ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 215 ความตายของฉินโม่เอ๋อร์
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 215 ความตายของฉินโม่เอ๋อร์
ดูเหมือนว่ามู่หรงอี๋จะคว้าฟางเส้นสุดท้ายในชีวิตไว้ได้อย่างไรอย่างนั้น ‘ในเมื่ออยู่ในเมืองหลวงทุกอย่างก็จัดกันง่ายขึ้น’
มู่หรงอี๋กล่าวขึ้นกับยีชุ่ยว่า “จงส่งท่านหมอผีกลับไป ในวันพรุ่งนี้ให้คนไปรับเขาเข้าวัง”
“เจ้าค่ะ”
มู่หรงอี๋เอ่ยถามว่า “ท่านหมอผีเปิดเผย ฉายาของท่านได้หรือไม่”
“ฉายานั้น คาดว่ากุ้ยเฟยคงจะเคยได้ยินมาก่อน หมอผีไท่ซวีจากเขาไท่ซวี”
หมอผีไท่ซวีจากเขาไท่ซวีนั้นเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วหน้า มู่หรงอี๋เองก็คิดมิถึงว่าจะเป็นผู้อาวุโสที่มีคุณธรรมเช่นนี้ ดังนั้นนางจึงไว้ใจกู้เจินขึ้นอีกเล็กน้อย “ในเมื่อเป็นหมอผีไท่ซวี เช่นนั้นข้าก็รู้สึกวางใจ”
มู่หรงอี๋ส่งสายตาไปทางยีชุ่ย ยีชุ่ยเข้าใจในทันทีแล้วเดินตรงเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้ากู้เจิน ทำท่าทางเชิญชวนกล่าวว่า “ข้าน้อยจะส่งท่านอาจารย์กลับไปเจ้าค่ะ”
กู้เจินพยักหน้าเล็กน้อย มู่หรงอี๋นั่งอยู่บนตั่งนอนของกุ้ยเฟย บัดนี้นางราวกับมีคนคอยสนับสนุนจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
จวินฉีเซิ่งนั่งอยู่ในห้องทรงพระอักษรด้วยความหงุดหงิดหัวใจ ขันทีซึ่งอยู่ด้านข้างกล่าวขึ้นว่า “ไฟในตำหนักเย็นถูกดับลงแล้วพ่ะย่ะค่ะ เหลือไว้เพียงซากเล็กน้อย ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมมหาศาล อีกทั้งสนมที่ถูกปลดและนางในก็เสียชีวิตไปมากมาย”
“เรื่องนี้สั่งให้หยินเฟยไปจัดการ”
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ……ฉินเฟยฟื้นขึ้นแล้ว ใบหน้าของนาง……”
เรื่องนี้คือสิ่งที่ทำให้จวินฉีเซิ่งรู้สึกปวดหัวเป็นอย่างยิ่ง ฉินโม่เอ๋อร์ในฐานะองค์หญิงเหอชินเดินทางมาราชวงศ์แคว้นฉีได้เพียงมินาน กลับเกิดเรื่องราวเช่นนี้ขึ้น บัดนี้อวี้ฉือจ้านเองก็เดินทางมาด้วย หากว่าเรื่องของฉินโม่เอ๋อร์ ส่งไปถึงหูของต้าเยียน เกรงว่าจะสร้างความโมโหให้แก่ต้าเยียนเป็นอย่างยิ่ง ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันของต้าเยียน หากสองประเทศเกิดสงครามกัน คลังอันว่างเปล่าของแคว้นฉีจะไปสู้ได้อย่างไร จึงพ่ายแพ้อย่างมิต้องสงสัย
“จงส่งคนไปหาของกำนันสองสามชิ้นแล้วนำไปมอบให้ถึงห้องบรรทมของฉินเฟยกล่าวว่าข้าเป็นคนมอบให้ เพื่อนางจะได้รู้สึกสบายใจ”
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
จวินฉีเซิ่งกล่าวขึ้นด้วยความเย็นชาว่า “ช้าก่อน เหตุไฟไหม้ในตำหนักเย็นนั้นมาจากสาเหตุใดเจ้าจงไปสืบให้ข้า”
เมื่อตอนที่ขันทีได้ยินคำว่าไฟผี ก็รีบคุกเข่าลงสู่พื้นอย่างรวดเร็วแล้วกล่าวว่า “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมิกล้าเอ่ยเท็จ หลายวันมานี้ทั้งบ่าวรับใช้ นางในและขันทีล้วนมองเห็นไฟนั้นมันเป็นไฟสีน้ำเงิน มิมีผู้ใดรู้ว่าเหตุใดมันจึงลอยไปอยู่บนตำหนักเย็น และเกิดไฟติดขึ้นในทันที แม้ว่าจะรีบดับไฟในทันควัน แต่ไฟนั้นก็แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วดูมิเหมือนไฟในโลกมนุษย์เรา……”
จวินฉีเซิ่งได้ยินดังนั้นก็ยิ่งรู้สึกปวดหัว เขาหงุดหงิดเสียจนปัดถ้วยน้ำชาร่วงลงสู่พื้นแล้วตะโกนด้วยความโกรธเคืองว่า “ข้าขึ้นครองบัลลังก์มาสี่ปี จู่ ๆ ก็เกิดเรื่องผีสางโกลาหลขึ้นในวังหลัง ผีไฟนี้เหตุใดจึงปรากฏขึ้น หรือเป็นเพราะข้ามิสมควรขึ้นเป็นฮ่องเต้?!”
