ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 243 ทายาทขององค์รัชทายาท
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 243 ทายาทขององค์รัชทายาท
กู้ชิวเหลิ่งเดิมทีมิรู้ตัว แต่เมื่อกู้เจินกล่าวมาดังนี้นางจึงได้สังเกตเห็นแขนเสื้อของตน มันเลอะคราบเลือดจริงตามนั้น หากออกไปเช่นนี้หากมีใครเห็นเข้าคงจะถูกเอ่ยถาม
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า “ขอบใจเจ้ามาก ข้ารู้แล้ว”
เมื่อกล่าวจบ กู้ชิวเหลิ่งก็ฉีกแขนเสื้อออกทุกอย่างเฉยเมย มองไปดูมิโดดเด่นเท่าเมื่อสักครู่ อาจกล่าวได้ว่า ต้นไม้ระมัดระวังจึงทำให้ แขนเสื้อไปเกี่ยวกับเนื้อผ้าขาด
กู้ชิวเหลิ่งหันหลังเดินจากไป กู้เจินเม้มริมฝีปาก จากนั้นจึงสั่งให้ผู้ที่รู้การรักษาเข้ามาทำบาดแผลให้แก่มู่หรงอี๋ที่ขา
ระหว่างทางนั้น กู้ชิวเหลิ่งได้แต่ครุ่นคิด มิรู้ว่ามู่หรงอี๋จะนำหลักฐานนั้นไปซุกซ่อนที่ใดกันแน่
จากความคิดและแผนการของมู่หรงอี๋ในก่อนหน้า ก็อาจเป็นไปได้ที่จวินฉีเซิ่งจะหามิพบ ในตอนแรกที่จริงนางก็คิดว่าหลักฐานนั้นจะอยู่ที่ตัวของหลิ่วอี๋เหนียง แต่เมื่อครุ่นคิดดูอีกที ทุกอย่างจะง่ายดายเช่นนั้นอย่างไรกันเล่า เพราะเหตุใดจวินฉีเซิ่งตามหามาหลายปีแต่ก็มิพบ อีกอย่างบัดนี้หลิ่วอี๋เหนียงก็ตายไปแล้ว ที่จริงจวินฉีเซิ่งควรจะหาหลักฐานนั้นกลับคืนมาเจอสักที ทว่าท่าทางของมู่หรงอี๋เมื่อสักครู่ เห็นได้ชัดว่าจวินฉีเซิ่งยังหาหลักฐานมิพบ
แล้วนี่……เพราะอะไรกัน?
กู้ชิวเหลิ่งเดินตรงไปถึงที่พักของจวินหวาเทียนโดยมิรู้ตัว เมื่อเข้าไปด้านในก็พบกับกลิ่นยาคละคลุ้ง คาดว่าเขาคงจะเพิ่งกินยาเข้าไปมินาน
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า “ข้ามามิถูกจังหวะเอาเสียเลย เจ้าเพิ่งจะกินยาควรพักผ่อน”
จวินหวาเทียนกล่าวอย่างมิได้ใส่ใจนักว่า “เข้ามานั่งเถิด”
กู้ชิวเหลิ่งก็มิได้เกรงใจ นางเข้าไปนั่งอยู่ตรงข้ามกับจวินหวาเทียน
ขณะนั้นจวินหวาเทียนกำลังนอนเอนกายพักผ่อนอยู่บนเตียงแสนนุ่มของเขา มีผ้าห่มซึ่งทอสานค่อนข้างหนาแน่นห่มร่างกายเอาไว้ สีหน้าดูซีดเผือด ไร้เส้นเลือดฝาด
กู้ชิวเหลิ่งอดมิได้ที่จะขมวดคิ้วเข้าหากัน กล่าวว่า “นับตั้งแต่เจ้าเดินทางเข้ามาในพระราชวัง เหตุใดสีหน้าจึงดูย่ำแย่ลงทุกครา?”
ร่างกายของข้านั้นข้ารู้ตัวเองดี เจ้าอย่าได้กังวลใจไป”
จวินหวาเทียนไอออกมาอยู่พักใหญ่ กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า “เมื่อครู่ข้าไปที่ตำหนักเย็นมา และเอ่ยถามเรื่องราวได้เล็กน้อย”
“ดูจากนิสัยของเจ้า สิ่งที่ถามคงจะเกี่ยวข้องกันกับตระกูลมู่หรง เรื่องเหล่านั้นข้ารู้”
การที่จวินหวาเทียนรับรู้เรื่องราวเหล่านี้ทำให้กู้ชิวเหลิ่งประหลาดใจมิน้อย “เจ้ารู้แล้วหรือ เจ้ารู้ทุกเรื่องงั้นหรือ?”
