ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 217 ถูกพิษเรื้อรัง
กู้ชิวเหลิ่งเดินไปที่ด้านหลังฉากกั้น ใบหน้าของฉินโม่เอ๋อร์กล่าวได้ว่าเน่าเฟะจนมิมีชิ้นดี ดวงตาทั้งคู่ของนางเบิกกว้างราวกับว่าจากไปอย่างมิเต็มใจ
กู้ชิวเหลิ่งหยิบเข็มเงินออกมาจากกระเป๋าเสื้อสองสามเล่มจากนั้นปักลงไปบนใบหน้าของฉินโม่เอ๋อร์ ใบหน้าที่เน่าเปื่อยบิดเบี้ยวในทันใด ตอนที่นางดึงเข็มเงินออกมาด้วยนั้น ก็ได้มีหนอนตัวเล็ก ๆ หลายตัวติดออกมา เรื่องนี้ดูเหมือนว่ากู้ชิวเหลิ่งจะคาดเดาเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว นางจึงได้วางเข็มนั้นเอาไว้บนจานข้าง ๆ
วี่เฟยเป็นตัวละครที่พลาดเรื่องการที่จวินฉีเซิ่งชันสูตรพลิกศพไปมิได้เด็ดขาด เหมียวเจียงนับว่าเป็นอาณาเขตที่มิเล็ก ส่วนวี่เฟยเป็นยอดสาวงามในเหมียวเจียง อีกทั้งยังเป็นองค์หญิงที่ได้รับความรักมากที่สุดในเหมียวเจียง หากว่าวี่เฟยเกิดเรื่องขึ้นละก็ เหมียวเจียงจะต้องก่อสงครามกับจวินฉีเซิ่งอย่างแน่นอน
นางจะเปิดเผยเรื่องนี้ออกไป อยากจะรู้เสียจริงว่าจวินฉีเซิ่งจะปกป้องวี่เฟยได้อย่างไร
กู้ชิวเหลิ่งตรวจสอบศพของฉินโม่เอ๋อร์ นางมิเห็นสัญญาณของการถูกพิษ
กู้ชิวเหลิ่งหยิบมีดขึ้นมาจากนั้นกรีดไปที่ข้อมือของฉินโม่เอ๋อร์เป็นรอยยาว เลือดที่แข็งตัวเป็นสีดำและม่วงเห็นได้ชัดว่าซึมแทรกเข้าไปอยู่ในกระดูกแล้ว
มองไปดูมิเหมือนพิษของเหมียวเจียง นางใช้เข็มเงินแตะเลือดพิษจากบาดแผลของฉินโม่เอ๋อร์ จากนั้นวางลงไปบนจานเงิน พบว่าเข็มกลายเป็นสีดำ
ผ่านไปเพียงมินาน กู้ชิวเหลิ่งก็เดินออกมาจากด้านหลังของฉากกั้น เนื่องจากว่านางทำการผ่าท้องของฉินโม่เอ๋อร์ดังนั้นมือของนางจึงเต็มไปด้วยเลือด ตอนที่นางเดินออกมา จึงมีนางในนำอ่างนำทองแดงมาให้ในทันที
กู้ชิวเหลิ่งทำการล้างชำระ นำเลือดสีดำเข้มและหนอนกู่วางไว้บนโต๊ะกล่าวว่า “ก่อนที่ฉินเฟยจะสิ้นลมนางมิได้กินสิ่งใดเข้าไป ในกระเพาะของนางหาได้มีสิ่งใดตกค้างอยู่ แลดูมิเหมือนว่านางกินอาหารที่มีพิษ จากการคาดเดาเบื้องต้นนางถูกพิษเรื้อรัง”
จวินฉีเซิ่งหันไปขยิบตาให้แก่หมอหลวง หมอหลวงรีบก้าวมาข้างหน้าจากนั้นชำเลืองมอง กล่าวว่า “สิ่งที่พระชายาเซ่อเจิ้งหวางกล่าวนั้นเป็นความจริง เพียงแต่ว่าพิษนี้กระหม่อมเองก็มิเคยเห็นมันมาก่อน”
กู้ชิวเหลิ่งเหลือบมองไปที่พิษนั้นแล้วกล่าวว่า “แม้ว่าพิษนี้ข้าเองก็มิเคยเห็นมาก่อน เพียงแต่ว่าหนอนกู่นี้เกรงว่าคงมิใช่ข้าคนเดียวที่เคยเห็นกระมัง ฮ่องเต้ฉีเองก็อาจจะให้คำอธิบายใด ๆ ได้บ้างใช่หรือไม่”
จวินฉีเซิ่งเหลือบมองไปยังหนอนกู่ที่ยังคงดิ้นอยู่บนจานเงิน มิรู้ว่าจะกล่าวอย่างไร
อวี้ฉือจ้านนำเข็มเงินขึ้นมาพิจารณามองดูหนอนกู่ จากนั้นเผยอยิ้มเยาะ “หนอนกู่นี้ข้าเองเคยเห็นในร่างของทหารต้าเยียน มันเป็นสิ่งที่เหมียวเจียงมีเป็นเอกลักษณ์ เหตุใดฮ่องเต้ฉีจึงมิรู้เรื่องนี้กัน”
สีหน้าของฮ่องเต้ฉีมืดมนลงทันที เดิมทีเรื่องนี้เขาพอจะคาดเดาได้ว่าเกี่ยวข้องกับวี่เฟย เพียงแต่ว่า เพื่อปกป้องเหมียวเจียงเขาจึงได้โยนความผิดนี้ให้เป็นเรื่องของบ่าวรับใช้ที่นำซุปหวานมาให้และถูกลงโทษจนสิ้นใจแล้ว
ทว่าบัดนี้จากการชันสูตรพลิกศพ ได้ดึงหนอนกู่ออกมาเกี่ยวข้องด้วย ต่อหน้าอวี้ฉือจ้าน เขาจะคิดหาวิธีปฏิเสธเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร?
