ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 245 ฮองเฮาสิ้นพระชนม์
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 245 ฮองเฮาสิ้นพระชนม์
“เพียงแต่ว่า……”
กู้เจินขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย กู้ชิวเหลิ่งเอ่ยถาม “เพียงแต่อะไรหรือ?”
กู้เจินเหลือบมองไปทางกู้ชิวเหลิ่งโดยมิรู้ตัว ก่อนจะละสายตาออกมากล่าวว่า เพียงแต่ข้าคิดมิถึงว่าพวกเขาจะตามมาถึงตายเยี่ยม อีกทั้งยังหาเจ้าพบ
กู้ชิวเหลิ่งมิเคยได้ยินคำมากมายเหล่านี้ออกจากปากของกู้เจินมาก่อน นางจึงกล่าวขึ้นว่า “การที่พวกเขาหาข้าจนพบ นั่นพิสูจน์ว่าพี่ชายของเจ้าเจตนาจะฆ่าเจ้าทิ้ง จึงได้ส่งแม่ทัพคนสนิทมาติดตามหาเจ้า มองดูแล้วที่ต้าโม่ของพวกเจ้าก็อันตรายยิ่งนัก”
กู้เจินกล่าวว่า “เขากล่าวว่าเจ้าฉลาด ซึ่งก็มิผิดจริงๆ”
เขาก็มิเคยเห็นสตรีที่เฉลียวฉลาดเช่นนี้มาก่อน
กู้ชิวเหลิ่งเอ่ยถามว่า “จากนี้ไปเจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อ ติดตามจวินหวาเทียนไปอย่างงั้นหรือ เจ้าจะมิกลับไปต้าโม่แล้วอย่างงั้นหรือ?”
กู้เจินพยักหน้ากล่าวว่า “ข้ามิอยากกลับไปที่นั่นอีกแล้ว”
“พวกเขาฆ่าบิดาของเจ้า นั่นเป็นการแย่งชิงบัลลังก์ ต่อให้ทำเพื่อบิดา เจ้าก็มิอยากกลับไปอย่างนั้นหรือ!”
กู้เจินทำได้เพียงยิ้มออกมาบางเบา เขาตอบกลับว่า “ผู้คนในต้าโม่มิใช่พระเจ้า ระบบต่างๆ มิได้แตกต่างไปจากที่นี่ พี่ของข้าต้องการอำนาจแห่งกษัตริย์ แต่ข้ามิต้องการ ดังนั้นข้าจึงมิอยากได้ ท่านพ่อต้องการจะให้บุตรชายที่มีความกล้าหาญขึ้นมาแทนที่ แท้จริงแล้วจะเป็นข้าหรือไม่ก็มิเป็นไร อีกอย่าง บัดนี้แม่ทัพเถ่ยจี้ที่ก่อกบฏก็ได้ตายไปแล้ว ต้าโม่ที่วุ่นวายแห่งนั้นปล่อยให้ท่านพี่ไปจัดการเถิด”
กู้ชิวเหลิ่งเพียงแค่ยิ้มขึ้นเบาๆ มิได้กล่าวสิ่งใดออกมา นี่อาจจะเป็นความแตกต่างระหว่างผู้คน หากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับนางล่ะก็ นางจะพยายามทุกวิถีทางในการแก้แค้นอย่างแน่นอน
บางที อาจเพราะนางเป็นสตรีเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร
เมื่อกลับไปยังเรือนด้านข้าง พบว่าอวี้ฉือจ้านรออยู่สักครู่แล้ว ทุกครั้งที่กู้ชิวเหลิ่งเดินทางไปหาจวินหวาเทียน เขาก็จะเกิดความรู้สึกกระสับกระส่าย รวมถึงในบัดนี้ด้วย
ตอนที่กู้ชิวเหลิ่งเดินทางกลับมา นางก็หันไปพยักหน้าให้กู้เจินเป็นความหมายว่านางมาถึงแล้ว
กู้เจินหันไปก้มศีรษะเล็กน้อยให้แก่อวี้ฉือจ้าน แล้วหันหลังจากไป
อวี้ฉือจ้านเดินตรงเข้าไปเอ่ยถามว่า “สนทนาเรื่องใดกันหรือ?”
จู่ๆ กู้ชิวเหลิ่งก็ยิ้มขึ้นกล่าวว่า “เหตุใดข้าจึงมองเห็นคำว่าหึงหวงจากสายตาของเจ้ากัน”
อวี้ฉือจ้านขมวดคิ้ว กล่าวว่า “เจ้าเห็นจากที่ใด?”
