ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 219 มิเจอกันตั้งหลายปีสบายดี สวิน
อวี้ฉือจ้านรู้สึกอารมณ์ดียิ่งนัก มือข้างหนึ่งของเขาจับแขนของกู้ชิวเหลิ่งเอาไว้ เมื่อตอนที่เขาผลักประตูเข้าไปในห้องโถงพบว่าในห้องนั้นมิมีใครแม้แต่คนเดียวจริง ๆ มีเพียงข้อความที่เขียนด้วยลายมืออันงดงามวางไว้บนโต๊ะว่า
“มิเจอกันหลายปี สบายดีหรือไม่ สวิน”
กู้ชิวเหลิ่งมองไปที่กระดาษนั้น คิ้วของนางขมวดเข้าหากัน ผู้ที่เกี่ยวข้องกันกับแคว้นเป่ยและเป็นคนที่นางรู้จัก นอกจากฉู่สวินแล้วจะเป็นผู้ใดอีกเล่า?
เพียงแต่ว่าคนที่เดินทางมาบอกสารเมื่อครู่นั้นออกมาจากในห้องก็มิใช่คนธรรมดา ผู้ที่สามารถทำให้อวี้ฉือจ้านมิอาจติดตามร่องรอยไปได้ แน่นอนว่าคงมีทักษะอันยอดเยี่ยม และเมื่อครู่ฟังจากสิ่งที่เขากล่าวก็ช่างลึกล้ำยากเกินเข้าใจ
แต่ฉู่สวินเป็นเพียงแค่ องค์ชายตัวประกันของแคว้นเป่ย เกี่ยวข้องอันใดกับนางเล่า?
นางจำได้ว่าก่อนหน้านั้นเซียวอวิ๋นเซิงเคยกล่าวเอาไว้ ฉู่สวินคือทายาทผู้กำพร้ามาจากราชวงศ์ก่อนหน้าต้าเยียน ต่อมาถูกจักรพรรดิพระองค์ก่อนส่งไปยังแคว้นเป่ยเพื่อเป็นองค์ชายตัวประกัน เขาอยู่ที่นั่นเป็นตัวประกันนับสิบปีแล้ว หากนับเวลาในตอนนี้ด้วย ฉู่สวินอยู่ในแคว้นเป่ยมาได้สิบเอ็ดปีพอดี
แต่เมื่อสิบเอ็ดปีก่อน กู้ชิวเหลิ่งอายุเพียงแค่ 4 ปี นางจะไปเกี่ยวข้องกับฉู่สวินได้อย่างไร?
หรือความสัมพันธ์ของทั้งสองคนจะเป็นคู่หมั้นหมายกันจริง ๆ
“มีอะไรงั้นหรือ?”
อวี้ฉือจ้านมิทันได้สังเกตเห็นข้อความในกระดาษนั้น กู้ชิวเหลิ่งกำมันไว้ในมือ มิอยากจะให้เขาเห็น
กู้ชิวเหลิ่งโยนกระดาษนั้นทิ้งแล้วกล่าวว่า “มิมีอะไรหรอก ด้านบนนั้นมีเพียงตัวอักษรอันแปลกประหลาด ข้าเองก็มิเข้าใจ คาดว่าคงจะจำคนผิดกระมัง?”
คำโกหกของกู้ชิวเหลิ่งแลเป็นเรื่องง่าย หากให้เวลานางตอบสนองเนิ่นนานกว่านี้สักนิด บางทีนางอาจจะสามารถกล่าวได้โดยมิบกพร่องด้านใดแม้แต่น้อย แต่ผู้ที่อยู่ตรงหน้านี้คืออวี้ฉือจ้าน นางมิอาจจะกล่าวคำโกหกที่ตรงไปตรงมากว่านี้ได้
อวี้ฉือจ้านรู้ว่าสิ่งที่กู้ชิวเหลิ่งกล่าวออกมานั้นมีช่องว่างมากมาย เขาจึงเผยอริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย เขารู้มาตั้งนานแล้วว่ากู้ชิวเหลิ่งมีเรื่องปิดบังเขา เพียงแต่มิรู้ว่าเขาจะทำลายช่องว่างระหว่างทั้งสองนี้อย่างไรดี
ชายหนุ่มที่หายไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อครู่ บัดนี้ลอยตัวออกไปอยู่ด้านนอกพระราชวังหลวง เขายืนอยู่บนหอสูงสุดในเมืองหลวง ใบหน้าอันหล่อเหลาไร้ที่ตินั้น แฝงไปด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
นกพิราบสงสารตัวหนึ่งบินมาเกาะที่แขนของชายหนุ่ม เขาเอ่ยภาษานกออกมาสองสามคำ เจ้านกพิราบตัวนั้นก็ร้องออกมาและบินไปที่นอกเมือง มิรู้ว่ามันบินไปที่ใดกันแน่
ฉู่สวินนั่งอยู่ในจวนขององค์ชายตัวประกัน เซียวอวิ๋นเซิงนั่งอยู่ตรงข้ามด้วยท่าทางอันดูไร้ประโยชน์
“คู่หมั้นของเจ้าถูกคนอื่นแย่งไปแล้ว เจ้ามิลุกร้อนใจบ้างหรือ?”