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวขึ้นว่า “หากข้าจำมิผิดละก็ วี่เฟยน่าจะเป็นองค์หญิงจากเหมียวเจียง และหนอนพิษกู่นี้ในแคว้นแคว้นฉีคาดว่าคงมิมีผู้ได้ชัดเจนยิ่งกว่านาง ใช่หรือไม่?”
กู้ชิวเหลิ่งได้กล่าวออกมาถึงขั้นนี้แล้ว จวินฉีเซิ่งจึงทำได้เพียงกล่าวอย่างน้ำเสียงหนักอึ้งว่า “ทหาร จงไปเชิญวี่เฟยมา”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
อวี้ฉือจ้านเดินมาหยุดอยู่ข้างกายของกู้ชิวเหลิ่ง ช่วยนางเช็ดมือจนแห้งก่อนจะเอ่ยถามว่า “เจ้าเหนื่อยหรือไม่?”
กู้ชิวเหลิ่งยิ้มขึ้นอย่างบางเบา “ข้ามิเหนื่อย”
ภาพนี้จวินฉีเซิ่งมองเห็นมันและรู้สึกว่ามีบางอย่างในหัวใจที่หายแวบไป เขาลืมเรื่องอันวุ่นวายตรงหน้านี้ไปทันควัน รู้สึกว่าฉากตรงหน้าช่างแสบตายิ่งนัก
อีกด้านหนึ่งวี่เฟยกำลังนั่งพักผ่อนอยู่บนตั่งนอนของกุ้ยเฟยหยอกล้ออยู่กับองค์หญิงเฟิง ขันทีที่หน้าประตูใหญ่รีบตรงเข้ามาด้วยท่าทางร้อนรน คุกเข่ารายงานว่า “วี่เฟยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทมีรับสั่งให้เดินทางไปที่ตำหนักจาวหรง”
รอยยิ้มบนใบหน้าของวี่เฟยจางหายไปในทันที นางรู้เรื่องฉินโม่เอ๋อร์สิ้นลมหายใจแล้ว แต่เรื่องนี้หาได้เกี่ยวข้องกับนางแม้แต่น้อย และจวินฉีเซิ่งคงจะมิ ปลดนางทิ้งอย่างแน่นอน นางยังคงเป็นวี่เฟยแห่งวังหลัง มิมีผู้ใดจะเข้ามาแทนที่ตำแหน่งของนางได้ เนื่องจากนางมีเหมียวเจียงคอยเป็นโล่สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง จวินฉีเซิ่งมิกล้าทำให้พวกเขาขุ่นเคืองใจ
แต่บัดนี้ดูจากสีหน้าท่าทางของขันที แลมิน่ามองนัก
“พาองค์หญิงน้อยกลับห้องพักผ่อน”
“เพคะ”
วี่เฟยมองไปยัง ขันทีที่คุกเข่าอยู่บนพื้นโดยมิกล้าเงยหน้าขึ้นมองแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “ฝ่าบาททรงให้ค่าเดินทางไป มีเรื่องสำคัญใดงั้นหรือ?”
“เอ่อ…… การตายของฉินเฟยเหนียงเหนียง ฝ่าบาททรงสงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับวี่เฟยเหนียงเหนียงพ่ะย่ะค่ะ”
วี่เฟยขมวดคิ้วเข้าหากัน กล่าวว่า “เป็นฝ่าบาทที่สงสัย หรือผู้อื่นสงสัยกันแน่!”
