ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 241 ชะตาชีวิต
หลายวันมานี้เกิดเรื่องราวมากมายติดต่อกัน จวินฉีเซิ่งแทบจะลืมเรื่องราวของกู้เจินกับจวินหวาเทียนไปเสียแล้ว
เขามองไปยังองครักษ์ลับซึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นในบัดนี้ แต่กะจิตกะใจกลับลอยออกไปที่แห่งหน เขาเคยได้ยินเรื่องความเก่งกาจของหมอผีไท่ซวีมาเนิ่นนาน แต่มิเคยได้พบกันสักครั้ง ในครานี้เขาอยากจะเห็นยิ่งนัก
เพียงแต่ว่า จู่ๆ จวินฉีเซิ่งก็นึกถึงคำของวี่เฟยตอนที่นางกำลังจะตายขึ้นมาได้ เขามิเข้าใจเอาเสียจริง วี่เฟยวางแผนการใดไว้กันแน่ จึงกล้ากล่าวว่าเขาจะต้องเสียใจ
นิสัยของวี่เฟยนั้นเขารู้ดีกว่าใคร แท้จริงแล้วเรียกได้ว่าเขารู้จักนิสัยใจคอสตรีที่อยู่ข้างกายตนอย่างโปร่งใส เพียงแต่ตอนที่วี่เฟยสิ้นลม เขามิได้ครุ่นคิดประการใดมากนัก เนื่องจากเขารู้ดีว่าสตรีนางนี้มิอาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้แน่
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ จะทรงรับสั่งให้หมอผีไท่ซวีเดินทางเข้าวังดีหรือไม่?”
องครักษ์ลับคุกเข่าอยู่บนพื้นเป็นเวลาเนิ่นนาน ขณะที่เขากล่าวประโยคนี้ออกมา จวินฉีเซิ่งก็ได้สติกลับคืนมาเช่นกัน เขาครุ่นคิดแล้วตอบว่า “ใช่! ไปเรียกตัวมาบัดเดี๋ยวนี้!”
จวินหวาเทียนกำลังตั้งใจจะดื่มชา เขายกถ้วยน้ำชาขึ้น ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงคนดังออกมาจากด้านนอก เป็นขันทีรับใช้ข้างกายของจวินฉีเซิ่ง เดินทางเข้ามายกมือขึ้นคารวะ “หมอผี ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้เข้าเฝ้า”
กู้เจินกำลังทำพิธีที่อยู่ในตำหนักเย็น ขณะนี้ภายในห้องมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น ใครคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาจากปากประตู เขาผู้นั้น สวมหน้ากากด้วยเช่นกัน
จวินหวาเทียนลุกขึ้นยืน เห็นได้ชัดว่าร่างกายมิสู้ดีนัก ขันทีจึงรีบกล่าวว่า “ที่ด้านนอกมีเกี้ยวซึ่งฝ่าบาทรับสั่งให้จัดเตรียมเอาไว้ เชิญหมอผีเถิด”
น้ำเสียงของจวินหวาเทียนดูค่อนข้างจะยังหนุ่มยังแน่น แต่ก็แฝงไปด้วยความชรา “ขอบคุณท่านมาก”
แม้ว่าขันทีผู้นี้จะอาศัยอยู่แต่ในพระราชวังหลวง แต่เขาก็พอจะได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของหมอผีไท่ซวีมาบ้าง ว่ากันว่าบัดนี้อายุของหมอผีไท่ซวี ปาเข้าไปหกสิบปีแล้ว มิรู้เพราะเหตุใดน้ำเสียงและรูปร่างของเขาจึงดูยังเยาว์นัก
จวินหวาเทียนมิได้สนใจท่าทีอันสงสัยของขันที เขาขึ้นไปบนเกี้ยวด้วยความช่วยเหลือของมหาดเล็ก
ขันทีมองออกว่าสภาพร่างกายของจวินหวาเทียนดูมิสู้ดี จึงได้กำชับกับคนแบกเกี้ยวว่าให้ระมัดระวังสักหน่อย โชคดีเหลือเกินที่เป็นเช่นนี้ จึงทำให้การเดินทางไปยังห้องทรงพระอักษรของจวินหวาเทียนดำเนินไปอย่างราบรื่น
