ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 230 เป้าหมายของเป่ยไห่เฟิง
เสียงหยอกล้อของชายหญิงคู่หนึ่งดังออกมาจากตำหนักเฟิงหรวน เพียงแต่เจ้าของด้านในนั้นมิใช่มู่หรงอี๋อีกต่อไป แต่เป็นหวีผินโฉมงามคนใหม่ของจวินฉีเซิ่ง
มู่หรงอี๋ลอบมองจากช่องแถวขอบหน้าต่าง ใบหน้าของจวินฉีเซิ่งกำลังดื่มเหล้าจากแก้วในมือ เพียงแต่หญิงสาวข้างตัวเขาคือ สาวใช้ยีชุ่ยที่คอยรับใช้ตนเมื่อวานนี้เอง
“แต่ก่อนหลิ่วกุ้ยเหรินคอยรับใช้ข้า บัดนี้ข้ากลับคิดว่าเจ้าเชื่อฟังข้ามากกว่านางเสียอีก”
“ฝ่าบาทตรัสอะไรอย่างนั้นเล่ะเพคะ หลิ่วกุ้ยเหรินเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งแคว้นฉี หม่อมฉันมิอาจเทียบได้”
จวินฉีเซิ่งทำท่าทีดูถูก “หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งแคว้นฉี? นั่นเป็นการให้เกียรตินางต่างหาก”
มู่หรงอี๋กำมัดแน่น เตียงหลังนี้จัดว่าเป็นของนาง นึกมิถึงเลยว่าบุรุษที่เป็นของนางจะมาทำเรื่องบนเตียงนี้กับคนที่เคยเป็นสาวใช้!
ตำหนักเฟิงหรวนแสนกว้างใหญ่กลับมิมีคนเฝ้า จวินฉีเซิ่งจะจงใจทำเช่นนี้ ก็เพราะต้องการให้มู่หรงอี๋ได้เห็นเพื่อจะได้ปวดใจ
“จวินฉีเซิ่ง! พวกเจ้ามันชายโฉดหญิงชั่วต้องมิตายดีแน่!”
มู่หรงอี๋บุกเข้ามา แต่ถูกจวินฉีเซิ่งกดลงบนเตียงนอน ใบหน้าถอดสีลงขยับตัวไปด้านข้างพูดว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันไร้ระเบียบวินัย ใครจะไปรับรู้ว่าในเวลานี้ หลิ่วกุ้ยเหรินจะบุกเข้ามา หม่อมฉันสมควรตาย”
จวินฉีเซิ่งกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เจ้าผิดตรงไหนหรือ? ก็แค่หญิงบ้ามิรู้กาลเทศะเท่านั้น! ทหาร! พานังหญิงบ้านี่ออกไปเสีย!”
“เจ้า! จวินฉีเซิ่ง! เจ้าทำเช่นนี้กับข้า เจ้ามิกลัวว่าข้าจะเปิดเผยความลับของเจ้าหรือ! เมื่อถึงเวลานั้นเจ้ากับข้าก็แค่มัจฉาตายตาข่ายขาด”
รอยนิ้วมือบนใบหน้าของมู่หรงอี๋ยังมิทันจางหาย ผมเผ้าก็รุงรัง ใบหน้าซีดขาว แบบฉบับหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งแคว้นฉีตรงไหนกัน?
จวินฉีเซิ่งผลักไสมู่หรงอี๋ลงบนพื้นอย่างไรเยื่อใย หัวเราะอย่างเยือกเย็น ทันใดนั้นก็กระซิบข้างหูของมู่หรงชิวว่า “ตอนที่อยู่บนเตียงของมู่หรงชิวนั้น เจ้าทำเรื่องเดียวกับหวีผิน มิใช่หรือ? ”
ราวกับฟ้าถล่ม จู่ ๆ มู่หรงอี๋ก็นึกถึงเรื่องเมื่อหลายปีก่อน ครั้งแรกที่นางยั่วยวนจวินฉีเซิ่งโดยการอาศัยตอนไปเยี่ยมพี่สาวคนโต ที่จริงนางรู้อยู่แล้วว่าวันนั้นมู่หรงชิวมิได้อยู่บ้าน แต่จวินฉีเซิ่งอยู่ และเป็นจวินฉีเซิ่งต่างหากที่กำลังดื่มได้ที่ นางจึงใช้สายตาหวานเยิ้มโอบเอวพาเขาเข้าไปในห้องของเขากับมู่หรงชิว
จวินฉีเซิ่งกล่าวต่ออีกว่า “ตอนนั้นเจ้างดงามเหลือเกิน แต่บัดนี้เจ้าควรส่องกระจกดูสารรูปของตัวเองเสียว่าเจ้าคู่ควรกับข้าหรือ? บุตรสาวของอนุผู้ต่ำต้อยคนหนึ่ง บุตรสาวที่คลอดออกมาจากสตรีในหอนางโลม!”