“อาชิว สิ่งที่เจ้าคิดได้ ใช่ว่าข้าคิดมิได้ มู่หรงอี๋อยู่ในวังหลังมาหลายปี ดำรงตำแหน่งเป็นกุ้ยเฟยและได้รับความเมตตามาตลอด เจ้าคิดว่าเป็นเพราะจวินฉีเซิ่งเห็นแก่ความงามของนางหรือ คาดว่ามู่หรงอี๋คงจะเก็บความลับที่เป็นหลักฐานระหว่างความร่วมมือของเขากับหนานชางโหวเอาไว้นะสิ”
การที่จวินหวาเทียนรู้เรื่องราวได้อย่างกระจ่างแจ้งเช่นนี้ ทำให้กู้ชิวเหลิ่งรู้สึกว่าตนไร้ความสามารถยิ่งนัก “ข้าเองก็สงสัยมาโดยตลอด แต่มิเคยคิดว่าจะเป็นจริงดังนั้น จากที่เจ้ามองดู เจ้าพอรู้หรือไม่ว่านางซ่อนหลักฐานนั้นไว้ที่ใด”
จวินหวาเทียนพยักหน้ากล่าวว่า “ข้ารู้”
“เจ้ารู้งั้นหรือ?”
กู้ชิวเหลิ่งหันไปมองทางจวินหวาเทียนด้วยความสงสัย เขาวางถ้วยน้ำชาในมือลงกล่าวว่า “ข้ารู้ และเรื่องนี้มิจำเป็นต้องไปกังวล”
ผ่านไปเนิ่นนานทีเดียว จวินหวาเทียนจึงได้กล่าวขึ้นว่า “รอแค่เพียงสายลมพัดโชย”
กู้ชิวเหลิ่งคิดว่าสายลมที่จวินหวาเทียนกล่าวมาเมื่อครู่ ก็คือหนอนพิษกู่ของเหมียวเจียง
มันเป็นหนอนกู่ที่สามารถทำให้จวินฉีเซิ่งยอมกล่าวความจริงออกมาทุกประการ
กู้ชิวเหลิ่งเอ่ยถามว่าจวินหวาเทียน “เจ้าพอจะบอกข้าได้หรือไม่ ว่าเจ้าสิ่งนั้นซ่อนอยู่ที่ใดกันแน่”
“อยู่ในสุสานฮ่องเต้”
สุสานฮ่องเต้มีไว้สำหรับจัดฝังฮ่องเต้และเหล่าสนมทั้งหลาย
กู้ชิวเหลิ่งขมวดคิ้วเข้าหากัน กล่าวว่า “เหตุใดจึงไปอยู่ในสุสานฮ่องเต้ได้ สิ่งใดทำให้เจ้าคิดเช่นนั้น?”
จวินหวาเทียนส่ายหน้าตอบว่า “เรื่องนี้เจ้ามิจำเป็นต้องเอ่ย มีใครคนหนึ่งบอกข้า”
ใครคนหนึ่งนั้น ทำให้กู้ชิวเหลิ่งนึกไปถึงจี้ต้าน ชายผู้ที่กล่าวว่าตนเป็นราชครูจากแคว้นเป่ยขึ้น
มิรู้ว่าด้วยเหตุผลใด กู้ชิวเหลิ่งมากรู้สึกว่าจวินหวาเทียนกับราชครูแคว้นเป่ยจี้ต้านคนนี้มีความร่วมมือกันตกลงด้านของผลประโยชน์อยู่ นางรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนมิธรรมดา
“ที่จริงแล้วข้าอยากจะเอ่ยถามมาโดยตลอด ว่าเจ้ากับกู้เจินนั้นเป็นอะไรกัน”
จวินหวาเทียนตอบว่า “แท้จริงแล้วมิมีสิ่งใดให้น่ากล่าวถึง เจ้าเองก็รู้ดีว่ากู้เจินเป็นคนของต้าโม่ เจ้าก็รู้ว่าข้าเป็นคนจากต้าโม่เช่นกัน เจ้าคิดมิออกจริงงั้นหรือ?”
กู้ชิวเหลิ่งหัวเราะขึ้นเบาๆ “พวกเจ้าเป็นพี่น้องกันหรือ?”
“จะว่าเช่นนั้นก็ได้”
จวินหวาเทียนกล่าวกับกู้ชิวเหลิ่งว่า “ช่วงเวลานั้นกำลังจะมาถึงในมิช้าแล้ว อาชิว จากนี้ไปเจ้าต้องการทำสิ่งใด”
จวินหวาเทียนชะงักลงเล็กน้อยกล่าวว่า “จะกลับต้าเยียนพร้อมอวี้ฉือจ้านหรือ?”