หลังลงจากเกี้ยว ประตูของห้องทรงพระอักษรก็ได้เปิดออก จวินฉีเซิ่งประทับอยู่บนเก้าอี้มังกร เห็นได้ชัดว่าเขารออยู่ที่นี่สักระยะแล้ว
มหาดเล็กมิได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้องทรงพระอักษร ดังนั้นจวินหวาเทียนจึงเข้าไปเพียงลำพัง
กล่าวได้ว่านี่เป็นการพบกันครั้งแรกในช่วงระยะเวลาสี่ปีระหว่างสองพี่น้อง จวินฉีเซิ่งดูท่าทางมีสง่าราศี เหมาะสมกับการเป็นกษัตริย์ แตกต่างกันกับท่านอ๋องในเมื่อก่อนที่ได้แต่ก้มหน้าก้มตา
จวินหวาเทียนเพียงแค่เหลือบตามองเขาชั่วครู่แล้วก้มหน้าลง ตั้งใจจะก้มศีรษะคารวะ แต่กลับไอออกมาอย่างแรง
ขันทีรีบเร่งเข้าไปกระซิบที่ข้างหูจวินฉีเซิ่งว่า “หมอผี สุขภาพร่างกายมิสู้ดีนะ เขาไอเช่นนี้ตลอดทาง”
หลังจากที่จวินฉีเซิ่งได้ยินแล้วก็พยักหน้า กล่าวว่า “ในเมื่อหมอผีสุขภาพร่างกายมิค่อยแข็งแรง เจ้าจงจัดแจงเก้าอี้ให้เขานั่งลงเถิด อย่าได้มากพิธีความ”
จวินหวาเทียนกล่าวว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
จวินหวาเทียนนั่งอยู่ที่ด้านข้าง น้ำเสียงอันยังดูหนุ่มของเขาทำให้ถูกสังเกตเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยได้ยินองครักษ์ลับของตนกล่าวว่า หมอผีไท่ซวีมีความสามารถในการฝึกตนให้กลับไปเป็นหนุ่มได้ ก่อนหน้านั้นเขามิอาจเชื่อว่าชายหนุ่มอายุราวยี่สิบกว่าปีตรงหน้าเขาจะรับรู้ทุกสิ่งใดโลกนี้ ทว่าจู่ๆก็รู้สึกยกย่องเทิดทูน ความรู้สึกเช่นนี้เขาเคยมีให้ต่อเสด็จพ่อของตนคนเดียวเท่านั้น
“มิทราบว่าฝ่าบาทเรียกกระหม่อมมาในครั้งนี้ มีเรื่องอันใดให้รับใช้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
เดิมทีนี่เป็นประโยคที่ค่อนข้างจะถ่อมตน แต่เมื่อกล่าวออกมาจากปากของจวินหวาเทียน กลับหามิพบถึงความถ่อมตนแม้แต่น้อย ทั้งยังให้ความรู้สึกถึงการเฉยเมย กล่าวอย่างมิได้จริงใจ
จวินฉีเซิ่งหัวเราะขึ้นก่อนตอบว่า “ในครั้งนี้ที่ข้าเชิญหมอผีมานั้น เพราะต้องการสอบถามถึงสถานการณ์ในพระราชวัง หลังจากที่ตำหนักเย็นถูกไฟไหม้แล้ว วังหลังก็มิเคยสงบสุขอีก มิรู้ว่าหมอผี พอจะมองออกหรือไม่ถึงสาเหตุนั้น?”
นี่เป็นเพียงวิธีการ ที่จวินฉีเซิ่งใช้ในการทดสอบจวินหวาเทียน มิรู้ว่าเพราะเหตุใด จวินฉีเซิ่งมักจะรู้สึกได้ว่า หมอผีไท่ซวีที่อยู่ตรงหน้านี้แลแปลกประหลาดนัก ส่วนแปลกอย่างไร เขาเองก็มิรู้ เป็นเพียงความรู้สึกหนึ่งที่ทำให้เขาดูคุ้นเคย
“กระหม่อมเป็นคนที่หลิ่วกุ้ยเหรินซึ่งจากไปแล้วผู้นั้นเชิญเข้ามาในวัง เดิมทีกระหม่อมก็เข้ามาที่พระราชวังเพื่อต้องการดูสาเหตุต้นตอ กระหม่อม ได้อยู่ที่นี่ตลอดเวลา เพียงแต่ความสามารถของกระหม่อมนั้นยังมิเพียงพอ จึงมิอาจขจัดวิญญาณร้ายออกไปได้”
สิ่งที่จวินหวาเทียนกล่าวถึงเรื่องผีสั่ง มิได้ถูกจับได้แม้แต่น้อย เพราะเขาเองก็รู้ดีว่ามู่หรงอี๋ เป็นคนเชิญจวินหวาเทียนเข้ามา เพียงแต่มิได้เปิดโปงความจริงก็เท่านั้น จวินฉีเซิ่งจึงกล่าวเพียงว่า “มิรู้ว่า ปีนี้หมอผีอายุเท่าใดแล้ว มองไปยังดูหนุ่มแน่นนักหนา”
