ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 208 เงอะงะ
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 208 เงอะงะ
หลังจากที่อาบน้ำเสร็จ กู้ชิวเหลิ่งก็รู้สึกสบายตัวขึ้นมาก อวี้ฉือจ้านสั่งการให้จีเฟิงไปเตรียมอาหารเช้าแล้ว ดูแล้วน่าอร่อยอย่างมาก ยิ่งเป็นเกี๊ยวกุ้ง กับขนมไห่ถังที่นางโปรดปราน
อวี้ฉือจ้านอุ้มกู้ชิวเหลิ่งมาถึงบนเก้าอี้ รู้สึกว่ายังไม่พอ สั่งการจีเฟิงที่อยู่ด้านข้างว่า: “ไปเอาเบาะนุ่มมาอันหนึ่ง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
จู่ๆกู้ชิวเหลิ่งก็รู้สึกน่าขำขึ้นมา: “ข้าก็แค่กินข้าวเช้าแค่นี้ ท่านจะให้เขาไปยกเบาะนุ่มมาทำไมกัน?”
“เก้าอี้มันแข็ง กลัวเจ้าจะนั่งไม่สบาย”
อวี้ฉือจ้านตักน้ำแกงเมล็ดบัวพุทราแดงเอาไว้ในฝ่ามือถ้วยหนึ่ง แล้วก็เป่าเบาๆ: “ข้าป้อนให้เจ้า”
“เป็นถึงเซ่อเจิ้งหวางแห่งต้าเยียน ถ้าหากถูกใครเห็นท่าทางเช่นนี้ของท่าน จะทำเช่นไร?”
อวี้ฉือจ้านป้อนกู้ชิวเหลิ่งไปหนึ่งคำ กล่าวต่อไปว่า: “ให้พวกเขารู้ว่าข้ากลัวเมียไม่ดีกว่าหรือ? สามารถทำให้คนไม่กล้าแตะต้องเจ้าแม้แต่น้อยโดยที่ดาบไม่เปื้อนเลือดเลย”
“ใช่แล้ว ชายารักของเซ่อเจิ้งหวาง จะมีใครไม่รักตัวกลัวตายกล้ามาแตะต้องหรือ?”
ชั่วครู่หนึ่ง จีเฟิงก็ยกเบานุ่มมาแล้ว และก็ถอยออกไปอย่างรู้งานมาก
อวี้ฉือจ้านประคองกู้ชิวเหลิ่งขึ้นมา จัดวางอยู่บนเบาะนุ่ม กล่าวว่า: “ก่อนที่เจ้าจะออกเดินทางเจ้าปิดบังข้าว่าจะเข้ามาในวังหลวงในนาทีแรก บัญชีนี้จะคิดอย่างไร?”
กู้ชิวเหลิ่งเลิกคิ้วเล็กน้อย กล่าวว่า: “ท่านรู้อยู่แล้วแท้ๆว่าข้าปิดบังท่าน ท่านยังแอบจัดการทุกอย่างให้ข้า บัญชีนี้จะคิดอย่างไร?”
“ข้าเป็นห่วงความปลอดภัยของเหนียงจื่อ”
“มีจีเฟิงอยู่ ท่านยังไม่วางใจอีก?”
อวี้ฉือจ้านเลิกคิ้ว กล่าวว่า: “เหมือนกับเมื่อวานนี้”
ความกล้าหาญของจวินฉีเซิ่งไม่ธรรมดาเลย ถึงกับกล้ามีความคิดเช่นนี้กับกู้ชิวเหลิ่งได้ ถ้าหากตอนนั้นเขามาช้าไปก้าวเดียว ยังไม่รู้จะกลายเป็นแบบไหนเลย
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า: “ความสามารถของข้าถึงแม้จะสู้ท่านไม่ได้ แต่ท่านก็อย่ามาดูถูกข้า เมื่อคืนถึงแม้ท่านจะมาไม่ทันเวลา พิษที่อยู่ในแขนเสื้อของข้าก็ไม่ใช่กระจอกนะ?”
ถอยหลังหมื่นก้าวมาพูด จีเฟิงยังเฝ้าอยู่ด้านข้าง ขอเพียงแค่รู้สึกว่าจวินฉีเซิ่งเข้าใกล้อีกก้าวเดียว เขาจะต้องพุ่งตัวออกมาอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าตอนนี้อวี้ฉือจ้านเป็นห่วงจนไม่สามารถมองปัญหาได้อย่างใจเย็นเท่านั้น
คิดถึงตรงนี้ ถึงแม้เบื้องหน้าอวี้ฉือจ้านจะไม่ถือสาแล้ว ในใจกลับแอบจำจวินฉีเซิ่งเอาไว้แล้ว
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า: “ท่านรู้หรือไม่ว่าเป่ยไห่เฟิงก็มาเช่นกัน?”