กู้ชิวเหลิ่งตอบว่า “ข้าอาจจะเดินทางไปแคว้นเป่ยสักหน่อย มีเรื่องบางเรื่องข้าอยากไขความให้แน่ชัด”
สีหน้าของจวินหวาเทียนดูมืดมนมิผ่องใส เห็นได้ชัดว่าเขามีเรื่องหนักใจ
กู้ชิวเหลิ่งจึงกล่าวว่า “ในอนาคตเมื่อเจ้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้……ข้าเชื่อว่าเจ้าจะเป็นฮ่องเต้ที่ดีได้ เป็นผู้นำที่ดีและปกครองแคว้นฉีให้รุ่งเรือง”
จวินหวาเทียนพยายามเก็บกลั้นความรู้สึกอยากไอออกมา สีหน้าซีดเผือดของเขาเผยรอยยิ้มขึ้นจางๆ “ข้าหวังว่าเช่นนั้น”
เขามีชีวิตอยู่ได้อีกมิกี่ปีแล้ว ต่อให้เขาใช้ชีวิตทุกวินาทีอย่างมีค่าและระมัดระวัง แล้วก็ยังมีชีวิตอยู่ได้เพียงมิกี่ปีจริงๆ
อาจจะสองปี ปีครึ่งหรือเพียงแค่ปีเดียวเท่านั้น
จวินหวาเทียนส่ายหน้าอย่างเยือกเย็นขมขื่นแล้วกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นกังวลเรื่องบุตรขององค์รัชทายาท ข้าหาเขาพบแล้ว มิต้องเป็นห่วง”
“เจ้าหาพบแล้วจริงหรือ?”
กู้ชิวเหลิ่งรีบลุกขึ้นยืน จวินหวาเทียนพยักหน้ากล่าวว่า “จงวางใจเถิด เขาอายุได้สามปีกว่าแล้ว ช่างน่ารักและแข็งแรง”
จวินหวาเทียนรู้ดีว่ากู้ชิวเหลิ่งรู้สึกผิดต่อฮ่องเต้องค์ก่อนและองค์รัชทายาท อีกทั้งยังจงรักภักดีต่อตระกูลมู่หรง โชคดีที่ทายาทขององค์รัชทายาทยังคงอยู่ ต่อให้ในอนาคตเขาจากโลกนี้ไป ตำแหน่งฮ่องเต้ก็มิต้องตกไปอยู่ในมือของคนอื่น ทำให้เลือดเนื้อต้องปนเปื้อน
ตอนที่กู้ชิวเหลิ่งกลับไปนั้น ท่าทางของนางมองดูมีความสุขอย่างเห็นได้ชัด อวี้ฉือจ้านมิเห็นท่าทางเช่นนี้จากนางนานแล้ว เขาเดินเข้าไปโอบกู้ชิวเหลิ่งเอาไว้จากด้านหลังแล้วถามว่า “มีเรื่องใดกันที่ทำให้เจ้าดีใจถึงเพียงนี้?”
เดิมทีกู้ชิวเหลิ่งตั้งใจจะกล่าวให้ฟังว่าทายาทขององค์รัชทายาทนั้นหาพบแล้ว แต่ต่อมาเมื่อครุ่นคิดดูอีกที ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มิจำเป็นต้องเอ่ย นางจึงกล่าวเพียงว่า “คุณชายมู่สืบหาหลักฐานพบแล้ว เพียงพอที่จะทำให้จวินฉีเซิ่ง ก็ต้องลงจากบัลลังก์”
อวี้ฉือจ้านกล่าว “นั่นหมายความว่าพวกเรากลับบ้านได้แล้วใช่หรือ?”
กลับบ้าน สองคำนี้ทำให้กู้ชิวเหลิ่งดูอบอุ่นหัวใจเหลือเกิน แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้กู้ชิวเหลิ่งรู้สึกใจหาย
เมื่อการล้างแค้นอันใหญ่หลวงนี้สิ้นสุดลง นางก็ต้องเดินทางไปที่แคว้นเป่ยอยู่ดี เรื่องนี้นางยังมิเคยบอกกับอวี้ฉือจ้านเลย นางเองก็มิรู้ว่าจะเอ่ยอย่างไรดี
อวี้ฉือจ้านกล่าวว่า “ทำไมหรือ กลับบ้านเจ้ามิดีใจอย่างงั้นรึ?”
กู้ชิวเหลิ่งเปลี่ยนหัวข้อสนทนา กล่าวว่า “หาใช่เช่นนั้น ข้าเพียงคิดว่าในฐานะเซ่อเจิ้งหวาง เจ้ามีเรื่องราวมากมายที่ต้องทำ ครั้งนี้เดินทางออกมาเนิ่นนานนัก เจ้าคงจะรีบร้อนใจแล้วใช่หรือไม่”
“รีบร้อนใจงั้นหรือ? เป็นความจริงที่เดินทางออกมาเป็นเวลาเนิ่นนาน และข้าก็รีบร้อนอยากจะกลับไปทำลูก”
กู้ชิวเหลิ่งอายหน้าแดงเรื่อ “เจ้ากล่าวไร้สาระเรื่องใดกัน!”
อวี้ฉือจ้านซุกศีรษะลงไปที่ซอกคอของกู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า “ในครั้งนี้การดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของเรายังมิสมบูรณ์ดี โดยมากมักจะเปลืองเวลาไปกับเรื่องการเมือง ข้าน้อยใจยิ่งนัก”
เมื่อกล่าวจบ มือข้างหนึ่งของอวี้ฉือจ้านก็ลูบคลำไปที่หน้าท้องของกู้ชิวเหลิ่ง “ช่วงนี้เราสองอยู่ด้วยกันหลายครา เจ้าคิดว่า บางทีอาจตั้งครรภ์แล้วหรือไม่?”