ประโยคนี้ของเซียวอวิ๋นเซิงเห็นได้ว่ากำลังจงใจเยาะเย้ยฉู่สวิน
ด้านของฉู่สวินเองก็มิได้รีบร้อน เขากล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อเป็นคู่หมั้นหมายกัน ดังนั้นมิมีสิ่งใดที่จะต้องแย่ง อวิ๋นเซิง ข้าเองก็รู้ว่าเจ้าชื่นชอบเหิงเอ๋อร์เช่นกัน ดังนั้นเจ้าจึงเดินทางมาที่แคว้นเป่ยเพื่อตามหาข้ามิใช่หรือ”
เซียวอวิ๋นเซิงถูกสัมผัสได้ถึงความคิดในใจจึงทำได้เพียงบ่นออกมาอย่างน่าเบื่อหน่ายว่า “เจ้าเข้าใจข้า แต่ข้ากลับมิเข้าใจเจ้า บัดนี้นางแต่งงานกับอวี้ฉือจ้านแล้ว ข้าเองก็แทบจะทนมิได้ แต่เจ้ากลับสามารถนั่งเหม่อลอยอย่างสงบ กล่าววาจาไร้สาระเหล่านี้ออกมาได้”
รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฉู่สวิน “นางหาใช่นางดังเดิม จากนี้เจ้าจะเข้าใจเอง”
“ข้ามิเข้าใจและชีวิตนี้ข้าจะมิเข้าใจแน่”
เซียวอวิ๋นเซิงรู้สึกรำคาญใจยิ่งนัก ทุกครั้งที่ฉู่สวินกล่าวประโยคเช่นนี้ออกมา เขาราวกับสามารถเห็นได้ถึงอวี้ฉือจ้านและกู้ชิวเหลิ่งกำลังใกล้ชิดสนิทสนมกัน
ต้องยอมรับว่าบัดนี้เมื่อกู้ชิวเหลิ่งเป็นภรรยาของอวี้ฉือจ้านแล้ว ก็หาได้เกี่ยวข้องกับเขาอีกแม้แต่น้อย
“อ้อ นี่คือสร้อยข้อมือหยกไขแพะ คู่หมั้นของเจ้าของเหิงเอ๋อร์ผู้เป็นที่รักของเจ้ามอบให้ข้า ข้านั้นเก็บทะนุถนอมมันดุจดั่งสมบัติอันล้ำค่า เมื่อเจ้าดูเสร็จแล้วจงคืนให้ข้าด้วย”
เซียวอวิ๋นเซิงจับจ้องไปอย่างสร้อยข้อมือนั้นที่ยื่นไปให้ฉู่สวิน ด้วยเกรงว่าฉู่สวินจะทำมันเสียหาย
เพียงแต่ฉู่สวินเพียงแค่เหลือบตามองมัน แล้วยื่นกลับไปใส่ไว้ในมือของเซียวอวิ๋นเซิงดังเดิม กล่าวว่า “ในเมื่อเหิงเอ๋อร์มอบมันให้เจ้า เช่นนั้นเจ้าจงเก็บรักษาไว้ให้ดี การที่เจ้านำมาให้ข้าดูเพราะเจ้าต้องการแห่งความโกรธของข้าหรือ?”
เซียวอวิ๋นเซิงซึ่งทำหน้ามุ่ยกล่าวว่า “ต่อไปแม้เจ้าอยากจะเห็น ข้าก็คงมิให้เจ้าดูหรอก”
เซียวอวิ๋นเซิงทรงนำสร้อยข้อมือหยกไขแพะที่กู้ชิวเหลิ่งมอบให้เขา ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อกล่าวว่า “คนที่เจ้าส่งไปนั้นตอบเจ้ากลับมาแล้วหรือยัง หากให้ข้าว่า บัดนี้อวี้ฉือจ้านคงจะอยู่กับนาง เจ้าจงเพลาลงเถิด เซ่อเจิ้งหวางของพวกเราชาวต้าเยียน หากว่าเกิดความหึงหวงขึ้นละก็ มิว่าเจ้าจะเป็น ทายาทจากราชวงศ์ก่อนหรือไม่ เขานั้นก็พร้อมที่จะสู้”
“เขาเป็นผู้ที่แปลกประหลาดหายากยิ่งนัก แต่ข้าก็มิได้กลัวเขา”
ฉู่สวินยิ้มขึ้นเบา ๆ แววตาของเขานั้นดูเหมือนจะปลงกับความเกิด ความตาย การแพ้ชนะ
อวี้ฉือจ้านจะเก่งกาจเพียงใดหาได้เกี่ยวข้องกันกับเขา สิ่งที่เขาอยากได้มีเพียงเหิงเอ๋อร์คนเดียวเท่านั้น
เซียวอวิ๋นเซิงมิเชื่อสิ่งที่ฉู่สวินกล่าวออกมา “ในเมื่อเจ้ามิกลัวเขา แล้วเหตุใดจึงต้องส่งราชครูไปที่นั่นด้วยตนเอง?”
