ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 244ตัวตนของกู้เจิน
ตั้งครรภ์แล้วหรือไม่?
คำถามนี้ทำให้ความคิดของกู้ชิวเหลิ่งสับสนงุนงง เนื่องจากก่อนหน้านี้นางมิเคยคำนึงถึงปัญหานั้นมาก่อน อาจเพราะเมื่อชาติที่แล้ว มิว่าจวินฉีเซิ่งจะรักและทะนุถนอมนางเพียงใด นางก็มิได้ตั้งครรภ์ กว่าจะตั้งครรภ์ได้มิใช่เรื่องง่ายเลย กลับถูกจวินฉีเซิ่งวางแผนการฆ่านางทิ้ง
หลังจากนั้นเป็นต้นมา นางจึงมิได้มีความหวังอีก ทว่าบัดนี้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป ร่างนี้เป็นร่างของกู้ชิวเหลิ่ง บางทีอาจจะเป็นไปได้
ดูเหมือนอวี้ฉือจ้านอยากได้ลูกยิ่งนัก กู้ชิวเหลิ่งจึงนิ่งขรึมกล่าวว่า “หากข้ามิอาจให้กำเนิดบุตรได้ เช่นนั้นเจ้าจะ……”
“หากเจ้ามิอยากคลอดลูก เราเลี้ยงบุตรบุญธรรมก็ย่อมได้”
“มิใช่……ข้าหมายความว่า……หากข้ามิอาจมีลูกได้……”
กู้ชิวเหลิ่งรู้สึกกลัว หากว่าร่างกายนี้มิอาจให้กำเนิดบุตรได้ อวี้ฉือจ้านจะผิดหวังหรือไม่
ดูเหมือนอวี้ฉือจ้านจะเข้าใจในความคิดของกู้ชิวเหลิ่ง จึงได้หันร่างของนางเข้าหาตนกล่าวว่า “หากเจ้าให้กำเนิดบุตรมิได้จริงๆ ข้าคงจะได้เปรียบน่ะสิ”
เมื่อกล่าวจบ อวี้ฉือจ้านก็ทำมือซุกซน กู้ชิวเหลิ่งรับรู้ได้ถึงความหมายของเขาในทันที ใบหน้าของนางแดงเรื่อ “นี่ปาเข้าไปเวลาใดแล้ว เจ้าให้จีเฟิงไปเตรียมอาหารเสีย ข้าหิว”
อวี้ฉือจ้านยิ้มขึ้นบางเบา “ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”
คนที่กล้าใช้เซ่อเจิ้งหวางแห่งต้าเยียนดุจดั่งผู้จัดหาอาหาร เกรงว่าคงจะมีแต่กู้ชิวเหลิ่งคนเดียวเท่านั้น
จดหมายที่ส่งมาจากทางเหมียวเจียงใช้ระยะเวลามิกี่วันก็ถึง ซึ่งผู้นำเผ่าเหมียวเจียงให้ความสำคัญกับบุตรสาวคนนี้มากกว่าสิ่งใดๆ วี่เฟยส่งจดหมายฉบับนี้ที่เขียนด้วยมือของตนเองไป หัวหน้าเผ่าเหมียวเจียงจะนิ่งดูดายได้อย่างไร
ตอนที่จวินหวาเทียนบอกข่าวนี้กับกู้ชิวเหลิ่งเป็นช่วงเวลาบ่ายของวัน พิธีฝังศพฉินเฟยและวี่เฟยเพิ่งจะเสร็จสิ้น ได้ยินมาว่าจวินฉีเซิ่งนำศพปลอมของมู่หรงอี๋โยนทิ้งลงไปในสุสานร้าง
เดิมทีกู้ชิวเหลิ่งคิดว่าจวินฉีเซิ่งจะนำศพนั้นไปโยนทิ้งในกอไผ่ มิคิดว่าจะนำไปทิ้งในสถานที่เช่นนั้น และเรื่องนี้จวินหวาเทียนเป็นคนบอก เขากล่าวว่าการที่จวินฉีเซิ่งนำศพนั้นทิ้งไปในสุสานร้างนั่นเป็นเพราะเขาบอกกับจวินฉีเซิ่งถึงเรื่องชะตาชีวิตนั่น
ณ บัดนี้ กู้ชิวเหลิ่งกำลังนั่งดื่มน้ำชากับจวินหวาเทียนอยู่ในห้อง เมื่อได้ยินคำว่าชะตาชีวิต จู่ๆ นางก็หยุดการกระทำทุกสิ่งลง แล้วเอ่ยถามว่า “ก่อนหน้านี้ข้าก็อยากถามเจ้านัก ว่าเจ้ากับ หมอผีไท่ซวีมีความสัมพันธ์กันเช่นไร เหตุใดเจ้าจึงรู้และเข้าใจเรื่องของชะตาชีวิต?”