“เป็น…… เป็นพระชายาเซ่อเจิ้งหวาง และเซ่อเจิ้งหวางแห่งต้าเยียน พวกเขาทำการชันสูตรพลิกศพฉินเฟยเหนียงเหนียงและพบ……”
นางเดาได้ในทันทีว่าคงจะพบหนอนพิษกู่ที่ใส่ลงไปในซุปแล้ว วี่เฟยหัวเราะอย่างเย็นชา นางมิเชื่อว่าเพียงแค่หนอนกู่เท่านั้นจะสามารถทำให้จวินฉีเซิ่งฟังความคนนอกและมาเอาผิดนางได้
“ในเมื่อฝ่าบาทให้เจ้ามาตามข้าเดินทางไปเข้าพบ เช่นนั้นก็อย่าได้เสียเวลาอีกเลย รีบเดินทางกันเสียบัดนี้เถิด”
เมื่อวี่เฟยลุกขึ้น ร่างกายท่าทางอันสูงสง่างามของนางทำให้ผู้คนรอบข้างมิกล้าเงยหน้ามอง
ผ่านไปมินานนักวี่เฟยก็ได้เดินทางมาถึงตำหนักจาวหรง วินาทีแรกกู้ชิวเหลิ่งก็หันไปมองดู วี่เฟยทันที นี่นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่นางได้เกิดใหม่ที่ร่างนี้และได้พบกับวี่เฟย นางจำได้ว่าเมื่อในชาติก่อนตัวตนของวี่เฟยนั้นเป็นเพียงแค่สนมรอง ในตอนนั้นนางเป็นหนึ่งในคนที่อยู่วังหลังซึ่งมิควรไปหาเรื่องด้วย แม้แต่ตนก็ยังรู้สึกเกรงขามวี่เฟยคนนี้ หากกล่าวว่าสาวงามผู้โหดร้ายคือมู่หรงอี๋ เช่นนั้นวี่เฟยเปรียบเทียบกับนางก็ดูมิต่างกันนัก
วี่เฟยเหลือบมองไปทางกู้ชิวเหลิ่ง ดูเหมือนมิได้ใส่ใจเท่าไรนัก นางเดินมาโค้งกายคารวะต่อหน้าจวินฉีเซิ่งแล้วกล่าวว่า “คารวะฝ่าบาท มิทราบว่าฝ่าบาทเรียกให้หม่อมฉันมาที่นี่ด้วยเรื่องใด”
ใบหน้าของจวินฉีเซิ่งหาได้มีรอยยิ้มแม้แต่น้อย เขามองไปยังหนอนพิษกู่ที่อยู่บนเข็มเงินแล้วกล่าวว่า “เจ้าจงดูเอาเองเถิด นี่คือฝีมือของเจ้าใช่หรือไม่”
วี่เฟยเหลือบมองไปทางหนอนพิษกู่ที่อยู่บนถาดเงินซึ่งยังดิ้นไปมา จากนั้นก็เผยถึงรอยยิ้มบางเบาทูลว่า “นี่คือหนอนพิษกู่ของหม่อมฉัน แต่ก่อนหน้านี้มันได้หายไปสักพักหนึ่งแล้ว เกี่ยวอันใดกับหม่อมฉันกันเล่า”
“หายไปอย่างงั้นหรือ? ประโยคนี้ของวี่เฟยเหนียงเหนียงช่างโกหกและปัดความผิดได้ดียิ่งนัก หนอนพิษกู่เป็นวิชาลับของเหมียวเจียง หากว่าหนอนพิษกู่หายไป นั่นก็ทับเท่ากับว่าวิชาลับของเหมียวเจียงถูกเปิดเผย เรื่องนี้นับว่าเป็นความผิดใหญ่หลวง เหตุใดบัดนี้วี่เฟยยังคงใช้ชีวิตอย่างสบายใจเช่นนี้ได้เล่า?”
น้ำเสียงของกู้ชิวเหลิ่งดูเฉียบคม เนื่องจากวิชาหนอนกู่นั้นเป็นวิชาลับของเหมียวเจียง หากว่าทำหนอนกู่หายไป เรียกได้ว่าสูญเสียยิ่งกว่าการเสียชีวิตอีก หากว่าหนอนพิษกู่นี้หายไปจริง อย่าว่าแต่วี่เฟยจะสามารถยืนอยู่ที่นี่ได้เลย คาดว่านางคงอยากจะรื้อหาทั้งวังหลวงแห่งนี้
รอยยิ้มบนใบหน้าของวี่เฟยยังคงมิจางหายไปนางกล่าวขึ้นว่า “ดูเหมือนว่าพระชายาเซ่อเจิ้งหวางจะคุ้นเคยกับเรื่องของเหมียวเจียงดียิ่งนัก เช่นนั้นก็คงจะรู้ดีว่าข้าคือองค์หญิงจากเหมียวเจียง ในเมื่อข้าเป็นองค์หญิงข้าก็ควรที่จะมีท่าทีดั่งเช่นองค์หญิง แม้ว่าหนอนกู่ของข้าจะหายไปก็มิอาจทำการใดอย่างเปิดเผยบุ่มบ่าม หากว่าฝ่าบาทมิเอ่ยถามข้าคงมิจำเป็นต้องบอก”
กู้ชิวเหลิ่งหัวเราะขึ้นเบา ๆ แล้วกล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วี่เฟยสามารถอธิบายให้เราฟังได้หรือไม่ว่าหนอนพิษกู่ชนิดนี้เป็นหนอนพิษใด และให้ผลร้ายอย่างไร?”
“แน่นอนว่าย่อมได้”