ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 211 เรื่องผีสาง
จวินฉีเซิ่งได้ยินเรื่องจากปากของขันทีดังนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปเป็นซีดเผือด ท้ายที่สุดแล้วก็ได้โบกมือขึ้นตรัสว่า “ให้หมอผีพักรักษาร่างกายก่อนเถิด”
ขันทีจะกล่าวสิ่งใดได้อีกเล่า ท่าทางของเขาเช่นนั้นเห็นได้ชัดว่าตกใจเสียแทบแย่ ท้ายที่สุดแล้วจึงตัดสินใจถอยออกไป
จวินฉีเซิ่งหันกลับไปมองดูอวี้ฉือจ้าน ตรัสว่า “ในวันนี้ข้าเดินทางมารบกวนเซ่อเจิ้นหวางและพระชายา ข้ารู้สึกละอายใจยิ่งนัก ไว้วันหลังข้าจะเชิญทั้งสองไปร่วมมื้ออาหารด้วยอย่างเป็นทางการ วันนี้ข้ายังมีเรื่องต้องจัดการ คงมิสะดวกส่งทั้งสองด้วยตนเอง”
กล่าวจบ จวินฉีเซิ่งก็สั่งให้คนไปเตรียมเกี้ยวมาสองหลัง “ทั้งสองท่าน เดินทางปลอดภัย”
เดิมทีอวี้ฉือจ้านก็มิได้คาดหวังให้จวินฉีเซิ่งไปส่งเขา ยิ่งมิอยากเห็นจวินฉีเซิ่งให้รกหูรกตา สายตาเขามองไปทางอวี้ฉือจ้านที่ดูเหมือนจะรู้ถึงเรื่องนี้แล้ว เรื่องผีสางเหล่านี้ทำให้มู่หรงอี๋ถึงกับเป็นลม อวี้ฉือจ้านยิ้มขึ้นเบา ๆ ภรรยาของเขาช่างใจกล้าจริง
รอเมื่อกู้ชิวเหลิ่งขึ้นไปบนเกี้ยวแล้ว นางก็มิลืมที่จะหันไปเหลือบมองตำหนักเย็นที่มีไฟลุกโชน ทั้งที่เป็นเวลากลางวัน แต่ไฟนี้ราวกับส่องสว่างให้ท้องฟ้ากลายเป็นสีแดง คาดว่าในเวลานั้นที่ตระกูลมู่หรงถูกเผา ก็คงมีสภาพเช่นนี้
จวินฉีเซิ่ง มู่หรงอี๋ สิ่งที่เจ้าทั้งสองติดค้างข้าไว้ พวกเจ้าอย่าได้ลืมเลือน
ริมฝีปากของกู้ชิวเหลิ่งเผยอยิ้มขึ้นอย่างสง่ามั่นใจ มิมีผู้ใดสังเกตเห็น มีเพียงอวี้ฉือจ้านเท่านั้น เขามองไปตามแววตาของกู้ชิวเหลิ่ง พบว่าตำหนักเย็นแห่งนั้นกลายเป็นสถานที่อันผุพังไปเสียแล้ว
เมื่อเดินทางมาถึงตำหนักด้านข้าง กู้ชิวเหลิ่งก็พิงกายไปยังเตียงตั่งอย่างสบายอารมณ์ อวี้ฉือจ้านที่อยู่ด้านข้างคอยพัดวีให้นาง “เจ้าและจวินหวาเทียนสร้างเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อสิ่งใดกัน? เรื่องผีสางเหล่านี้ จากที่ข้าดู หาได้ทำให้จวินฉีเซิ่งตกใจแต่อย่างใด”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า “แน่นอนว่าเรื่องเพียงเท่านี้มิอาจทำให้จวินฉีเซิ่งตกใจได้ เขามิเคยเชื่อเรื่องผีสาง หากนำเรื่องนี้ผีสางนี้มาข่มขู่ให้เขาตกใจ เกรงว่าเขาคงคิดถึงกู้เจินเป็นอันดับแรก เรื่องผีลี้ลับนี้ เขาเก่งกว่าข้ามากยิ่งนัก”
“เหลิ่งเอ๋อร์ มีเรื่องใดที่ข้ามิอาจรู้ได้หรือ?”
