ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 22 อนุญาตคำขอ
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 22 อนุญาตคำขอ
อวี่เหวินหวายกลืนน้ำลายอย่างไม่รู้ตัว ไม่มีผู้ใดกล้าขัดต่อคำสั่งของเซ่อเจิ้งหวาง เพราะเซ่อเจิ้งหวางไม่เคยใช้ใบหน้าที่อ่อนโยนยิ้มแย้มคุยกับใครทั้งนั้น ในเวลาที่เขากล่าวอย่างยิ้มแย้มอ่อนโยน บางทีอาจจะเดินเข้าไปในกับดักที่จำต้องตายแล้ว
อวี้ฉือจ้านยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสงบ กล่าวกับกู้ชิวเหลิ่งว่า:”หากเจ้ายอมถอนหมั้น ความรับผิดชอบทั้งหมดจะเป็นของเจ้าหก เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวอย่างเคารพว่า:”หม่อมฉันยินยอมเพคะ”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวอย่างชัดเจนไม่ลังเล อวี่เหวินหวายไม่พอใจเล็กน้อย เขายอมรับว่าเขาไม่มีความรู้สึกดีต่อกู้ชิวเหลิ่ง แต่เมื่อกู้ชิวเหลิ่งตอบตกลงที่จะแยกทางกับเขาอย่างง่ายดาย ก็รู้สึกว่ามันไม่ค่อยสบายนัก
เหตุผลที่กู้ชิวเหลิ่งตอบอย่างรวดเร็วเช่นนี้ นั่นเพราะคำพูดทั้งหมดถูกอวี้ฉือจ้านเอ่ยออกไปหมดแล้ว จิตใจของอวี้ฉือจ้านละเอียดอ่อน การกระทำเด็ดขาด อวี่เหวินหวายถือได้ว่าสูญเสียหลายอย่างในครั้งเดียว
ต่อหน้าของฮ่องเต้เขาสูญเสียความโปรดปราน ต่อหน้าข้าราชบริพารเขาสูญเสียศักดิ์ศรี ต่อหน้าชาวเมืองเขาสูญเสียชื่อเสียง กับกู้ชิวเซียงที่เดิมทียังมีความรู้สึกดีเล็กน้อยต่ออวี่เหวินหวาย ตอนนี้เขาได้สูญเสียความรู้สึกดีๆทั้งหมดนั้นไป
อวี้ฉือจ้านร้าย และโหดเหี้ยมมาก ก่อนที่อวี่เหวินหวายจะได้เข้าใจสถานการณ์ ก็ทำให้เขายืนกรานที่จะถอนหมั้นภายใต้ความประมาทและความขัดแย้ง แม้จะต้องทนความ”ลำบาก” แต่ในความเป็นจริง นี่ไม่ใช่เพียงแค่คำลำบากสองคำจะสามารถมาบรรยายได้ เมื่อพรุ่งนี้อวี่เหวินหวายตื่นขึ้นมา ก็จะพบว่าโลกพลิกไปเป็นคนละโลก
อวี้ฉือจ้านไม่รู้ว่าตัวเองมองผิดไปหรือไม่ เขาเห็นรอยยิ้มบนมุมปากของกู้ชิวเหลิ่ง อยู่รางๆ ราวกับเป็นท่าทางของผู้ชนะ แม้จะยังคงนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น แต่กลับดูไม่ต้อยต่ำ ไม่เหมือนกับหญิงสาวในข่าวลือเลยสักนิด
อวี้ฉือกงฟังคำของอวี้ฉือจ้านมาตลอด ดังนั้นจึงได้ปรบมืออย่างพอใจ กล่าวว่า:”ความคิดของเสด็จอาดีมาก ในเมื่อทั้งสองฝ่ายตกลง วันนี้ข้าก็จะออกราชกฤษฎีกา ถอนการหมั้นหมายของพวกเจ้าทั้งสองคน รอผ่านไปสักพัก ค่อยมาตกลงเรื่องงานแต่งของคุณหนูรองอีกครั้ง เพื่อเป็นการชดเชยคำขอโทษของตระกูลพระราชาในวันนี้”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าว:”หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาท เพียงแต่ตอนนี้หม่อมฉันอายุยังน้อย หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้จึงไม่อยากแต่งงานกับผู้อื่นเร็วเกินไปนัก ทูลขอฝ่าบาทโปรดให้หม่อมฉันได้ตัดสินเรื่องการแต่งงานด้วยตัวเองเพคะ!”
