพวกท่านจะใช้โอกาสนี้ยั่วยุให้เกิดสงคราม? ใช้ข้าเป็นข้ออ้าง?”
มู่หรงอี๋ฮึเย็นชาออกมาคำหนึ่ง กล่าวว่า: “จวิ้นจู่ไม่ต้องพูดจาโน้มน้าว ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น เพียงแต่ว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นย่อมมีเหตุผล ทำไมจวิ้นจู่ต้องส่งน้ำแกงหวานที่ฝ่าบาทส่งมาไปให้ฉินเฟย? แล้วทำไมฉินเฟยดื่มน้ำแกงหวานที่มาจากจวิ้นจู่แล้วก็เสียโฉมเลย? กุญแจสำคัญที่อยู่ข้างในนี้ ไม่ทราบว่าจวิ้นจู่จะสามารถอธิบายได้หรือไม่?”
ในที่สุดจวินฉีเซิ่งที่เงียบอยู่นานพักใหญ่ก็เอ่ยปากขึ้นมา: “ฉินเฟยคือองค์หญิงเหอชิงของสองแคว้น ตอนนี้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ข้าจำเป็นต้องมีคำอธิบาย หวังว่าจวิ้นจู่จะให้ความร่วมมือ”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวอย่างราบเรียบ: “ได้ ในเมื่อฝ่าบาทพูดแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะพูดตามความจริงไม่ปิดบัง วันนี้เรื่องที่ฝ่าบาทคุยกับข้าในสวนยวี่ฮวา หลังจากกลับมาไม่นานฉินเฟยก็มาหาข้า ข้าก็ไม่ค่อยอยากจะพบฉินเฟยเพราะเรื่องที่คุยกับฝ่าบาท ดังนั้นก็เลยล่วงเกินฉินเฟยในเรื่องการให้เกียรติไป คืนนี้ฝ่าบาทส่งน้ำแกงหวานมา ข้าก็รู้สึกเสียใจกับเรื่องวันนี้ ดังนั้นจึงสั่งให้นางกำนัลรับใช้ส่งต่อไปให้ฉินเฟย และส่งไปในนามของฝ่าบาท หวังว่าฉินเฟยจะปล่อยวาง ถ้าหากนางกำนัลรับใช้ยังจำได้ชัดเจน ตั้งแต่ต้นจนจบข้าน่าจะไม่ได้แตะต้องน้ำแกงหวานที่อยู่ข้างในเลยใช่ไหม?”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องที่คุยกันที่สวนยวี่ฮวา ย่อมหมายถึงเรื่องที่จวินฉีเซิ่งเปิดเผยความในใจกับนาง สีหน้าของจวินฉีเซิ่งเปลี่ยนไปเล็กน้อย เชื่อในคำพูดของกู้ชิวเหลิ่งห้าหกส่วนแล้ว อย่างไรเสียฉินโม่เอ๋อร์กับกู้ชิวเหลิ่งก็ล้วนเป็นชาวต้าเยียน และฐานะก็สูงส่ง ถ้าหากถึงเวลาเข้าวังมาพร้อมกันจริงๆ ทั้งสองคนต้องพบหน้ากันอย่างกระอักกระอ่วนใจอย่างแน่นอน
คำอธิบายของกู้ชิวเหลิ่งก็ถือว่าสมเหตุสมผล มู่หรงอี๋กลับจับประเด็นเอาไว้ กล่าวถาม: “ฝ่าบาทกับจวิ้นจู่คุยเรื่องอะไรกัน?”
จวินฉีเซิ่งกล่าวเสียงเย็นชา: “นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรถาม”
มู่หรงอี๋ได้แต่หุบปากลงอย่างอับอาย จวินฉีเซิ่งมองไปที่นางกำนัลรับใช่ส่งน้ำแกงที่คุกเข่าอยู่บนพื้นครู่หนึ่ง กล่าวว่า: “ยังไม่รีบพูดมาตามความจริงอีก?”
นางกำนัลรับใช้รีบร้อนคารวะหน้าผากแตะพื้น กล่าวว่า: “สิ่งที่จวิ้นจู่พูดมาเมื่อครู่นี้คือความจริง จวิ้นจู่ไม่ได้แตะต้องน้ำแกงหวานจริงๆ เพียงแค่สั่งให้บ่าวส่งน้ำแกงมาในนามของฝ่าบาทเท่านั้น”
จวินฉีเซิ่งพยักหน้า กล่าวว่า: “เมื่อเป็นเช่นนี้ น้ำแกงหวานนี้นอกจากเจ้าแล้ว ก็ไม่มีใครเคยแตะต้อง?”
ใบหน้าของนางกำนัลรับใช้ซีดขาวในชั่วพริบตา อยู่ในวังหลังแห่งนี้ ไม่ทันได้ระวังไปครู่หนึ่ง ก็จะกลายเป็นแพะรับบาปของคนอื่น
นางกำนัลรับใช้คารวะหน้าผากแตะพื้นซ้ำๆ กล่าวว่า: “ไม่ใช่บ่าวนะ! คือชิงจวี๋กูกูในวังของวี่เฟย……นาง……”
“จนถึงตอนนี้ยังคิดจะใส่ร้ายป้ายสีอีก! ทหาร! ลากตัวนางกำนัลรับใช้คนนี้ออกไป! ตีให้ตาย!”