เมื่อเอ่ยถึงเป่ยไห่เฟิง อวี้ฉือจ้านก็กล่าวออกมาทันที: “ทันทีที่เขาออกจากประตูเมืองของเมืองหลวงต้าเยียน ข้าก็รู้แล้วว่าในใจเขาคิดอะไรอยู่ แต่ข้าคิดว่าด้วยไหวพริบความเฉลียดฉลาดของเหนียงจื่อ จะต้องทำให้เขาอ่อนน้อมว่านอนสอนง่ายอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นก็จะกลายเป็นหลักประกันที่สำคัญของเจ้าในวังหลวงของแคว้นฉี”
อวี้ฉือจ้านพูดจบ ก็ถูไปมาตรงบริเวณลำคอของกู้ชิวเหลิ่ง ไม่มีความคิดที่จะกินข้าวเช้าเลยแม้แต่น้อย
“เลิกเล่นได้แล้ว ข้ายังกินข้าวอยู่……”
คำพูดของกู้ชิวเหลิ่งยังพูดไม่ทันจบ ริมฝีปากของอวี้ฉือจ้านก็ประทับลงไปแล้ว มุมปากเกี่ยวขึ้นมาเล็กน้อย: “กินข้าจะไม่ดีกว่าหรือ?”
จีเฟิงเพิ่งจะผลักประตูเข้ามา เห็นภาพฉากนี้ก็รีบก้มหน้าลงในทันใด สีหน้าของอวี้ฉือจ้านเคร่งขรึมลงมา กล่าวถามด้วยเสียงเย็นชา: “มีเรื่องอะไร?”
“ฮ่องเต้ฉีมีคำเชิญ บอกว่าเป็นงานเลี้ยงสังสรรค์ชมดอกไม้อะไรนี่แหละ”
กู้ชิวเหลิ่งยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ใส่ขนมไห่ถังเข้าไปในปาก กล่าวว่า: “ได้บอกไหมว่าเป็นเวลาไหน?”
“ยามซื่อ”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า: “จีเฟิง เก็บของพวกนี้ไปเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากที่จีเฟิงเก็บของออกไปหมดแล้ว อวี้ฉือจ้านถึงได้กล่าวขึ้นมาว่า: “ข้ายังไม่ได้กินเลยสักคำเดียวนะ”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า: “เมื่อครู่นี้ท่านพูดเองว่าไม่กิน ข้าให้จีเฟิงเก็บออกไป มีอะไรไม่ถูกต้องหรือ?”
อวี้ฉือจ้านกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม: “ไม่มีอะไรไม่ถูกต้อง เมื่อเป็นเช่นนี้ เหนียงจื่อกินอิ่มหรือไม่?”
กู้ชิวเหลิ่งรู้สึกง่วงนอนมาก เมื่อคืนนัวเนียไปมาอยู่ทั้งคืนไม่ได้นอนหลับดีๆ กินข้าวเช้าแล้วก็แค่ “อืม” ออกมาคำหนึ่งอย่างเบื่อหน่าย
ใครจะรู้ว่ากู้ชิวเหลิ่งเพิ่งจะตอบไป ก็รู้สึกว่าอวี้ฉือจ้านก้าวขึ้นมาข้างหน้า กดกู้ชิวเหลิ่งเอาไว้ใต้เบาะนุ่มโดยไม่พูดอะไร แรงกำลังนั่นอ่อนโยนอย่างมาก แต่กลับไม่อนุญาตให้กู้ชิวเหลิ่งลุกขึ้นมา
อวี้ฉือจ้านเกี่ยวมุมปากขึ้นมา: “แต่ข้าหิวแล้ว”
แก้มของกู้ชิวเหลิ่งแดงขึ้นมาในทันใด เหมือนกับผลแอปเปิลที่เพิ่งสุกอย่างมาก เพราะจูบเมื่อครู่นี้ของอวี้ฉือจ้าน ริมฝีปากก็เปลี่ยนเป็นสีแดง น่ารักอย่างยิ่ง
อวี้ฉือจ้านกัดริมฝีปากล่างของกู้ชิวเหลิ่งเอาไว้เบาๆ สองมือยิ่งอยู่ก็ยิ่งอยู่ไม่สุขมากขึ้นเรื่อยๆ
กู้ชิวเหลิ่งอดที่จะกล่าวขึ้นมาไม่ได้: “มิน่าท่านถึงให้จีเฟิงเตรียมเบาะนุ่มมา ยังไม่ลุกขึ้นมาอีก?”
อวี้ฉือจ้านเลียมุมปากเล็กน้อย ถึงแม้จะรู้สึกยังไม่พึงพอใจเล็กน้อย แต่ก็ลุกขึ้นมาอย่างเชื่อฟัง เมื่อเห็นรอยแดงที่ชัดเจนตรงกระดูกไหปลาร้าของกู้ชิวเหลิ่ง อวี้ฉือจ้านถึงได้พยักหน้าด้วยความพอใจ
กู้ชิวเหลิ่งรู้สึกว่าตรงกระดูกไหปลาร้าปวดเมื่อยเล็กน้อย เดินไปถึงหน้ากระจกทองเหลือง ก็เห็นถึงรอยเขียวแดงนี้ อดที่จะรู้สึกขบขันขึ้นมาไม่ได้: “อีกสักครู่ยังจะไปงานเลี้ยงสังสรรค์ชมดอกไม้ ท่านจงใจใช่ไหม?”