แม้จะกล่าวว่าประเพณีของต้าเยียนจะไม่เข้มงวดเท่าแคว้นฉีแต่ก็มีเพียงหญิงสาวสายภรรยาหลวงที่มีตำแหน่งจวิ้นจู่ขึ้นไปในราชตระกูลเท่านั้นถึงจะสามารถมีสิทธิ์ในการกำหนดการแต่งงานได้ด้วยตัวเอง อย่างมากที่สุดในราชวงศ์ก่อนมีองค์หญิงอานซั่วคนเดียว เดิมทีเป็นเพียงคุณหนูของตระกูลขุนนาง แต่เพราะเป็นหญิงสาวที่ไทเฮาชอบ ดังนั้นจึงได้ให้สิทธิ์ในการกำหนดการแต่งงานได้ด้วยตัวเอง ต่อมาก็ยังถูกแต่งตั้งให้เป็นองค์หญิงด้วย ดังนั้นตามธรรมเนียมปฏิบัติทั่วไป กรณีของกู้ชิวเหลิ่งถือเป็นคนแรกในประวัติ
กู้หนานเฉิงรีบคุกเข่าลงกับพื้น กล่าวว่า:”บุตรสาวขาดความรู้ ไม่รู้เรื่องรู้ราว ฝ่าบาทโปรดเห็นแก่ความเป็นเด็กไร้เดียงสาของนาง อย่าได้ใส่ใจเลยพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้ฉือกงหัวเราะขึ้นมา โดยไม่เสียอารมณ์เลยแม้แต่น้อย แต่กลับยิ่งเพิ่มรอยยิ้ม:”ก่อนหน้านี้ได้ยินมาว่าคุณหนูรองตระกูลกู้เป็นใบ้ แต่มาวันนี้ดูเหมือนเรื่องเหล่านั้นจะเป็นแค่ข่าวลือ ไม่น่าเชื่อถือ สำหรับเรื่องที่คุณหนูรองขอเมื่อครู่……อืม ข้าอนุญาต! เพราะอย่างไรเสียราชตระกูลก็เป็นฝ่ายที่ผิดก่อน เรื่องอำนาจในการกำหนดเรื่องแต่งงานของตัวเอง แน่นอนว่าต้องให้คุณหนูรอง”
กู้หนานเฉิงคิดไม่ถึงเลยว่าอวี้ฉือกงจะตอบตกลงง่ายเช่นนี้ รู้หรือไม่ว่าการที่คุณหนูตระกูลขุนนางสามารถได้รับอำนาจเลือกการแต่งงานของตัวเองได้เป็นเรื่องที่มีเกียรติอย่างมาก และในแคว้นฉี นอกจากครอบครัวที่เปิดใจแล้ว ส่วนมากหญิงสาวก็เป็นเพียงเครื่องมือทางด้านการเมืองก็เท่านั้น ทั้งหมดขึ้นอยู่กับคำตัดสินของบิดาและมารดา ตอนนี้กู้ชิวเหลิ่งได้รับข้อยกเว้นในเรื่องนี้ ในสายตาของกู้หนานเฉิงนี่ถือเป็นการได้รับสมบัติล้ำค่าทั้งที่ยังไม่ได้ทำอันใด
“ขอบพระทัยฝ่าบาท!”
กู้ชิวเหลิ่งไม่แปลกใจกับการตัดสินใจของอวี้ฉือกงเลย เพราะการที่หญิงสาวถอนหมั้นทั้งที่ยังไม่แต่งงานเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน บวกกับเรื่องที่อวี่เหวินหวายมีเชื้อสายราชวงศ์ ก่อนหน้านี้ทำเรื่องที่ไม่สมควรกับนาง เพื่อศักดิ์ศรีของราชวงศ์ และเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชน อวี้ฉือกงสามารถอนุญาตให้กู้ชิวเหลิ่งเป็นฝ่ายถอนหมั้นได้ และตอนนี้อวี้ฉือกงตกลงให้นางกำหนดเรื่องการแต่งงานได้ด้วยตัวเอง นี่ก็คือความใจกว้างของราชวงศ์ และการกระทำของเขาไม่เพียงแต่นำผลประโยชน์มาสู่นาง แต่ยังเป็นการกอบกู้ศักดิ์ศรีของราชวงศ์อีกด้วย
อวี้ฉือกงอายุน้อย แต่กลับทำเรื่องต่างๆได้อย่างรอบคอบ คาดว่าคงเป็นผลมาจากเซ่อเจิ้งหวางที่ยืนอยู่ข้างๆ
หากไม่ใช่เพราะร่างกายนี้อ่อนแอเกินไป นางอยากจะลองต่อสู้กับอวี้ฉือจ้านดูสักครั้ง ลองดูซิว่าผู้ใดจะโหดและอำมหิตกว่ากัน
เมื่อสัมผัสได้ว่าสายตาของกู้ชิวเหลิ่งกำลังจดจ้องตรงมาที่ตัวเขา อวี้ฉือจ้านหันไปมองทางกู้ชิวเหลิ่งช้าๆ ในเสี้ยววินาทีนี้ กู้ชิวเหลิ่งก้มหน้าลง ราวกับไม่เคยเงยหน้าขึ้นมาก่อน
ภายในท้องพระโรง เหลือเพียงอวี้ฉือกงกับอวี้ฉือจ้านสองคน