ยังมิทันรอให้มู่หรงอี๋เอ่ยกลับ ปากประตูก็มีองครักษ์เดินเข้ามา ดึงกระชากมู่หรงอี๋ออกไปอย่างป่าเถื่อน ไร้ท่าทีอ่อนโยนต่อสตรี
“จวินฉีเซิ่ง! ข้าจะมิมีวันปล่อยพวกเจ้าไป! พวกเจ้าคอยดูข้าแล้วกัน! ”
นางเหลือบมองจวินฉีเซิ่งอย่างน่าสงสารอยู่บนเตียงพร้อมกับกล่าวว่า “ฝ่าบาท? นางคงมิได้…… ”
จวินฉีเซิ่งเช็ดริมฝีปากของยีชุ่ยอย่างเบามือพร้อมกล่าวว่า “ก็แค่ผู้หญิงบ้าคนหนึ่ง เรามาต่อกันเถอะ”
ใบหน้าของยีชุ่ยเขินอายราวกับดอกไม้กำลังผลิบาน เมื่อก่อนตอนอยู่จวนหวาง เขาชอบสตรีประเภทนี้มาก ไหนจะที่ยีชุ่ยอยู่กับเขามาตั้งแต่อายุสิบสามปี หลายปีมานี้มิได้สัมผัสมันเลย แท้ที่จริงก็คือยากเกินที่จะควบคุมไว้แล้ว
ค่ำคืนอันแสนงดงามนี้ มีเพียงเสียงกรีดร้องของมู่หรงอี๋ส่งมาจากเรือนฉูหรวน
“จวินฉีเซิ่ง! ข้าจะฆ่าเจ้า!”
“บังอาจ! นึกมิถึงเลยว่าจะเรียกชื่อของฝ่าบาท! ”
หนึ่งในองครักษ์โยนมู่หรงอี๋ลงในตำหนักอย่างไร้ความปรานี มู่หรงชิวที่อยู่ตรงนั้นขยิบตาบอกคนข้าง ๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าว่าสาวงามอันดับหนึ่งแห่งแคว้นฉีก็มิเท่าไร”
“แก่ปูนนี้แล้ว ยังจะมีประโยชน์อะไรได้ ข้าว่าฝ่าบาทก็คงคิดเช่นนี้กับนาง”
“มิเช่นนั้นพวกเราออกอุบายกัน? แต่ข้ามิได้แล้ว ภรรยาที่เรือนเข้มงวดเหลือเกิน พวกเจ้าลองกันดู”
ระหว่างที่กล่าว องครักษ์ผู้นั้นก็ได้ผลักคนข้าง ๆ เข้าไป ประจวบกับปิดประตูใหญ่ของตำหนักเรือนฉูหรวนลงอย่างแน่นหนา
เขามีนามว่าหลี่ต้าไห่ เป็นคนที่ทางฝ่ายเป่ยไห่เฟิงส่งมาดูมู่หรงอี๋ แม้ว่าเขาจะมิอาจรู้ได้เลยว่านายท่านที่รักและทะนุถนอนเหตุใดจึงสั่งการเช่นนี้ แต่เมื่อเป็นสายลับของชนเผ่าแห่งน่านน้ำ ถือว่าทำหน้าที่ได้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว
“เจ้าทำอะไร! เจ้าอย่าเข้ามา! ”
ปากของมู่หรงอี๋ถูกเข็มขัดยัดไว้ มีเพียงเสียง “อู้อี้”ออกมา
หลี่ต้าไห่ที่อยู่นอกตำหนักได้ยินเสียงด้านในแอบขำ กลับไปรายงานผลครั้งนี้มีเรื่องให้สนทนาแล้ว
มู่หรงอี๋ถูกทำให้อัปยศขนาดนี้ นางรู้สึกสะอิดสะเอียนขึ้นมา
ในเวลาที่องครักษ์หยิบเข็มขัดออกจากปากของมู่หรงอี๋ ฟ้าก็เริ่มสางแล้ว
มู่หรงอี๋นอนคว่ำหน้าอยู่บนโต๊ะ เสื้อผ้ามิเรียบร้อย
มิคิดเลยว่าจะหมดสภาพเช่นนี้
จวินฉีเซิ่ง หากมิใช่เพราะเจ้า!