“ในเมื่อเขาไม่ให้เกียรติเหนียงจื่อ เหนียงจื่อห้ามไม่ให้ข้าล้างแค้น ยังจะห้ามไม่ให้ข้าแสดงความเป็นเจ้าของหรือ?”
พูดไป อวี้ฉือจ้านก็โอบกอดกู้ชิวเหลิ่งจากด้านหลัง ประทับจูบลงไปตรงหลังหู กล่าวว่า: “ข้าช่วยเหนียงจื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า”
“อืม……หืม?”
กู้ชิวเหลิ่งรู้สึกว่าตัวเองถูกอวี้ฉือจ้านหยอกล้อจนชินแล้ว ถึงกับตอบตกลงไปอย่างง่ายดาย ในตอนที่รู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องถึงได้กล่าวว่า: “ข้าเปลี่ยนเองได้ ท่านออกไปเถอะ”
อวี้ฉือจ้านช่วยกู้ชิวเหลิ่งถอดผ้าคาดเอวอย่างไม่ฟังคำอธิบายแล้ว กล่าวว่า: “เห็นก็เห็นหมดแล้ว มารู้สึกอายตอนนี้หรืออย่างไร?”
แต่ว่าถึงแม้จะเป็นอวี้ฉือจ้านผู้ไม่เคยพ่ายแพ้ในศึกสงครามใด ก็เปลี่ยนเป็นกลัดกลุ้มอย่างมาก เครื่องแต่งกายของแคว้นฉี เขาใส่ไม่เป็นจริงๆ ได้แต่แก้ผ้าคาดเอวที่อยู่บนตัวของกู้ชิวเหลิ่งอย่างวุ่นวายสับสน จนถึงสุดท้ายยังทำให้มันกลายเป็นความยุ่งเหยิงวุ่นวาย
กู้ชิวเหลิ่งอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้: “เงอะๆงะๆ ท่านออกไปเลย ข้าแก้เอง”
“ไม่รบกวนเหนียงจื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า ข้าคอยเรียนรู้อยู่ด้านข้าง ครั้งหน้าจะได้แก้นิสัยเงอะงะนี้ไปได้”
ไม่ว่าจะอย่างไร สาวงามเปลื้องผ้าเขาดูแน่แล้ว
กู้ชิวเหลิ่งส่ายหน้าอย่างจนใจกล่าวขึ้นมาว่า: “ท่านจะออกไปหรือไม่?”
อวี้ฉือจ้านโอบเอวของกู้ชิวเหลิ่งเอาไว้ กล่าวว่า: “ไม่ออกไปก็ดีเหมือนกัน”
มือข้างหนึ่งของกู้ชิวเหลิ่งปิดตาของอวี้ฉือจ้านเอาไว้ อีกข้างหนึ่งก็ปลดผ้าคาดเอวออกอย่างเบามือ ได้ยินเสียงชุดกระโปรงร่วงหล่นลงพื้น อวี้ฉือจ้านคว้ามือของกู้ชิวเหลิ่งออก มองให้พอใจในครั้งเดียว
กู้ชิวเหลิ่งคลุมชุดใหม่ที่อยู่บนเตียงเอาไว้บนตัวแล้ว กล่าวว่า: “ใส่ไม่เป็น ครั้งหน้าก็ไม่ต้องมองแล้ว มองอย่างไรก็ไม่เข้าใจหรอก”
อวี้ฉือจ้านกล่าวว่า: “ในฐานะที่เป็นสะใภ้ของต้าเยียนข้า จะเข้าใจเครื่องแต่งกายของแคว้นฉีมากมายขนาดนั้นทำไมกัน?”
กู้ชิวเหลิ่งยิ้มออกมาเล็กน้อย เห็นดังนั้น ก็ไม่ปิดบังอีก ค่อยๆใส่เสื้อผ้าให้เสร็จช้าๆ อวี้ฉือจ้านหยิบหวีขึ้นมาแล้ว กล่าวว่า: “ถึงแม้จะใส่เสื้อผ้าไม่เป็น ก็จำเป็นต้องรวบผมเป็น”
กู้ชิวเหลิ่งไม่เชื่อหรอกว่าอวี้ฉือจ้านจะรวบผมเป็น เพียงแต่ปล่อยให้อวี้ฉือจ้านทำส่งเดชไปเรื่อยเท่านั้น แต่ตอนที่หวีไปได้ครึ่งหนึ่ง กู้ชิวเหลิ่งถึงได้รู้สึกผิดปกติ กล่าวถาม: “วิธีการรวบผมของท่านเป็นเอกลักษณ์ดี เรียนจากใครมาหรือ?”
อวี้ฉือจ้านโพล่งออกมาชื่อหนึ่งอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “ฝู้จื่อโม่”
ฝู้จื่อโม่ชอบมั่วสุมอยู่ในกลุ่มผู้หญิงตลอด จะบอกว่าวิธีการรวบผมนี้เรียนมาจากฝู้จื่อโม่ก็สมเหตุสมผลจริงๆ