ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 216 ชันสูตรศพ
จวินฉีเซิ่งแอบตำหนิบ่าวรับใช้เหล่านี้อยู่ในใจเหตุใดมิปิดกั้นข่าวให้สนิทแน่นกว่านี้ เหตุใดอวี้ฉือจ้านจึงได้รู้ข่าวคราวการตายของฉินเฟยรวดเร็วเช่นนี้ ใบหน้าของเขามิอาจยิ้มขึ้นได้ “ข้าเองก็เพิ่งรู้ข่าวเมื่อครู่ ในเมื่อเซ่อเจิ้งหวางและพระชายาได้รับรู้ข่าวนี้แล้ว ข้าก็คงทำได้เพียงกล่าวขออภัย”
“เมื่อวานนี้ฉินเฟยเหนียงเหนียงเกิดเสียโฉมขึ้นและในวันนี้ก็เกิดเรื่องราวเช่นนี้อีก ข้าเองเป็นกังวลมากยิ่งนัก เมื่อได้ยินว่าฉินเฟย ถูกวางยาจนถึงแก่ชีวิต ข้าจึงต้องเดินทางมาดูสักหน่อยว่าเรื่องราวเป็นมาเช่นไร หากว่านางถูกพิษจนถึงแก่ชีวิตจริง ฮ่องเต้ฉี ท่านควรจะอธิบายเรื่องนี้แก่เรา”
แววตาของกู้ชิวเหลิ่งเย็นชา ทำให้จวินฉีเซิ่งตกใจยิ่ง แต่เขามิรู้ว่าบัดนี้ควรจะกล่าวอย่างไรดี
อวี้ฉือจ้านรีบเอ่ยเสริมขึ้นว่า “หน้าที่และความรับผิดชอบขององค์หญิงเหอชินนั่นก็คือให้ทั้งสองประเทศเกิดความปรองดองกันอย่างสงบสุข ทว่าบัดนี้องค์หญิงเหอชินเดินทางมาแคว้นฉีได้เพียงแค่เดือนกว่าก็ถึงแก่ชีวิต หากว่าฮ่องเต้ฉีท่านมิอาจชี้แจงเรื่องนี้กับเราให้เป็นที่น่าพึงพอใจล่ะก็ เกรงว่าเมื่อกลับไปแล้วข้าคงจะอธิบายให้แก่ฮ่องเต้และราษฎรของเราได้ยาก”
การจากไปขององค์หญิงเหอชินเป็นเรื่องใหญ่ยิ่งนัก อีกอย่างฉินโม่เอ๋อร์เดินทางมาได้เพียงแค่หนึ่งเดือนเศษก็พบกับเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย ทั้งเสียโฉมและถูกวางยาพิษจนกระทั่งเสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน หากเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไป คนอื่นคงจะรู้ว่าวังหลังของแคว้นฉีนั้นมิสงบสุขและนั่นจะเป็นปัญหาใหญ่ของฮ่องเต้
กู้ชิวเหลิ่งคว้าแขนของอวี้ฉือจ้านเอาไว้แล้วกล่าวว่า “พวกเราเข้าไปดูด้านในกันเถิด”
“อืม”
กู้ชิวเหลิ่งและอวี้ฉือจ้านเดินตรงเข้าไปในตำหนักจาวหรงส่วนจวินฉีเซิ่งทำได้เพียงมองดูกู้ชิวเหลิ่งกับอวี้ฉือจ้านเดินตรงเข้าไปด้วยกันอย่างพร้อมใจ ในใจของเขารู้สึกไร้ความอดทนยิ่งนัก รวมทั้งรู้สึกมิสบายใจเป็นอย่างยิ่ง หากในตอนนั้นกู้ชิวเหลิ่งเป็นองค์หญิงเหอชินล่ะก็ ทุกอย่างจะเริ่มต้นดีเพียงใด
จวินฉีเซิ่งเดินตรงเข้าไปด้านใน สภาพศพของฉินโม่เอ๋อร์ถูกเปิดเผยขึ้นท่ามกลางห้องโถง ใบหน้าของกู้ชิวเหลิ่งแสดงท่าทีอันเย็นชาออกมาแล้วกล่าวว่า “ฉินเฟยเป็นองค์หญิงเหอชินของต้าเยียนเรา เมื่อนางสิ้นใจลงเช่นนี้จะมิมีผู้ใดสนใจนางเลยหรือ นางเป็นถึงเฟยจื่อ แต่เมื่อนางสิ้นใจลงแล้วกลับมิมีผู้ใดนำผ้าขาวมาคลุมให้แก่นาง ฮ่องเต้ฉี ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับการแต่งงานระหว่างสองประเทศนี้กัน?”