น้ำเสียงของอวี้ฉือจ้านดูสงสัยและหนักอึ้งอย่างเห็นได้ชัด ทำให้กู้ชิวเหลิ่งชะงักลง นางและอวี้ฉือจ้านได้กลายเป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้องแล้ว นางควรเล่าทุกเรื่องให้เขาฟัง แต่นางก็ยังมีความลับ เพราะนางคือผู้ที่อาศัยร่างของกู้ชิวเหลิ่ง นางอยากจะเป็นเพียงกู้ชิวเหลิ่งเท่านั้น ส่วนมู่หรงชิว ได้ถูกทำลายโดยจวินฉีเซิ่งและมู่หรงอี๋ไปตั้งนานแล้ว
อวี้ฉือจ้านขมวดคิ้วขึ้นกล่าวว่า “หากเจ้ามิอยากให้ข้ารู้ เช่นนั้นข้าก็จะมิเอ่ยถามเจ้าอีก”
กู้ชิวเหลิ่งมองไปทางสายตาอันโดดเดี่ยวของอวี้ฉือจ้าน นางจึงทำได้เพียงเบี่ยงเบนข้อสนทนาไปว่า “จวินฉีเซิ่งมิเชื่อเรื่องผีสาง ดังนั้นข้าจึงปรึกษากับหยินเฟย แอบใส่ยากล่อมประสาทแก่มู่หรงอี๋ในอาหารนางจำนวนพอเหมาะ แต่เป็นชนิดเดียวกับหลิ่วอี๋เหนียงและหนานชางโหวถูกวางยาในงานเลี้ยง ดังนั้นในครั้งนี้ข้าต้องการข่มขู่มู่หรงอี๋ มิใช่จวินฉีเซิ่ง”
จวินฉีเซิ่งชายผู้นี้เป็นคนมากกลอุบาย มีเพียงมู่หรงอี๋เท่านั้นที่เคยเห็นมู่หรงชิวในวังหลังนั่น แน่นอนว่าจวินฉีเซิ่งจะต้องสงสัยนาง นับจากนี้อาการบ้าคลั่งของมู่หรงอี๋จะหนักขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อถึงเวลานั้น เพื่อชื่อเสียงของตนเองประกอบกับข่าวลือก่อนหน้า จวินฉีเซิ่งคงจะต้องเก็บมู่หรงอี๋เอาไว้แน่นอน
มู่หรงอี๋หวังว่าจะพึ่งพาจวินฉีเซิ่งไปตลอดชีวิต หวังว่าจะได้รับความรักและมั่งคั่งไปตลอดชีวิต แต่นางจะทำให้ความฝันอันงดงามเหล่านี้ของมู่หรงอี๋ต้องจบลงอย่างมิอาจเงยตาอ้าปากขึ้นได้ ต่อให้ตายไปก็ต้องเป็นดั่งสตรีบ้าคลั่ง
ดูเหมือนสัมผัสได้ถึงแววตาอาฆาตของกู้ชิวเหลิ่ง แม้อวี้ฉือจ้านจะมิรู้ว่าความแค้นอาฆาตนี้มีเหตุผลมาจากที่ใด แต่เขาจำได้ว่าตอนที่เขาได้เจอกับแม่นางผู้นี้ก็มีความรู้สึกเช่นนี้
จู่ ๆ อวี้ฉือจ้านก็รู้สึกปวดใจและเห็นใจ เขาลูบไปที่แก้มของกู้ชิวเหลิ่งเบา ๆ แล้วกระซิบขึ้นว่า “เจ้าหิวหรือไม่? ใกล้ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว เจ้าอยากกินอะไรหรือ?”
“ด้านนอกอากาศร้อนยิ่งนัก ข้ามิอยากอาหารเท่าไร”
อวี้ฉือจ้านนำกู้ชิวเหลิ่งดึงเข้ามากอด การกระทำเช่นนี้ทำให้กู้ชิวเหลิ่งรู้สึกตกตะลึง “มีเรื่องอันใดหรือ?”
“น้องนาง”
“หืม?”