ฉู่สวินมิได้กล่าวสิ่งใดออกมา การที่เขาส่งราชครูไปนั้นแน่นอนว่าเขามีเหตุผลของเขาอยู่
ในเป่ยกั๋วอันกว้างใหญ่นี้ แม้เขาจะเป็นเพียงแค่องค์ชายตัวประกันแต่ก็มิมีผู้ใดกล้าทำให้เขาขุ่นเคืองใจ เขากำลังรอรอโอกาสที่เหมาะสมอันแท้จริง มอบแคว้นเป่ยให้กับเหิงเอ๋อร์
เหิงเอ๋อร์ เวลาสิบห้าปีนั้นใกล้จะถึงแล้ว ข้ารอเจ้ามา
ค่ำคืนนี้ ดูเหมือนกู้ชิวเหลิ่งจะฝันว่าตนมิใช่ตน ฝันนั้นแลสมจริง แต่ก็ดูมิเหมือนจริง ในฝันนางมองเห็นตรอกเล็กแห่งหนึ่งที่ดูมิชัดเจนนัก เด็กหนุ่มคนหนึ่งสวมชุดยาวสีเงินยืนอยู่ที่นั่น รอยยิ้มดุจดั่งผู้ใหญ่ แต่ก็ทำให้ผู้คนอุ่นใจยิ่งนัก
“เหิงเอ๋อร์อย่าได้กลัว ต่อให้ข้าจากไปแล้ว เจ้าก็จะต้องเรียนรู้ที่จะอยู่เพียงลำพัง หลังจากนี้สิบปี ข้าจะเดินทางมารับเจ้า สิบปีนี้เจ้าจะต้องเรียนรู้ถึงความอดทน อย่าได้ทำตัวโดดเด่น เพื่อให้เจ้าสามารถอยู่ปลอดภัยได้เป็นสิบปี”
นางเอื้อมมือไปหวังจะคว้ามือของเด็กชายในชุดยาวสีเทานั่น แต่ว่าทุกครั้งนางก็ต้องพบกับความว่างเปล่า
อีกทั้งในทุกปีจะมีจดหมายส่งมา แม้ว่าเมื่อนางอ่านแล้วจะเผามันไปจนหมดสิ้น แต่เนื้อหาด้านใน ร่างกายนี้ของนางยังคงจำได้ดี มิว่าจะเป็นการเข้าใกล้อวี่เหวินเจี๋ย ตั้งใจทำท่าทางเหม่อลอยต่อหน้าสาธารณชน กู้ชิวเหลิ่งล้วนทำได้อย่างไร้ที่ติ มิมีผู้ใดสนใจนางแต่นางยังคงมีชีวิตอยู่
ในใจของนางราวกับมีน้ำเสียงเสียงหนึ่งซึ่งปลอบใจตนเองอยู่ตลอดเวลาว่า “อย่าได้เกรงกลัวไป เพียงอีกแค่หนึ่งปี เวลานั้นจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว พี่ฉู่จะสวมชุดยาวสีเงินแบกเกี้ยวสีแดงใหญ่มาขอนางแต่งงานที่หน้าประตูอย่างโอ่อ่า”
ความรู้สึกเศร้าโศกในใจเป็นความรู้สึกที่มิสบายและน่าเศร้าอย่างยากจะอธิบาย
เมื่อตอนที่กู้ชิวเหลิ่งลืมตาขึ้นอีกครั้ง พบว่าเป็นเวลากลางดึกแล้ว ดวงตาของนางเต็มไปด้วยน้ำตา ราวกับมีน้ำเสียงหนึ่งอันอบอุ่นกล่าวขึ้นกับนางว่า “เหิงเอ๋อร์เจ้าจงจำเอาไว้ แคว้นเป่ยจึงจะเป็นบ้านของเจ้าของ”
“เหลิ่งเอ๋อร์?”
ช่วงนี้ราวกับว่าอวี้ฉือจ้านจะตื่นขึ้นในเวลาเดียวกันกับกู้ชิวเหลิ่ง อาศัยแสงนวลจากดวงจันทร์ ทำให้เขาพอจะสังเกตเห็นหางตาที่มีน้ำตาคลอของกู้ชิวเหลิ่ง เขาจึงเอื้อมมือมาเช็ดมันเบา ๆ และรู้ว่าเมื่อครู่กู้ชิวเหลิ่งร้องไห้
กู้ชิวเหลิ่งฝืนยิ้มขึ้นกล่าวว่า “มิมีสิ่งใดหรอก ข้าคงจะง่วงนอนเสียจนน้ำตาไหล”
น้ำเสียงของอวี้ฉือจ้านช่างบางเบา “เจ้าฝันร้ายใช่หรือไม่”
“……อืม เพียงแต่เป็นแค่ฝันร้ายธรรมดา ในมิช้าก็ดีขึ้น”
อวี้ฉือจ้านโอบกู้ชิวเหลิ่งเข้ามากอดในอ้อมอก กล่าวว่า “หากสามีเจ้าอยู่ที่นี่ น้องนางอย่าได้กลัวสิ่งใดไป”