จวินฉีเซิ่งเห็นท่าทีของกู้ชิวเหลิ่งที่ดูเคร่งขรึม น้ำเสียงนั้นแสดงมิเห็นถึงความจงใจที่จะทำให้ใครต้องหนักใจหรือเสแสร้ง เขาจึงได้รีบกล่าวขึ้นว่า “เรื่องของฉินเฟยนั้น ข้าอาจละเลยไปบ้างเล็กน้อยตามที่ท่านกล่าว ทหาร! ยังมิรีบนำร่างของฉินเฟย ใครบรรจุใส่ในโลงศพอีกหรือ!”
“ช้าก่อน!”
อวี้ฉือจ้านเดินตรงมาหยุดอยู่ตรงหน้าร่างของฉินโม่เอ๋อร์ กล่าวด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา “ตายด้วยพิษงั้นหรือ ผู้ชันสูตรศพเล่า? ให้พวกเขามาชันสูตรพลิกศพดู”
จวินฉีเซิ่งขมวดคิ้วขึ้นแล้วกล่าว “ตามธรรมเนียมแล้วนั้น หากคนในราชวงศ์สิ้นลมหายใจ มิอนุญาตให้มีการชันสูตรพลิกศพ”
“แต่บัดนี้นางเป็นองค์หญิงเหอชินแห่งต้าเยียนของเรา ภารกิจขององค์หญิงเหอชินนั่นก็คือส่งเสริมสันติภาพระหว่างทั้งสองประเทศ เมื่อนางสิ้นใจลงอย่างลึกลับ มิควรที่จะค้นหาความจริงเป็นอันดับแรกหรือ การทำเช่นนี้เพื่อต้องการปกป้องชื่อเสียงของราชวงศ์อย่างนั้นหรือ?”
สิ่งที่อวี้ฉือจ้านกล่าวไปนั้นมิได้ไร้เหตุผล แต่ในใจของจวินฉีเซิ่ง หากเปรียบเทียบกันกับความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่สำคัญกว่าคือชื่อเสียงและใบหน้าของราชวงศ์ มิต้องกล่าวถึงว่าหากได้รับการยืนยันถึงเหตุผลการเสียชีวิตของฉินโม่เอ๋อร์ว่าเกิดจากพิษร้าย ก็คงจะมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากกับหลาย ๆ เรื่อง เมื่อถึงเวลานั้นการทำให้ต้าเยียนต้องรู้สึกโมโหหาใช่เรื่องดี
“ทำไมงั้นหรือ? เรื่องราวมาถึงบัดนี้แล้ว ฮ่องเต้ฉีท่านยังลังเลใจอยู่? หรือท่านลังเลว่าจะโกหกหลอกลวงข้าและราษฎรของต้าเยียนอย่างไร”
น้ำเสียงของอวี้ฉือจ้านเต็มไปด้วยอารมณ์ ทำให้จวินฉีเซิ่งมิอาจตอบรับออกมาได้ เขาจึงทำได้เพียงกล่าวว่า “สันติภาพระหว่างทั้งสองประเทศมิเพียงแต่เซ่อเจิ้งหวางเท่านั้นที่คาดหวัง ข้าเองก็อยากให้มันเป็นเช่นนั้นด้วย ข้าจะต้องการคิดหลอกลวงอะไรกันอีกเล่า เพียงแต่การสิ้นใจลงของฉินเฟยนั้นกะทันหันยิ่งนัก ข้ากำลังสงสัยว่ามีใครบางคนต้องการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเราอยู่หรือไม่ เรื่องนี้ยากที่จะบอก”
กู้ชิวเหลิ่งที่อยู่ด้านข้างกล่าวขึ้นว่า “แท้จริงแล้วฮ่องเต้ฉีท่านมิจำเป็นต้องกังวลให้มากไป เพียงแค่ให้คำอธิบายแก่พวกเราถึงสาเหตุการตายอันแท้จริงของฉินเฟย แล้วจับฆาตกรที่อยู่เบื้องหลังมาลงโทษได้ พวกเราก็จะให้คำอธิบายที่สมเหตุสมผลแก่ราษฎรของต้าเยียน มิฉะนั้น เกิดสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ขึ้นแล้วจะให้พวกเรามิสนใจได้อย่างไร”
จวินฉีเซิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “พระชายาเซ่อเจิ้งหวางกล่าวได้ถูกต้องแล้ว ข้าจะให้คนไปตามผู้ชันสูตรศพมา เพียงแค่ค้นหาสาเหตุการตายอันแท้จริงได้ก็เป็นการดี ท่านทั้งสองโปรดรออยู่ที่นี่เถิด”
กู้ชิวเหลิ่งและอวี้ฉือจ้านหันมาสบตาชำเลืองมองกัน กู้ชิวเหลิ่งเอ่ยขึ้นว่า “พวกเราจะนั่งรอผลการชันสูตรศพอยู่ที่นี่ ระยะเวลาครึ่งชั่วโมงยาม สามารถจัดการได้หรือไม่?”
จวินฉีเซิ่ง ชะงักลงเล็กน้อยก่อนจะตอบว่า “ย่อมได้”
แน่นอนว่าเขามิต้องการให้อวี้ฉือจ้านและกู้ชิวเหลิ่งรออยู่ที่นี่เป็นเวลานาน หากว่ารอนานเกินไป เขาอาจจะถูกสงสัยว่าตั้งใจยื้อเวลา
เขามิรู้ว่าผู้ใดฆ่าฉินโม่เอ๋อร์ แต่ก็มิต้องการจะถูกใส่ร้ายเช่นนี้
“ทหารจงไปตามตัวผู้ชันสูตรศพมาที่นี่!”
ด้วยคำสั่งของจวินฉีเซิ่ง บ่าวรับใช้รีบไปจัดการทันที เนื่องจากการที่พระสนมของฮ่องเต้ถูกชันสูตรพลิกศพนั้นเป็นเรื่องที่หายากยิ่งนัก แม้แต่ในตอนนั้นที่มู่หรงชิวถึงแก่ชีวิตก็มิได้ถูกชันสูตรศพ บัดนี้หากเรื่องการชันสูตรศพถูกเผยแพร่ออกไป ราชวงศ์จะเอาหน้าไปไว้ที่ใด
ผ่านไปเพียงมินาน ที่ด้านนอกก็มีหญิงคนหนึ่งอายุประมาณสี่สิบปีเดินตรงเข้ามาโค้งกายลง อวี้ฉือจ้านจึงกล่าวขึ้นว่า “อย่าได้มากพิธีการไป บัดนี้จงไปชันสูตรศพของฉินเฟยเถิด อย่าได้เกิดข้อผิดพลาดแม้แต่น้อย”
ผู้ชันสูตรศพหญิงคุกเข่าลงที่พื้นแล้วกล่าวว่า “เพคะ”
ผู้ชันสูตรศพใช้ฉากกั้นมากั้นเอาไว้ เพียงแค่มองไปยังใบหน้าของฉินโม่เอ๋อร์ก็เรียกได้ว่าแทบจะเป็นลมล้มลง นางมิเคยเห็นใบหน้าของสตรีผู้ใดที่เน่าเฟะเช่นนี้มาก่อน สภาพเช่นนี้ยากนักที่จะพรรณนา
ผู้ชันสูตรศพเห็นดังนั้นจึงได้รีบวิ่งออกมา กล่าวว่า “ฝ่าบาท ขอทรงพระกรุณาด้วยเพคะ หม่อมฉันเป็นเพียงแค่นางในเก่าแก่คนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นผู้ชันสูตรศพ แต่ก็มิมีความรู้ที่จะผ่าท้องดูด้านในได้ หม่อมฉันรู้เพียงแค่ว่า ฉินเฟยเหนียงเนียนแลดูเหมือนจะตายด้วยถูกพิษ แลดูเหมือนจะสิ้นใจอย่างกะทันหัน ส่วนที่เหลือนั้นหม่อมฉันมิอาจทนตรวจต่อไปได้เพคะ”
จวินฉีเซิ่ง ชำเลืองมอง เห็นอวี้ฉือจ้านซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วขมวดคิ้ว เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า “ไร้ประโยชน์ยิ่งนัก ยังมิรีบไสหัวออกไปอีกหรือ!”