“หากเจ้ามีเรื่องใดที่ปิดบังข้าเอาไว้ เพียงแค่เรื่องนี้มิเกี่ยวข้องกับอันตรายถึงชีวิตเจ้า ข้าจะมิเอ่ยถามให้มากความ”
ความรู้สึกอบอุ่นไหลผ่านเข้าไปในหัวใจ กู้ชิวเหลิ่งโอบกอดอวี้ฉือจ้านเช่นกัน นี่เป็นครั้งแรกที่นางกอดอวี้ฉือจ้านก่อน กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากร่างของอวี้ฉือจ้านปะทะจมูกนาง จึงทำให้กู้ชิวเหลิ่งสงบลงบ้างเล็กน้อย
อวี้ฉือจ้านเอ่ยขึ้นมาอย่างผ่อนคลายว่า “สู้เรามานอนกลางวันกันหน่อยดีหรือไม่”
น้ำเสียงนั้นแกมหลอกล้อ ทำให้แก้มของกู้ชิวเหลิ่งแดงเรื่อ ก่อนหน้านี้มิใช่ว่านางมิเคยออกเรือนมาก่อน แต่ครั้งนี้นางรู้สึกหวานชื่นในใจ มีความรู้สึกที่แปลกไปไหลผ่านเข้ามา
อวี้ฉือจ้านกอดกู้ชิวเหลิ่งไปวางลงที่บนเตียงด้วยท่าทางรีบร้อน สายตาของกู้ชิวเหลิ่งดุเล็กน้อย “ข้าง่วงแล้ว นอนเถิด”
มิใช่เรื่องง่ายกว่าที่อวี้ฉือจ้านจะตอบรับ เขากอดกู้ชิวเหลิ่งจากทางด้านหลัง
เดิมทีร่างของกู้ชิวเหลิ่งก็มิได้นับว่าสูงใหญ่ อวี้ฉือจ้านกอดนางและยังมีพื้นที่เหลือในอ้อมกอด อวี้ฉือจ้านชะโงกหน้าเข้าไปกระซิบข้างหูของกู้ชิวเหลิ่งเบา ๆ ว่า “ข้านอนมิหลับ”
“เจ้าจงหลับตาเสีย ประเดี๋ยวก็นอนหลับไปเอง”
กู้ชิวเหลิ่งมิรู้สึกว่าสิ่งใดผิดปกติไป แต่ในมิช้าอวี้ฉือจ้านก็เข้ามาเป่าลมที่ข้างหูนาง ทำให้กู้ชิวเหลิ่งขนลุกซู่
กู้ชิวเหลิ่งหันหลังกลับมา ศีรษะของนางชนข้าวกับหน้าอกของอวี้ฉือจ้านพอดี นางกล่าวว่า “อย่าดื้อรั้น ข้าง่วงจริง ๆ ”
อวี้ฉือจ้านนึกถึงว่าเมื่อคืนนี้ตนรบกวนนางหนักมาก กู้ชิวเหลิ่งได้หลับเพียงแค่มิกี่ชั่วโมงเท่านั้น เขาจึงว่าง่ายและมิได้ซุกซนอีก ให้กู้ชิวเหลิ่งนอนอยู่บนแขนของตนแล้วลูบไปที่ศีรษะของกู้ชิวเหลิ่งเบา ๆ
กู้ชิวเหลิ่งมิเคยนอนหลับเร็วมาก่อนเช่นนี้ ในฝันของนาง ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นอบอุ่นราบรื่น มิมีความโกรธแค้น มิได้ฝันถึงตระกูลมู่หรง ทั้งยังมิได้ยินเสียงของเด็กทารกน้อยร้องไห้
ปลายจมูกของนางสัมผัสได้ถึงกลิ่นความหอมของต้นไห่ถังมันเต็มไปด้วยทะเลกลีบดอกไม้ มองไปเป็นทุ่งหญ้าอันไร้ที่สิ้นสุด โคมไฟลอยซึ่งอยู่บนฟากฟ้าดุจดั่งดวงดาว ทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนดังอยู่ในความฝัน
แต่ในมิช้าทุกสิ่งทุกอย่างนี้ก็หายไป ต้นไห่ถังถูกเปลวไฟลุกไหม้ ทำให้ความฝันทุกสิ่งอย่างถูกทำลายลงในพริบตา อวี้ฉือจ้านบีบคอของนางไว้กล่าวด้วยน้ำเสียงและท่าทีอันเยือกเย็นไร้ความรู้สึกว่า “มู่หรงชิว เหตุใดเจ้าจึงต้องโกหกข้า! เจ้ามาอยู่ข้างกายข้าเพื่อสิ่งใดกันแน่?”
กู้ชิวเหลิ่งถูกบีบลำคอเสียจนมิอาจกล่าวเสียงใดออกมาได้ นางรู้สึกราวกับจะหมดสิ้นลมหายใจในบันดล เมื่อนางลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่าเหงื่อไหลเย็นท่วมทั่วร่างกาย
อวี้ฉือจ้านจับไปที่บ่าทั้งสองข้างของกู้ชิวเหลิ่งแล้วเอ่ยถามว่า “เจ้ามิสบายตรงใดหรือไม่ ฝันร้ายงั้นหรือ?”
กู้ชิวเหลิ่งจับจ้องไปที่ใบหน้าของอวี้ฉือจ้าน เมื่อคิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนฝันเห็นเมื่อครู่ ร่างของนางก็เย็นยะเยือก แม้แต่เลือดภายในร่างกายที่ไหลเวียนก็แทบจะหยุดแข็งอยู่กับที่ “อย่าแตะต้องตัวข้า!”
อวี้ฉือจ้านชะงักลงเล็กน้อย จากนั้นจึงวางมือลงแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งขึ้นมา เช็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นเต็มใบหน้าให้แก่นาง กู้ชิวเหลิ่งได้สติกลับคืนมาจึงได้รู้ว่าเมื่อครู่ที่นางฝันไปนั้นเป็นเรื่องโกหก ใบหน้าและริมฝีปากที่ดูซีดเผือดก็ยิ้มขึ้นเล็กน้อย “ข้ามิเป็นไร ข้าเพียงแค่ฝันร้ายเท่านั้น ข้าขอโทษ”