“กระหม่อมเป็นคนจากแคว้นเป่ย พวกเรานักบวชผู้บำเพ็ญตนจะมินับอายุของตนเอง ขอฝ่าบาทโปรดประทานอภัยด้วย”
จวินฉีเซิ่งวางหยกประคำหยกขาวในมือของตนลงบนโต๊ะ ทดลองเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า “มิทราบว่าหลิ่วกุ้ยเหรินเชิญหมอผีเข้ามาสนทนาเรื่องใด พอจะบอกข้าได้หรือไม่”
จวินหวาเทียนรู้ดีว่าจวินฉีเซิ่งจะต้องเอ่ยถามเช่นนี้ จึงเอ่ยตอบว่า “กระหม่อมเคยเอ่ยเตือนหลิ่วกุ้ยเริ่นเอาไว้ว่า ชะตาชีวิตที่ขโมยของผู้อื่นมา มิช้าก็เร็วสักวันต้องถูกเอาคืน อีกอย่างชะตาชีวิตที่หลิวกุ้ยเหรินที่ขโมยมา เป็นของสาวฟีนิกซ์ที่สวรรค์กำหนดชะตานี้ช่างอันตรายและพิเศษ หากมิระมัดระวังล่ะก็อาจถึงแก่ชีวิตได้ อีกทั้งจะต้องตายอย่างอนาถไร้ซึ่งคำพรรณนา”
มิรู้ว่าเหตุใดในใจของจวินฉีเซิ่ง จึงรู้สึกว่างเปล่ายิ่งนัก เหงื่อเย็นไหลซึมออกมาทั่วร่างกาย ราวกับได้รับรู้เรื่องราวร้ายแรงน่าหวาดกลัว ชะตาชีวิตของสาวฟีนิกซ์ที่สวรรค์กำหนด ชื่อนี้เขามิเคยได้ยินมันมาก่อน แต่กลับทำให้เขาเชื่อมโยงไปมู่หรงชิวที่ตายไปแล้ว เพราะคำพูดของคนตรงหน้านี้
มู่หรงอี๋กล่าวว่านางเห็นมู่หรงชิว เดิมทีเขาคิดว่าเป็นเพราะมู่หรงอี๋ต้องการจะใช้เรื่องราวในอดีตมาบีบบังคับตน จึงมิอยากไปสนใจนาง บัดนี้ดูแล้ว คงมิใช่เช่นนั้น
“มิรู้ว่าชะตาชีวิตของสาวฟีนิกซ์ที่สวรรค์กำหนดเป็นเช่นไร”
จวินหวาเทียนตอบว่า “ชะตาชีวิตของสาวฟีนิกซ์ที่สวรรค์กำหนดนั้นสูงส่งจนมิอาจบรรยาย ใต้หล้านี้ ผู้ที่มีชะตาเป็นสาวฟีนิกซ์ที่สวรรค์กำหนดก็คือฮองเฮา และแน่นอนว่าฮองเฮาเป็นผู้ที่ถือสาวฟีนิกซ์ที่สวรรค์กำหนดนั้นไว้”
ในสมองของจวินฉีเซิ่งปรากฏภาพที่ทั้งสองคนแต่งงานกันขึ้นจางๆ เขาเคยกล่าวกับมู่หรงชิวนับครั้งมิถ้วนว่า หากวันใดที่เขาได้ขึ้นครองราชย์ มู่หรงชิวก็จะเป็นฮองเฮาของเขา
แต่ต่อมา มู่หรงชิวกลับสิ้นใจลง อีกทั้งสิ้นใจอย่างอนาถ ส่วนมู่หรงอี๋……
เมื่อนึกถึงสภาพศพของมู่หรงอี๋ จวินฉีเซิ่งก็รู้สึกว่าสิ่งที่จวินหวาเทียนกล่าวมานั้นเป็นความจริงทุกประเด็น
เขามิเชื่อเรื่องผีสาง แต่กลับกลัวแคว้นเป่ยยิ่งนัก
เนื่องจากแคว้นเป่ยมีมนต์ดำมากมาย ผู้คนแปลกประหลาดนับมิถ้วน อีกทั้งแคว้นเป่ยยังแข็งแกร่งนัก เพราะมีราชครู ที่เรียกว่าราชครูนั้นก็คือผู้ที่ทำนายดวงชะตาของแคว้น รู้ว่าแคว้นนั้นจะรุ่งโรจน์หรือย่ำแย่ อีกทั้งยังมีความสามารถในการกำหนดชะตา ซึ่งหมอผีไท่ซวีเป็นคนจากแคว้นเป่ย ทำให้ผู้คนอดมิได้ที่จะคิดไปมากความ
จวินหวาเทียนรู้ดีว่าเมื่อเขากล่าวถึงตรงนี้จะทำให้จวินฉีเซิ่งจิตใจสั่นคลอนได้ จวินหวาเทียนจึงกล่าวขึ้นว่า “วังหลังมิสงบเอาเสียเลย อายุอานามของกระหม่อมก็มากเกินกำลัง มิรู้ว่าจะช่วยสิ่งใดได้บ้าง”
เมื่อเห็นท่าทีอันอ่อนแอบอบบางของจวินหวาเทียน จวินฉีเซิ่งก็แลตกอกตกใจ เขารีบเอ่ยปากกล่าวขึ้นว่า “มิรู้ว่ามีวิธีใดหรือไม่ที่จะกำจัดผีวิญญาณ ออกไปจากวังหลังได้บ้าง?”