ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 225 ชะตากรรมที่ถูกขโมย
จนกระทั่งในตอนบ่าย ยีชุ่ยพาชายในชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มก็เดินเข้าไปในตำหนักเฟิงหรวนอย่างช้า ๆ
มู่หรงอี๋ที่รออย่างใจร้อนมานาน เมื่อเห็นจวินหวาเทียนเดินเข้ามา ใบหน้าที่มีความสุขของนางก็หายไปในทันที นางขมวดคิ้วและถามว่า “หมอผีไท่ซวีเล่า”
“ก็แค่สามัญชน”
เสียงแห้ง ๆ ของจวินหวาเทียนที่กลับดังกังวาน ทำให้ผู้คนรู้สึกมันมีเสน่ห์แตกต่างจากคนอื่น
มู่หรงอี๋ฝืนยิ้ม กล่าวว่า “หมอผีไท่ซวีได้รับการเสนอชื่อมาหลายปีแล้วก็จริง แต่ดูแล้วอาจารย์ยังดูเด็กมาก”
กู้เจินที่อยู่ด้านข้างกล่าวต่อ “หมอผีไท่ซวี อายุมากกว่าหกสิบแล้ว แต่เนื่องจากได้สำเร็จวิชากลับเป็นเยาว์วัยมานาน กุ้ยเฟยมิต้องกังวลไป”
แม้ว่าเขาจะเอ่ยเช่นนั้น แต่วิชากลับเป็นเยาว์วัยก็มิใช่วิชาธรรมดาทั่วไป ส่วนมู่หรงอี๋ก็เป็นคนจากตระกูลหลักของตระกูลมู่หรงด้วย จึงยังคงมีข้อสงสัยเล็กน้อยในคำกล่าวนี้
จากนั้นจวินหวาเทียนก็เอ่ยขึ้นในทันทีว่า “สามัญชนคนธรรมดามิควรอยู่ในวัง เดี๋ยววิญญาณจะโผล่ออกมา เมื่อสี่ปีที่แล้ว มีสามัญชนเห็นเมฆสีดำปกคลุมเหนือวัง ในคราวนี้เมฆสีดำหนักกว่านั้นอีก สำหรับแคว้นฉีแล้วนี่ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก หากกุ้ยเฟยมิไว้ใจกัน สิ่งที่สามัญชนคนนี้จะเอ่ยต่อก็คงจะเป็นเรื่องไร้ประโยชน์”
เมื่อเห็นว่าจวินหวาเทียนกำลังจะจากไป มู่หรงอี๋ก็เริ่มวิตกกังวลทันที ในทุกครั้งที่นางหลับตา นางจะมองเห็นรูปลักษณ์ของมู่หรงชิวที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด มันช่างน่ากลัวจริง ๆ มิว่านางจะใช้แป้งฝุ่นขาวมากแค่ไหน ก็มิอาจซ่อนความมืดมิดในตาได้
“ข้าเชื่อในหมอผีไท่ซวี! หมอผีไท่ซวีได้โปรดช่วยข้าด้วย! ข้าถูกวิญญาณชั่วร้ายนี้หลอกหลอนมาจนข้าฝันร้ายมาสามวันติดต่อกันแล้ว หมอผีไท่ซวีช่วยหยุดวิญญาณผีผู้หญิง……”
หมอผีไท่ซวีหันกลับมาและเอ่ยว่า “ขอโทษที่หม่อมฉันจะเอ่ยตมตรงว่าชะตากรรมของกุ้ยเฟยได้ขโมยมาจากร่างของคนอื่น และเหตุผลที่ผีผู้หญิงนี้กลายเป็นวิญญาณร้ายก็เพราะนางถูกปล้นชะตาไป ทั้งมิสามารถไปเกิดใหม่ได้ ”
มู่หรงอี๋ตกตะลึงและถามว่า “ชะตากรรม มันคืออะไร”
“มันเป็นชะตาของสาวฟีนิกซ์ที่สวรรค์กำหนด ชะตากรรมนี้จะผูกติดอยู่กับคนคนเดียว ชะตากรรมของกุ้ยเฟยเป็นของที่ถูกขโมยมาและมิสามารถคงอยู่ได้นาน อีกมินานจะถูกวิญญาณร้ายนำไป แล้วชะตากรรมของตัวเองจะค่อย ๆ กลับมาอย่างช้า ๆ แล้วสุดท้ายก็จะจบลงเช่นวิญญาณร้ายตัวนั้นเมื่อสี่ปีก่อน”
หัวใจของมู่หรงอี๋หยุดอย่างกะทันหัน จวินหวาเทียนเข้าใจสิ่งที่จะสื่อ แต่มู่หรงชิวที่เป็นสาวฟีนิกซ์ที่สวรรค์กำหนด และนางได้ฆ่ามู่หรงชิวไปแล้ว ดังนั้นนางจึงแบกรับชะตากรรมของมู่หรงชิว บัดนี้วิญญาณร้ายของมู่หรงชิวกลับมาแล้ว เป็นไปได้ไหมว่าอนาคตของนางจะเป็นเหมือนมู่หรงชิวในตอนนั้น
มิได้! แน่นอนว่ามิได้!