ขันทีกลอกตามองและคุกเข่าลง เขาโขกศีรษะลงพื้นแล้วรีบทูลว่า “กระหม่อมมิได้หมายความเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมิกล้า ฝ่าบาทโปรดทรงพระเมตตา!”
“มิว่าเรื่องผีไฟจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เจ้าก็จงไปสืบดูให้ข้า หากมีคนปล่อยข่าวลือเรื่องผีสาง นั่นก็เป็นเพราะผู้คนตื่นตระหนกไปกันเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จำเป็นต้องมีคนตาย คำของข้าเจ้าเข้าใจหรือไม่!”
ขันทีคุกเข่าลงบนพื้น เขาพอจะเข้าใจอยู่เล็กน้อยจึงรีบทูลตอบว่า “กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จวินฉีเซิ่งโบกมือขึ้นอย่างไร้ความอดทน หลังจากที่ขณะที่เดินจากไปแล้ว จวินฉีเซิ่งจึงได้เอ่ยขึ้น “องครักษ์ลับเจ้าอยู่ที่นี่หรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
จวินฉีเซิ่งกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอันเคร่งขรึมว่า “ผู้ใดก็ตามที่เห็นผีไฟในวันนั้น นอกจากเซ่อเจิ้งหวางแห่งต้าเยียนและพระชายา จงสังหารให้สิ้น!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
จวินฉีเซิ่งหวังเพียงแต่ว่ามู่หรงอี๋จะมิเข้าไปทำลายเรื่องต่าง ๆ ของตน
ต่อให้ในโลกใบนี้จะมีผีสางนางไม้ แต่เขาในฐานะผู้นำของประเทศ เขาคือมังกรจากสวรรค์อย่างแท้จริง ต่อให้เป็นวิญญาณของมู่หรงชิวเขาก็จะมิให้ก้าวเข้ามาแม้แต่ครึ่งก้าว!
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ เกิดเรื่องขึ้นกับฉินเฟยเหนียงเหนียงพ่ะย่ะค่ะ!”
ดวงตาของจวินฉีเซิ่งแข็งทื่อ “เกิดเรื่องใดขึ้นอีกเล่า?”
“ฉินเฟยเหนียงเหนียง…… เสียชีวิตแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
“อะไรนะ?!”
ใบหน้าของจวินฉีเซิ่งตกอยู่ในอาการตกตะลึง ฉินโม่เอ๋อร์เพียงแค่เสียโฉมเท่านั้น เหตุใดระยะเวลามิถึงครึ่งชั่วโมงยามนางกลับสิ้นใจลงได้
“ขันทีซึ่งนำของกำนัลไปมอบให้มองเห็นฉินเฟยเหนียงเหนียงทรงนอนอยู่บนเตียง ท่าทางราวกับถูกยาพิษ และหมดลมหายใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จวินฉีเซิ่งมิรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรดี ฉินโม่เอ๋อร์เดินทางมาที่นี่ระยะเวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนกว่า นางเสียโฉมมิเท่าไร บัดนี้ยังสิ้นชีวิตลงอีก เรื่องนี้หากไปถึงหูของอวี้ฉือจ้านจะทำอย่างไรดีเล่า?
“อะไรเล่า เจ้ามีเรื่องอะไรปิดบังข้าอีกงั้นหรือ!”
องครักษ์ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นรีบกล่าวขึ้นว่า “มิเพียงแต่ฉินเฟยเหนียงเหนียงจะสิ้นลม แม้แต่บ่าวรับใช้ข้างกายฉินเฟยเหนียงเหนียงที่นามว่าฉ่ายฉินก็หาไม่พบ ได้ยินมาว่านางหายตัวไปพ่ะย่ะค่ะ……”
“ได้ยินงั้นหรือ ได้ยินมานั้นหมายความว่าอย่างไร จงเตรียมเกี้ยว ข้าจะไปยังตำหนักจาวหรง!”
บัดนี้เขายังมิอยากจะทำให้ต้าเยียนต้องรู้สึกขุ่นเคืองใจ อีกอย่างอวี้ฉือจ้านก็ยังอยู่ที่นี่ ข่าวคราวเหล่านั้นจะหลุดลอยไปเมื่อไหร่ก็ได้
จวินฉีเซิ่งนั่งอยู่ในเกี้ยวด้วยท่าทางอันรีบร้อนแล้วเดินทางไปที่ตำหนักจาวหรงทันที
ส่วนอีกด้านหนึ่ง จีเฟิงเองก็เดินทางมารายงานว่าฉินโม่เอ๋อร์สิ้นใจอยู่ในตำหนักเฟิงหรวนของตน ท่าทางตอนที่นางสิ้นใจนั้นดูน่าหวาดกลัว ผู้ใดเห็นล้วนเป็นต้องขยะแขยง
กู้ชิวเหลิ่งขมวดคิ้วขึ้นเบา ๆ “วี่เฟยหาได้มีเจตนาฆ่าผู้ใด เพียงแค่ทำลายให้เสียโฉมเท่านั้นเหตุใดจึงถึงแก่ชีวิตได้ รู้เหตุผลการตายหรือไม่?”