“ข้าได้กลิ่นคนขี้หึง”
อวี้ฉือจ้านเอื้อมมือไปโอบกอดกู้ชิวเหลิ่งไว้ แล้วตรงเข้าไปในห้องนอนกล่าวว่า “ต่อให้ข้ามิต้องหึงหรืออิจฉา เจ้าก็มืออยู่ในมือข้าอยู่แล้ว”
กู้ชิวเหลิ่งหัวเราะออกมา จีเฟิงที่บังเอิญเดินมาเห็นฉากนี้จากด้านนอกเข้า เขาก็อยากจะโทษตัวเองดวงตาตัวเองเหลือเกินที่หันไปมอง แต่บัดนี้มีเรื่องด่วนต้องรายงาน จีเฟิงแทบจะคุกเข่าลงบนพื้น
อวี้ฉือจ้านวางกู้ชิวเหลิ่งลงแล้วหันไปสนทนากับจีเฟิงที่อยู่ด้านหลังว่า “มีเรื่องใดหรือ”
จีเฟิงรีบก้มศีรษะลง ตอบว่า “ฮองเฮาสิ้นพระชนม์แล้ว”
กู้ชิวเหลิ่งมิเคยเห็นฮองเฮาคนนี้มาก่อน แต่ในเวลานี้เมื่อฮองเฮาสิ้นพระชนม์ลงก็เป็นเรื่องดี
แผ่นดินใดมิอาจปราศจากแม่ของแผ่นดินได้ หากหยินซวงซวงต้องการ สามารถใช้โอกาสนี้ในการขึ้นสู่ตำแหน่งนั้นโดยง่าย
บัดนี้มองดูแล้วในวังหลัง สนมที่สามารถแข่งขันแย่งชิงตำแหน่งกับหยินซวงซวงได้ มิมีแม้แต่คนเดียว
เหลือเพียงยีชุ่ยที่อยู่ในตำหนักเฟิงหรวนคนเดียวเท่านั้น แต่ก็นับว่าเป็นผู้ไร้ประโยชน์ นับตั้งแต่มู่หรงอี๋ตายไป สตรีผู้นี้ก็ไร้ประโยชน์กับจวินฉีเซิ่งอีกต่อไป
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า “ฮองเฮาสิ้นพระชนม์นั้นเป็นเรื่องใหญ่ จวินฉีเซิ่งน่าจะสั่งให้หยินเฟยไปจัดการเรื่องงานฝังพระศพแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นทั้งแคว้นจะต้องพากันไว้อาลัย ฮ่องเต้จะต้องยุติการประชุมราชวงศ์เป็นเวลาสามวัน นี่เป็นโอกาสที่ดีในการลงมือ
อวี้ฉือจ้านกล่าวว่า “ทางด้านเหมียวเจียงส่งจดหมายกลับมาแล้ว เป็นสามวันนี้”
กู้ชิวเหลิ่งพยักหน้า ด้วยวิธีของจวินหวาเทียน คาดว่าคงจะวางคนของตนไว้ในราชสำนักแล้ว ทั้งยังปิดปากขุนนางบางคนไว้ด้วย
แพ้ชนะผลลัพธ์อยู่ตรงหน้า นางรอมาเนิ่นนานแล้ว นางอดใจมิไหวที่อยากจะเห็นใบหน้าอันแตกสลายของจวินฉีเซิ่ง นางต้องการจะให้จวินฉีเซิ่งต้องชดใช้ทุกสิ่งทุกอย่างในเรื่องที่ตนกระทำเอาไว้
เมื่อฮองเฮาสิ้นพระชนม์ลง จวินฉีเซิ่งก็ได้แอบแต่งตั้งหยินซวงซวงให้เป็นฮองเฮาตามที่คาดไว้
กู้ชิวเหลิ่งและอวี้ฉือจ้านแม้จะเป็นคนจากต้าเยียน บัดนี้ทั้งสองอยู่ในแผ่นดินเขา จึงจำเป็นต้องสวมเสื้อผ้าให้เหมาะสมกับสถานการณ์ด้วย
ผ่านไปสามวัน เมื่อพระศพของฮองเฮาถูกนำไปฝัง จวินฉีเซิ่งก็ได้ออกคำสั่งแต่งตั้งหยินเฟยให้เป็นฮองเฮาในเวลาเดียวกัน
และงานพิธีก็ถูกจัดขึ้นในวันที่สอง
นางเตรียมแผนนี้มาเนิ่นนาน กู้ชิวเหลิ่งมิเคยแสดงท่าทีตื่นเต้นมาก่อน แต่ยิ่งนางตื่นเต้นมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งดูสงบลงมากเท่านั้น
เรื่องที่จวินฉีเซิ่งเคยทำเอาไว้ เขาจะต้องชดเชยมันอย่างสาสม