อวี้ฉือกงกล่าวยิ้มๆว่า:”วันนี้เสด็จอาตั้งใจจะช่วยคุณหนูรองแห่งตระกูลกู้ผู้นั้น เรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”
อวี้ฉือจ้านเอามือไขว้หลัง สีหน้าแลดูมีความหมายลึกซึ้ง:”เจ้าสองไม่เคยเอ่ยปากพูดกับข้า บางทีบนตัวของคุณหนูรองตระกูลกู้ผู้นี้ อาจมีความพิเศษบางอย่างอยู่”
“มีหลายครั้งที่ข้ารู้สึกว่าสายตาของนางมองมาที่ท่าน แต่เมื่อข้าตั้งใจมองดีๆ นางก็เก็บสายตานั้นไป……ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นหรอก ข้ารู้สึกว่าวันนี้เสด็จอาลงโทษน้องหกหนักเกินไปแล้ว”
น้ำเสียงของอวี้ฉือจ้านเย็นชา:”ถ้าหากเขาเป็นท่านอ๋องที่มีจิตใจหยิ่งในศักดิ์ศรีก็ช่างมันเถิด ทุบตีหญิงสาวไม่พอ ในราชสำนักก็ไม่ได้มีผลงานอะไร วันๆเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับสตรีและความบันเทิง ไม่ช้าก็เร็วจะต้องทำให้ชื่อเสียงของตระกูลเสื่อมเสีย ครั้งนี้ถือว่าเป็นการเตือนสำหรับเขา ให้เขาได้เห็นอย่างเต็มตาว่าหญิงสาวที่เขาชอบแท้จริงแล้วเป็นแมงป่อง หรือเป็นนางฟ้ากันแน่”
อวี้ฉือกงเชื่อฟังคำของอวี้ฉือจ้านมาตลอด เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ก็ได้เข้าใจถึงเจตนาของอวี้ฉือจ้าน
แม้ว่าแคว้นฉีจะมีพลังอำนาจที่แข็งแกร่ง แต่ราชวงศ์กลับเน่าเปื่อย ส่วนต้าเยียนจะทำผิดซ้ำซากอีกไม่ได้ ควรใช้โอกาสในครั้งนี้ ค่อยๆสร้างชื่อเสียงในแคว้นต่างๆ
อวี้ฉือจ้านกำลังลูบทับทิมที่อยู่บนมีดสั้น เขาอยากจะตรวจสอบคุณหนูรองตระกูลกู้ผู้นี้อย่างละเอียด หากจะกล่าวถึงหญิงสาวที่ฉลาดหลักแหลม เขาเคยเจอมานักต่อนักแล้ว แต่หญิงสาวที่สามารถทำให้หลานชายคนที่สองของเขาเป็นห่วงเป็นใยได้ ก็คงจะไม่ธรรมดาแล้วล่ะ
“หลังจากงานเลี้ยงแห่งแคว้นเสร็จ ให้จัดตั้งพื้นที่ล่าสัตว์ ช่วงนี้ให้เฉิงเย่นำทหารหน่วยต่างๆไปตรวจสอบดูก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงการล่าสัตว์หลังงานงานเลี้ยงเกิดมีปัญหา จวินฉีเซิ่งผู้นี้เป็นคนอันตรายและเจ้าเล่ห์มาก สามปีมานี้เขารังควานแคว้นเล็กๆแถวชายแดน มีความทะเยอทะยานสูงมาก บางทีเขาอาจมีความคิดที่จะกลืนต้าเยียน พวกเราต้องระวัง”
เมื่อเอ่ยถึงแคว้นฉี ในที่สุดอวี้ฉือกงก็พยักหน้าอย่างจริงจัง กล่าวว่า:”เสด็จอาพูดถูก พื้นที่ล่าสัตว์เป็นสถานที่ที่ง่ายต่อการลอบสังหารเสมอมา แต่งานเลี้ยงแห่งแคว้นจำเป็นต้องจัดงานล่าสัตว์ นี่เป็นสิ่งที่สืบต่อกันมา เปลี่ยนแปลงไม่ได้”
ความสำคัญของการล่าสัตว์ ทุกคนรู้ดีอยู่แก่ใจ หากไม่แสดงกำลังทหารที่แข็งแกร่ง ม้าศึกอันยอดเยี่ยมของแคว้นตัวเอง เช่นนั้นจะดูไม่มีบารมีต่อหน้าแคว้นอื่นๆ แล้วยังมีความเสี่ยงที่จะตกเป็นเป้าของแคว้นอื่นๆ
เพียงแต่การล่าสัตว์นี้ จะไม่มีอันตรายได้อย่างไร? ผู้ที่ตกอยู่ในอันตรายมากที่สุดก็คืออวี้ฉือกง เป็นกษัตริย์ที่อ่อนวัย จะต้องมีเซ่อเจิ้งหวางคอยช่วยเหลือ และในพื้นที่ล่าสัตว์ หากมีการลอบสังหาร จะต้องเป็นอันตรายอย่างยิ่ง
อวี้ฉือกงกล่าว:”เสด็จอาอย่าได้กังวลไป ข้าไม่เป็นไร”
อวี้ฉือจ้านพยักหน้า กล่าวอย่างเห็นชอบว่า:”ฝ่าบาทมีความคิดเช่นนี้ แคว้นก็มั่นคง”