นางยังตายมิได้! นางยังต้องการที่จะเป็นฮองเฮาของจวินฉีเซิ่ง เป็นฮองเฮาผู้ยิ่งใหญ่ในแคว้นฉีของโลกใบนี้!
“หมอผีไท่ซวี เจ้าต้องช่วยข้า วิญญาณนั่นกลายเป็นวิญญาณร้ายแล้ว สวรรค์มิยุติธรรม โปรดหมอผีไท่ซวี ช่วยข้าด้วย และข้าก็ยินดีที่จะมอบตำแหน่งราชครูให้เจ้า ทั้งจะมอบทองเป็นรางวัลอีกหมื่นตำลึง”
จวินหวาเทียนกล่าวว่า “เพื่อขจัดปัญหาให้ประชาชน นอกจากนี้อายุข้าก็มากแล้ว ร่างกายนี้อาจมิสามารถประคับประคองไว้ได้นาน วิญญาณร้ายนี้มิใช่เรื่องดีสำหรับผู้คน จะต้องหาวิธีถอนรากถอนโคนให้ถึงที่สุด”
จวินหวาเทียนเอ่ยมากเกินไปจนไอออกมา กู้เจินที่อยู่ด้านข้างก็รีบพยุงแขนของจวินหวาเทียนในทันที กล่าวว่า “กุ้ยเฟย ไว้ค่อยคุยกันอีกในวันพรุ่งนี้เถิด สุขภาพของอาจารย์มิดีและมิสามารถยืนได้นาน ”
ตอนนั้นเองที่มู่หรงอี๋รู้ถึงความเสียมารยาทของตนจึงเอ่ยในทันที “ยีชุ่ยรีบพาหมอผีไท่ซวีขึ้นไปและเตรียมห้องให้เรียบร้อย สิ่งของต่าง ๆ รวมถึงอาหารจะต้องเรียบร้อย และจะต้องมิมีข้อผิดพลาด”
“เจ้าค่ะ!”
หลังจากที่จวินหวาเทียนและกู้เจินจากไป ทันใดนั้นมู่หรงอี๋ก็รู้สึกเวียนหัว เส้นเลือดเริ่มปูดขึ้น สิ่งที่อยู่ตรงหน้านางก็เริ่มบิดเบี้ยว จากนั้นสตรีที่มีใบหน้าเปื้อนเลือดก็โผล่ออกมาจากที่ไหนสักแห่ง
มู่หรงอี๋ก้าวไปด้านหน้าเพื่อต่อสู้ แต่ก็ถูกตบจนล้มไปที่พื้น
มู่หรงอี๋รู้สึกว่าสมองสะเทือน หลังจากนั้นเมื่อนางรู้สึกตัว ได้เห็นว่าจวินหวาเทียนมองไปที่มู่หรงอี๋ด้วยความสำเร็จ จึงเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “มู่หรงอี๋! เจ้าส่งฉ่ายฉินไปไว้ข้างกายฉินเฟยหรือ”
“ฝ่าบาท……ฝ่าบาท!”
มู่หรงอี๋จะไปจับจวินฉีเซิ่ง แต่ก็ถูกผลักลงไปที่พื้นอย่างแรง “ข้าขอถามอะไรหน่อย! เจ้าได้ทำเรื่องใดไว้ลับหลังข้าบ้าง!”
มู่หรงอี๋คุกเข่าลงกับพื้นแล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาท! หม่อมฉันเพียงจัดคนไปอยู่ข้างกายฉินเฟย ฉินเฟยนั้นมาจากต้าเยียน และมิอยากให้ฝ่าบาทต้องวิตกกังวล หม่อมฉันจึงทำไปตามประสงค์ของฝ่าบาท!”