กู้ชิวเหลิ่งวางดินสอเขียนคิ้วลง นางหน้าตางดงามก็จริง แต่แตกต่างไปกับมู่หรงอี๋ นางงดงามอย่างเย็นชาและดูสะอาดสะอ้าน คิ้วกับดวงตาของนางมีเสน่ห์ กล่าวได้ว่าเป็นยอดหญิงงามเช่นกัน
อวี้ฉือจ้านเข้ามากอดกู้ชิวเหลิ่งไว้จากทางด้านหลัง เขาบรรจงจูบไปที่ต้นคอของนางแล้วเอ่ยถามว่า “เจ้ามอบของสิ่งนั้นให้แก่นางแล้วหรือ”
กู้ชิวเหลิ่งพยักหน้ากล่าวว่า “ข้าจัดเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ข้าจะออกไปข้างนอกสักหน่อย เจ้ารอข้าอยู่ที่ห้อง”
อวี้ฉือจ้านพยักหน้า บัดนี้ฟ้ายังมิสางแต่ที่ด้านนอกเต็มไปด้วยเสียงประทัดจุดสรรเสริญ ว่ากันว่าแคว้นใดล้วนมิอาจขาดแม่ของแผ่นดินได้คงเป็นเช่นนี้ จวินฉีเซิ่งเก้าเข้ามาใกล้ความตายไปทุกที
กู้ชิวเหลิ่งสวมชุดสีแดงเข้มงดงามราวกับตัวนางในชาติก่อน เพียงแต่ชุดนี้เมื่อสวมใส่อยู่ในร่างกายของกู้ชิวเหลิ่งช่างงดงามเหลือเกิน
ขณะที่นางผลักประตูเข้าไปในตำหนักเย็น มู่หรงอี๋ก็สัมผัสได้ทันทีว่ามีคนมานางจึงสะดุ้งด้วยความตกใจ
หลายวันมานี้นางใช้ชีวิตมิต่างจากหมูหมา นางมีเพียงเท้าข้างเดียว แต่ละวันมองไปตนเองที่สภาพน่าเกลียด และใช้ชีวิตอยู่ในท่ามกลางความมืดมาเนิ่นนาน มิว่านางจะเอ่ยร้องเรียกเพียงไรก็มิมีใครเข้าใกล้นางสักคน
มีเพียงคนที่เข้ามาส่งอาหารและน้ำเท่านั้น แม้แต่ถ่ายหนักถ่ายเบานางก็ต้องทำในห้องนี้
นางมู่หรงอี๋มิเคยต้องได้รับความลำบากและเจ็บปวดเช่นนี้มาก่อน
ทว่าในสายตาของกู้ชิวเหลิ่ง เรื่องเหล่านี้มิได้มีความหมายแม้แต่น้อย
เมื่อกู้ชิวเหลิ่งเดินตรงเข้ามาก็ได้กลิ่นฉุนเตะจมูกยิ่งนัก นางจึงยืนอยู่ห่างจากมู่หรงอี๋แล้วกล่าวว่า “ในวันนี้เป็นวันแต่งตั้งฮองเฮา เจ้าตั้งตารอคอยมาเนิ่นนาน ท้ายที่สุดแล้วเจ้าลองเดาดูสิ หลังจากที่ฮองเฮาตายไป ใครกันที่ได้รับแต่งตั้ง?”
ร่างกายของมู่หรงอี๋สั่นเทา นางพยายามเท่าไหร่กันเพื่อที่จะได้ขึ้นเป็นฮองเฮา มิว่านางสนมคนใดก็ตามที่ตั้งครรภ์ นางก็จะทำร้ายเด็กในครรภ์นั้นให้ตายอย่างเงียบๆ อีกทั้ง ใส่ยาให้ฮองเฮาผู้มีร่างกายอ่อนแอไปมิน้อย ท้ายที่สุดแล้วกลับกลายเป็นประโยชน์ของคนอื่น
ที่จริงต่อให้กู้ชิวเหลิ่งมิต้องเอ่ยถามนางก็คิดได้ ฉินเฟยและวี่เฟยล้วนตายไปแล้ว คงเป็นได้แค่หยินซวงซวง
“บัดนี้เจ้าเดินทางมาเพื่อเยาะเย้ยข้าหรือ?”
น้ำเสียงของมู่หรงอี๋ดูมิน่าฟัง หลายวันมานี้ กู้ชิวเหลิ่งมักจะหาเวลาว่างเดินทางมาที่นี่เอ่ยวาจาอันทิ่มแทงใจให้นางฟัง
“วันนี้ที่ข้าเดินทางมา ข้ามิเพียงแต่จะมาเยาะเย้ยเจ้า ข้ายังต้องการทรมานให้เจ้าตายไปอย่างช้าๆ ด้วย”
เมื่อได้ยินคำว่าตาย กู้ชิวเหลิ่งก็เห็นได้ชัดว่าร่างของมู่หรงอี๋สั่นสะท้าน มู่หรงอี๋เกรงกลัวคำว่าตายเป็นยิ่งนัก ใครเล่ามิกลัวตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งมู่หรงอี๋
“เจ้า……เจ้าอย่าได้เข้ามา!”