ความสัมพันธ์ของจวินหวาเทียนกับชาวต้าโม่นางรู้ดี แล้วเกี่ยวข้องอันใดกับแคว้นเป่ยเล่า กู้ชิวเหลิ่งมากรู้สึกว่าจวินหวาเทียนปิดบังเรื่องบางอย่างเอาไว้อยู่ และเรื่องราวเหล่านี้น่าจะเกี่ยวข้องกับจี้ต้าน ราชครูผู้ดูลึกลับแปลกประหลาดของแคว้นเป่ยคนนั้น
ดูเหมือนจวินหวาเทียนจะมิอยากเอ่ยถึงหัวข้อสนทนานี้ เขากล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ ว่า “เรื่องเหล่านั้น ข้าเพียงแค่เอ่ยออกไปเท่านั้นเองเพื่อโน้มน้าวให้เขาเชื่อ เหตุใดเจ้าจึงเชื่อเรื่องนี้ด้วย?”
กู้ชิวเหลิ่งมิเชื่อว่าจวินหวาเทียนจะพูดปด แม้ว่านางอาจจะมิใช่คนสนิทข้างกายของจวินหวาเทียน แต่อย่างน้อยจวินหวาเทียนก็นับว่าเป็นเพื่อนเล่นกันตั้งแต่เด็ก ในหลายครั้งหลายครั้งนางสามารถมองท่าทีของจวินหวาเทียนออกได้ด้วยสายตา
กู้เจินผลักประตูเข้ามา เห็นได้ชัดว่าเขามิรู้เรื่องที่กู้ชิวเหลิ่งเดินทางมาที่นี่ จึงได้กล่าวว่า “ขออภัยที่มากะทันหัน”
เมื่อกล่าวจบ กู้เจินจึงตั้งใจจะเดินถอยออกไป
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า “เข้ามาเถิด ข้านั่งอีกประเดี๋ยวก็ไปแล้ว”
กู้เจินลังเลเล็กน้อย แต่ท้ายที่สุดเขาก็เดินเข้าไป เมื่อครุ่นคิดนึกถึงว่ากู้เจินเป็นชาวต้าโม่ กู้ชิวเหลิ่งจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้ได้ยินหวาเทียนกล่าวว่าพวกเจ้าทั้งสองคนนับได้ว่าเป็นพี่น้องกัน การที่เจ้าเดินทางมาจากต้าโม่ก็เพื่อหวาเทียนงั้นหรือ?”
กู้เจินนิ่งเงียบ กู้ชิวเหลิ่งจึงเอ่ยถามว่า “ในครั้งก่อนที่ชาวต้าโม่จับตัวข้า จวบจนกระทั่งบัดนี้เจ้ายังมิได้บอกข้าว่าเป็นใครกัน?”
ก่อนหน้านี้เนื่องจากการปรากฏตัวของจวินหวาเทียน ทำให้นางดีใจเสียจนลืมเรื่องราวเหล่านี้ ต่อมาก็ได้เดินทางมายังแคว้นฉีอย่างรีบเร่ง และยุ่งตลอดจนกระทั่งปัจจุบัน นางเพิ่งจะนึกออกว่าเรื่องเหล่านี้ดูเชื่อมโยงกันเหลือเกิน จวินหวาเทียนเป็นชาวต้าโม่ และมีความสัมพันธ์มิธรรมดากับกู้เจิน นั่นหมายความว่ามารดาของจวินหวาเทียนคงจะเป็นราชวงศ์แห่งต้าโม่ กู้เจินก็เช่นกัน แต่คนที่จะลักพาตัวนางในตอนนั้น เอ่ยวาจากับกู้เจินดูมิเป็นมิตรนัก
กู้เจินมิได้กล่าวสิ่งใดออกมา กู้ชิวเหลิ่งกลับกล่าวขึ้นว่า “ข้าจำได้ ในครานั้นมีใครคนหนึ่งเรียกผู้นำของพวกเขาว่าแม่ทัพ ในเมื่อเป็นแม่ทัพ คาดว่าคงมีตำแหน่งสูงในต้าโม่ แล้วเหตุใดพวกเขาจึงต้องพาตัวเจ้ากลับไปที่ต้าโม่ด้วย?”
มีความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในสมองของกู้ชิวเหลิ่ง นั่นก็คือหลบหนี
ชาวต้าโม่เต็มไปด้วยความลึกลับ คนนอกมิอาจรู้ได้ถึงความสัมพันธ์และระดับชนชั้นในต้าโม่ แต่ในเมื่อเป็นแม่ทัพยามได้พบกับเชื้อพระวงศ์ ยังกล้าทำท่าทีเย่อหยิ่งเช่นนั้นต่อหน้า สิ่งนี้ทำให้กู้ชิวเหลิ่งมิอาจเข้าใจได้
จู่ๆ จวินหวาเทียนก็ยิ้มขึ้นแล้วส่ายหน้ากล่าวว่า “ตอนที่เจ้ายังเด็ก มักมีคนชื่นชมว่าเจ้าฉลาด ดูเหมือนว่าบัดนี้เจ้าจะเชื่อมโยงทุกสิ่งเข้าด้วยกันได้แล้ว”
“ข้ามิได้ฉลาดอย่างที่เจ้าว่า ข้าเพียงรู้สึกสงสัย เหตุใดกู้เจินจึงได้อยู่ข้างกายเจ้าเนิ่นนานเพียงนี้ รวมถึงเรื่องตัวตนอันแท้จริงของซีเหมินมู่เจิน จนกระทั่งบัดนี้ข้าก็มิเข้าใจ”
ขณะที่กู้ชิวเหลิ่งมิทันได้สนใจ กู้เจินได้ก้มหน้าลง จวินหวาเทียนก็นิ่งเงียบไปพักหนึ่งแล้วหันไปกล่าวกับกู้เจินว่า “จะยินดีเล่าหรือไม่ ข้าจะมิเข้าไปข้องเกี่ยว”
กู้ชิวเหลิ่งจึงรู้สึกได้ถึงท่าทีอันผิดปกติไปของกู้เจิน ดังนั้นนางจึงเอ่ยขึ้นว่า “ข้าเชื่อในลักษณะนิสัยของเจ้า มิเช่นนั้นข้าคงมิพาเจ้ากลับมาด้วย ด้วยเหตุนี้เองต่อให้เจ้ามิอยากบอกข้าก็จะมิบีบบังคับ”
เมื่อกล่าวจบกู้ชิวเหลิ่งก็หันออกไปมองท้องฟ้าที่ด้านนอกกล่าวว่า “นี่ก็เย็นแล้ว ข้าควรกลับสักที”
กู้ชิวเหลิ่งลุกขึ้น กู้เจินเข้ามาคว้าข้อมือของนางเอาไว้ สัมผัสได้ว่าท่าทางนี้ดูกะทันหันไปหน่อย เขาจึงรีบปล่อยมือนางลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวกับกู้ชิวเหลิ่งว่า “หากเจ้ามิถือสา ข้าจะไปส่งเจ้าเอง”
กู้ชิวเหลิ่งพยักหน้า ดูเหมือนว่ากู้เจินกำลังจะอธิบายให้นางฟังถึงความเป็นจริงทั้งสิ้นเหล่านั้น
แท้จริงแล้วนับตั้งแต่ครั้งแรกที่นางได้เจอกับกู้เจิน นางก็รู้สึกประหลาดใจโดยเสมอมา ชายผู้ดุดันดั่งราชสีห์ เหตุใดจึงมาอยู่ในหมู่ทาสได้ ทั้งๆ ที่เขาเป็นชาวต้าโม่ กลับระเหเร่ร่อนมาที่ต้าเยียน สิ่งที่น่าแปลกไปกว่านั้นก็คือตัวตนของกู้เจิน นับตั้งแต่ครั้งแรกที่พบหน้ากัน นางก็รู้ได้ทันทีว่ากู้เจินเป็นเชื้อพระวงศ์แห่งต้าโม่ และเรื่องที่แม่ทัพต้องการจะจับตัวเชื้อพระวงศ์กลับไปก็เป็นเรื่องที่ชวนคิด
หลังเดินออกมาจากเรือนของจวินหวาเทียน กู้เจินจึงได้เอ่ยขึ้นว่า “เดิมทีข้านั้นชื่อว่าซีเหมินมู่เจิน เป็นบุตรคนสุดท้องของซีเหมินเถ่ยจื้อ ฮ่องเต้แห่งต้าโม่ มารดาของอ๋องหวาเป็นน้องสาวของบิดาข้า ต่อมาเนื่องจากการหลบหนี ได้พบเข้ากับฮ่องเต้องค์ก่อนของแคว้นฉี จึงได้ถูกแต่งตั้งเป็นพระสนม ข้ากับอ๋องหวารู้จักกันมาได้สามปี ในตอนนั้นต้าโม่ได้เข้ามาช่วยเขา ด้วยเหตุนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับข้า จึงนับได้ว่าเป็นพี่น้อง เพียงแต่ต่อมาด้วยเหตุผลบางประการเขาจึงเดินทางไปแคว้นเป่ย ทำให้ติดต่อกันได้เพียงแค่ทางจดหมายเท่านั้น หลังจากที่เขาจากไปมินาน ต้าโม่ก็เกิดความมิสงบจากภายใน พี่ใหญ่ของข้าซีเหมินมู่เฉิงต้องการจะแย่งตำแหน่งของข้าไป จึงร่วมมือกับทหารม้าเหล็กจับกุมข้า ด้วยเหตุการณ์นี้ทำให้ข้าต้องนี้มาที่ต้าโม่ด้วยเช่นกัน จากนั้นข้าก็ระเหเร่ร่อนไปที่ต้าเยียน ประการแรกเพื่อปิดบังตัวตนของตนเองมิให้ถูกพบ ประการที่สองเพื่อต้องการจะพบกับอ๋องหวา”