“สิ้นใจเพราะถูกพิษขอรับ”
จีเฟิงตอบอย่างคล่องแคล่วว่องไว จนทำให้กู้ชิวเหลิ่งรู้สึกสงสัยเล็กน้อย ผู้ที่เป็นมือสังหารคงมิใช่วี่เฟยอย่างแน่นอน ส่วนมู่หรงอี๋ก็ถูกกักบริเวณ นางสนมที่ถูกทำลายหน้าตาจนเสียโฉมมิเกี่ยวข้องอันใดกับนางดังนั้นผู้ที่ลงมือคงมิใช่มู่หรงอี๋
ฉินโม่เอ๋อร์เดินทางมาที่แคว้นฉีเป็นครั้งแรก ด้วยลักษณะนิสัยของนางมิควรที่จะสร้างศัตรูอย่างรวดเร็วเช่นนี้ได้ ใครกันเล่าเป็นคนสังหารฉินโม่เอ๋อร์
“นอกเหนือจากนั้นมีสิ่งใดผิดปกติไปหรือไม่?”
“เมื่อฉินเฟยสิ้นลมหายใจ ตำหนักจาวหรงก็ถูกปิดกั้นข่าวสาร แต่ข้าน้อยสืบพบมาว่า สาวรับใช้ข้างกายของฉินเฟย นามว่าฉ่ายฉินได้หายตัวไป และฉ่ายฉินเป็นคนที่เคยอยู่ข้างกายของหลิ่วกุ้ยเฟย ถูกส่งให้มาอยู่ข้างกายเป็นบ่าวรับใช้คนสนิทของฉินเฟย เมื่อนางหายตัวไปเช่นนี้ เป็นสิ่งที่น่าคิดยิ่งนัก”
หลังจากที่จีเฟิงกล่าวสิ่งต่าง ๆ มากมายดังนั้นออกมา กู้ชิวเหลิ่งก็หัวเราะขึ้นด้วยความเย็นชาว่า “พวกเราเองก็ควรจะเดินทางไปที่ตำหนักจาวหรงสักหน่อย ถึงอย่างไรก็เป็นคนจากแคว้นเดียวกัน เมื่อองค์หญิงเกิดเรื่องขึ้น เซ่อเจิ้งหวางมิสมควรจะเดินทางไปเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่องค์หญิงสักหน่อยหรือ?”
อวี้ฉือจ้านเผยอยิ้มขึ้น “น้องนางว่าอย่างไร ข้าก็ว่าตามนั้น”
กู้ชิวเหลิ่งได้วางแผนเอาไว้แล้ว และสวรรค์ช่างช่วยนางจริง ๆ ฉินโม่เอ๋อร์สิ้นใจในต้าเยียนก็มิได้ส่งผลกระทบเท่าไรนัก แต่ว่านางสิ้นใจในแคว้นฉี สำหรับจวินฉีเซิ่งแล้วนับว่าเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว เนื่องจากเขามิมีความสามารถในการต่อสู้กับต้าเยียนและซีจิ้งได้ ดังนั้นเขาจึงมิต้องการทำสงครามในบัดนี้ หากว่าในครั้งนี้อวี้ฉือจ้านขูดรีดเอาจากจวินฉีเซิ่งคาดว่าคงจะได้รับสิ่งตอบแทนกลับมามิน้อย
แน่นอนว่าอวี้ฉือจ้านรู้ถึงความคิดของกู้ชิวเหลิ่ง เขารู้สึกว่าตนช่างโชคดีเหลือเกินที่มีภรรยาดีพร้อม นางมิเพียงแต่รู้จักวิธีการใช้เงิน ยังรู้จักวิธีหาเงินอีกด้วย ที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือนางมีความเฉลียวฉลาด หน้าตางดงามกว่าสตรีใดในโลก
ทั้งสองคนเดินทางมาถึงตำหนักจาวหรงด้วยความรวดเร็วพอ ๆ กันกับจวินฉีเซิ่ง
จวินฉีเซิ่ง ทำใบหน้าอันเก้กังแล้วรีบกล่าวขึ้นว่า “เซ่อเจิ้งหวาง……”
อวี้ฉือจ้านกล่าวด้วยใบหน้าเย็นชาว่า “ข้าได้ยินมาว่าเกิดเรื่องขึ้นกับองค์หญิงแห่งต้าเยียน ดังนั้นจึงได้เดินทางมาดูว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่”