จวินฉีเซิ่งหรี่ตาลงอย่างน่ากลัวและเอ่ยว่า “เพราะข้าหรือ? มิใช่ว่าเจ้ากลัวจะถูกแย่งตำแหน่งหรอกหรือ ดังนั้นจึงคิดหาวิธีให้คนไปใกล้ชิดนางสนม! มู่หรงอี๋ เจ้าได้วางกลอุบายไว้ บัดนี้อวี้ฉือจ้านตรวจพบแล้วว่าฉ่ายฉินเป็นคนของเจ้า บัดนี้ฉ่ายฉินตายแล้ว บนร่างกายยังมีเสี่ยหลีจื่อแบบเดียวกับที่ร่างฉินเฟย บัดนี้เจ้ามิมีสิทธิ์โต้เถียง! ต้องรอให้พวกเขามาสอบเจ้า! จงตายไปอย่างไร้ร่องรอยเถอะ”
ตายอย่างไร้ร่องรอย? ทันใดนั้นมู่หรงอี๋ก็จำสิ่งที่หมอผีไท่ซวีเอ่ยได้ ใบหน้าของนางก็ซีดด้วยความกลัว นางก้าวขึ้นไปคว้าเสื้อของจวินฉีเซิ่งแล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาท! ช่วยหม่อมฉันด้วย! วิญญาณของมู่หรงชิวกลับมาแล้ว! นางกลายเป็นวิญญาณเพื่อมาแก้แค้นข้า! การตายของฉ่ายฉินนั้นเป็นเพราะมู่หรงชิว ฝ่าบาท ฝ่าบาท ทรงเชื่อหม่อมฉันเถิด! หม่อมฉันเห็นนาง……”
“หลีกไปให้พ้น!”
จวินฉีเซิ่งเตะมู่หรงอี๋ออกไป ก่อนหน้านี้แม้ว่ามู่หรงอี๋จะมีจิตใจที่ชั่วร้าย แต่ก็มิได้บ้าเหมือนกับบัดนี้ บัดนี้มู่หรงอี๋เป็นเหมือนสตรีที่เสียจริต กัดผู้อื่นไปทั่ว มิเหลือเค้าโครงของยอดสาวงามของแคว้นฉีในตอนนั้นเลย
จวินฉีเซิ่งรู้สึกรังเกียจนางที่กุมความลับเขามาเป็นเวลานานแล้ว และบัดนี้ก็มีปัญหากับอวี้ฉือจ้านแห่งต้าเยียน ยิ่งทำให้พวกเขาคิดถึงเรื่องนี้แย่กว่าเดิม
“เจ้าอยู่ในวังแห่งนี้แล้วคิดทบทวนตัวเองเสีย แม้ว่ามู่หรงชิวต้องการจะแก้แค้น แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เจ้าทำตัวเอง!”
ทันใดนั้น มู่หรงอี๋ก็ลุกขึ้นชี้ไปที่จวินฉีเซิ่ง เอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าจะหนีพ้นหรือ เมื่อก่อนนี้ใครที่ชอบความงามของข้า มาขอมีความสัมพันธ์ที่ดีกับข้า เมื่อตอนนั้นลับหลังมู่หรงชิว เจ้าได้เอ่ยกับข้าอย่างหวานชื่นและสัญญากับข้าว่าจะมอบตำแหน่งให้ แล้วบัดนี้เป็นอย่างไรเล่า ข้าได้ฆ่ามู่หรงชิวแทนเจ้าแล้ว แล้วเหตุใดเจ้าทำกับข้าเช่นนี้ จวินฉีเซิ่ง เจ้าโหดเหี้ยมยิ่งนัก ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วทุกคนอย่าคิดจะมีชีวิตที่ดีได้!”
“เจ้าคนมิเจียมตัว!”
จวินฉีเซิ่งตบมู่หรงอี๋แลวเอ่ยว่า “การเรียกชื่อข้าโดยตรงถือเป็นการมิเคารพฮ่องเต้ มีโทษประหารชีวิต! เจ้าคิดว่าข้ามิกล้าฆ่าเจ้าจริงหรือ การฆ่าเจ้าบัดนี้มันง่ายเหมือนกับการฆ่ามดปลวก เจ้ายังคิดว่าเจ้าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งในแคว้นฉีอยู่หรือ? เหล่านางสนมมิเคยขาดหญิงงาม หากเจ้าตายไปสักคน ก็ยังมีอีกมาก!”
มู่หรงอี๋ล้มลงกับพื้น ใบหน้าของนางบวมไปครึ่งหนึ่ง แล้วถุยน้ำลายออกมา