“เพคะฝ่าบาท หม่อมฉันทูลลา!”
กู้ชิวเหลิ่งเดินตรงเข้าไปแล้วกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “แคว้นฉีมิมีผู้ชันสูตรพลิกศพที่มีความสามารถเลยงั้นหรือ?”
จวินฉีเซิ่งยังนับว่ามีความอดทนสูง เขากล่าวขึ้นว่า “พระชายาเซ่อเจิ้งหวางอาจมิรู้ ราชวงศ์มีกฎของราชวงศ์อยู่ ในเมื่อฉินเฟย ได้เป็นนางสนมของข้าแล้ว ต่อให้นางสิ้นใจลงก็มีเพียงนางในอาวุโสของราชวังเท่านั้นที่จะมาทำการชันสูตรพลิกศพได้ ส่วนผู้อื่นมิอาจแตะต้องตัวนาง”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวทิ้งท้าย “ในเมื่อแคว้นฉีมิมีผู้ชันสูตรศพสักคนที่เชื่อถือได้ ถ้าเช่นนั้นข้าจะลงมือเอง หากว่าฮ่องเต้ฉีมิเชื่อข้า สามารถให้หมอหลวงอาวุโสมาคอยดูอยู่ด้านข้างโดยใช้ฉากกั้นกันเอาไว้ แน่นอนว่าเขาจะต้องเป็นผู้ที่มีประสบการณ์มากมาย เมื่อถึงเวลานั้น หากฮ่องเต้ฉีแม้จะมิเชื่อคำของข้า แต่หมอหลวงคงจะสามารถเป็นพยานได้อย่างแน่นอน”
สีหน้าของจวินฉีเซิ่งพยายามเผยถึงรอยยิ้มอันสุภาพแล้วกล่าวว่า “พระชายาเซ่อเจิ้งหวางกล่าวสิ่งใดกัน ข้าจะมิเชื่อคำของพระฉายาเซ่อเจิ้งหวางได้อย่างไร เพียงแต่ว่ายากทีเดียวที่จะหาผู้ชันสูตรศพหญิงที่มีคุณสมบัติสูงได้ พวกเราควรจะให้หมอหลวงคอยดูอยู่ด้านข้าง ทหาร จงไปตามหมอหลวงเข้าวัง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
กู้ชิวเหลิ่งคาดเดาไว้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วว่าจวินฉีเซิ่งจะมิปล่อยนางเอาไว้คนเดียวโดยวางใจอย่างแน่นอน ดังนั้นนางจึงจงใจกล่าวประโยคนี้ออกมา เมื่อถึงเวลาที่นางพบถึงสาเหตุอันแท้จริงในการเสียชีวิตของฉินโม่เอ๋อร์แล้ว จวินฉีเซิ่งคงมิอาจกล่าวสิ่งใดได้อีก
กู้ชิวเหลิ่งมองไปทางอวี้ฉือจ้านแล้วพยักหน้าอย่างมั่นคงมั่นใจ ส่วนอวี้ฉือจ้านกลับแสดงรอยยิ้มบาง ๆ ออกมาทันที