เป่ยไห่เฟิงเล่นอยู่ในตำหนักตั้งแต่เช้า ราวกับว่ามิได้นอนทั้งคืน พอถึงช่วงกลางวันจึงง่วงนอนอยู่บ้าง ตอนที่หลี่ต้าไห่เข้ามา พอดีกับที่เป่ยไห่เฟิงกำลังกอดนัวเนียกับชาวตะวันตก พอเห็นหลี่ต้าไห่มาแล้ว เป่ยไห่เฟิงสะบัดแขนเสื้อออกพร้อมกล่าวว่า “พวกเจ้าออกไปให้กันหมด”
“เพคะ”
สตรีทั้งหลายต่างพากันถอนตัวออกไป ในตำหนักเหลือเพียงหลี่ต้าไห่กับเป่ยไห่เฟิง
“เรื่องที่ข้าสั่งให้เจ้าจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือ? ”
หลี่ต้าไห่คุกเข่าลงกับพื้นกล่าวว่า “เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ ว่าแต่เหตุใดจู่ ๆ คุณชายถึงจัดการสนมหรือพ่ะย่ะค่ะ? นางเพิ่งจะแท้งบุตรไป ยังต้องได้รับความอัปยศอดสูเช่นนี้ ดูมิเหมือนลักษณะของคุณชายเลยพ่ะย่ะค่ะ ”
“เจ้านี่มันปากมาก! ” เป่ยไห่เฟิงมองแผนการของกู้ชิวเหลิ่งออกอย่างชัดเจน การเหน็บแนมระหว่างสตรีด้วยกันจะไปมีผลอะไรได้? สู้เห็นเรื่องจริง แม้ว่าวิธีการจะสกปรกไปหน่อย
เป่ยไห่เฟิงกล่าวว่า “นี่เป็นเป้าหมายในการมาแคว้นฉีของข้า เจ้าอย่ามาก่อกวนข้าเลย ถือว่าวันนี้มิเห็นข้าละกัน ได้ยินชัดหรือไม่? ”
“ข้าน้อยเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ”
เป่ยไห่เฟิงสะบัดมือกล่าวว่า “ออกไปกันเสีย”
รอกระทั่งหลี่ต้าไห่ออกไป เป่ยไห่เฟิงจึงหาวขึ้น ที่เขามาในครั้งนี้ก็เพราะตั้งใจให้จวินฉีเซิ่งผลักตำแหน่งฮ่องเต้ลงไป ส่วนกู้ชิวเหลิ่งก็แค่เป็นจังหวะพอดี
โดยหลักคือหลายปีมานี้ที่จวินฉีเซิ่งได้ขึ้นครองราชย์ กลับใช้แผนการมิยุติธรรมเกี่ยวกับธุรกิจทางทะเล มีแผนมุ่งร้ายต่อชนเผ่าแห่งน่านน้ำ มิเช่นนั้นเขาก็คงมิมาด้วยตนเอง
ถือว่าเป่ยไห่เฟิงเฉลียวฉลาด ค่อย ๆ เข้าใจวิธีการของกู้ชิวเหลิ่ง เพราะว่ากู้ชิวเหลิ่งก็มิอยากให้มู่หรงอี๋กับจวินฉีเซิ่งได้ดี เป้าหมายของเขาก็เช่นเดียวกัน เพียงแต่กู้ชิวเหลิ่งยังคอยระมัดระวัง เขากลับวางใจ ทำให้ครั้งนี้มู่หรงอี๋ได้รับปลุกปั่นเช่นนี้ มิเพียงเพิ่มความเร็วให้กับแผนการของกู้ชิวเหลิ่ง หากยังทำให้เขาได้รับประโยชน์อีกด้วย ในฐานะที่เป็นบุรุษ ถูกสตรีหักหลังถือว่าเป็นเรื่องน่าอับอายเหลือเกิน แต่เขารู้แจ้งเห็นชัด ใครใช้ให้เจ้าสร้างศัตรูมากถึงเพียงนี้?
เป่ยไห่เฟิงโบกพัดเดินกลับไปพร้อมกล่าวว่า “ในเมื่อสร้างศัตรูไว้มาก อย่ามาหาว่าข้าโหดเหี้ยมอำมหิตแล้วกัน”