ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 252 ลอบสังหาร
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 252 ลอบสังหาร
เนิ่นนานทีเดียว นางจึงได้ยินขึ้นอย่างเยาะเย้ยกล่าวว่า “ในเมื่อท่านอ๋องจริงใจจะเชิญชวนข้าเพียงนี้ ข้าจะปฏิเสธได้อย่างไร?”
เมื่อกล่าวจบ กู้ชิวเหลิ่งก็โยนถ้วยน้ำชาบนมือลงไปที่โต๊ะ นางหันหลังตั้งใจจะเดินจากเขา แต่กลับได้ยินฉู่สวินพูดขึ้นว่า “กินข้าวก่อนแล้วค่อยเดินทางอย่ารีบร้อน กว่าจะถึงเมืองหลวงคงสักพักหนึ่ง หากว่าเจ้าไม่กินอะไรเข้าไปเลยคงมิไหว”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า “เชิญท่านอ๋องกินตามสบายเถิด ข้ามิหิว”
“หากว่าแขกของเราเป็นอะไรขึ้นมาล่ะก็ ดูเหมือนเจ้าบ้านคงจะแย่ทีเดียว ใครก็ได้ช่วยจัดเตรียมอาหารให้แก่คุณหนูระหว่างทางด้วย ต่อให้ตอนนี้คุณหนูกู้ยังมิอยากกิน คาดว่าระหว่างทางก็คงหิวแน่นอน”
“รับทราบ”
เฉิงตู้ที่ยืนอยู่ข้างกาย กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า “จงไปจัดเตรียมของของเราให้พร้อม อีกประเดี๋ยวนำขึ้นรถม้า”
ฉู่สวินหยิบขนมวุ้นใสใส่เข้าไปในปากแล้วกล่าวว่า “แม้ว่ารถม้าของคุณหนูกู้จะดี แต่ก็คงมิสบาย เชิญคุณหนูกู้นั่งไปรถม้าคันเดียวกับข้าเถิด ข้าได้สั่งให้คนมานำของไปวางแล้ว”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ข้ามิชอบนั่งรถร่วมกับผู้อื่น”
“วันพรุ่งนี้เราจะเดินทางถึงเมืองหลวง คุณหนูกู้โปรดอดทน”
ฉู่สวินยิ้มขึ้น ใบหน้าของเขามิรู้สึกถึงความกระทำผิดแต่อย่างใด
“มิจำเป็น ข้ามีรถม้าของข้า เฉิงตู้ จงไปนำของใส่ไว้ที่รถม้าเรา”
ฉู่สวินรีบวางตะเกียบในมือลงแล้วกล่าวว่า “เกรงว่าคงมิได้”
กู้ชิวเหลิ่งขมวดคิ้วเข้าหากัน “ท่านหมายความว่าอย่างไร”
“วันนี้ตอนเช้า รถม้าของเจ้าพัง อาจจะเป็นเพราะการขับขี่ที่เนิ่นนานหลายวันเกินไป ดังนั้นม้าจึงเกิดปัญหาขึ้น”
กู้ชิวเหลิ่งหรี่ตาลงมองอย่างระแวดระวัง ฉู่สวินจงใจให้เป็นเช่นนั้นแน่
เฉิงตู้ที่ยืนอยู่ด้านข้างเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “พวกเราจะไปย้ายของอยู่หรือไม่?”
กู้ชิวเหลิ่งกำหมัดของตนแน่นตอบว่า “มิได้ยินหรือ ท่านอ๋องกล่าวว่ารถม้าของเราพัง แล้วเราจะเคลื่อนย้ายของไปที่ใด?”
เฉิงตู้จึงรีบก้าวถอยหลังออกมาโดยมิกล้ากล่าวสิ่งใดอีก
ดูเหมือนว่าฉู่สวินจะอารมณ์ดียิ่งนัก เขาดื่มน้ำชาเข้าไปอึกหนึ่งแล้วกล่าวว่า “พาคุณหนูกู้ไปที่รถม้า”
กู้ชิวเหลิ่งหันหลังเดินจากไป โดยมิทิ้งโอกาสให้ฉู่สวินเดินตามทัน
ฉู่สวินส่ายหน้าแล้วหัวเราะ เขาเดินตามไปข้างหลังอย่างช้าๆ
รถม้าของฉู่สวินกว้างขวางกว่ารถม้าของตนก็จริง แต่ดูจากภายนอกรถม้านี้มิได้สวยงามนัก กล่าวได้ว่าช่างเรียบง่าย เมื่อเข้าไปข้างในกลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
“อย่าได้โกรธอีกเลย กินอะไรก่อนเถิด”
ฉู่สวินได้นำอาหารและขนมที่สั่งให้คนจัดเตรียมไว้แล้วก่อนหน้ามาวางไว้บนโต๊ะเตี้ยข้างกายกู้ชิวเหลิ่ง น้ำเสียงนั้นดูเหมือนกับกำลังเกลี้ยกล่อมเด็กๆ
กู้ชิวเหลิ่งขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ท่านอ๋อง หากท่านกำลังจะตามหาคนที่ชื่อเหิงเอ๋อร์ มิจำเป็นต้องทำเช่นนี้กับข้า ร่างกายข้ารับมิไหว”
“เจ้าคิดว่าข้าทำเพื่อร่างนี้หรือ?”
“มิเช่นนั้นเล่า?”
กู้ชิวเหลิ่งมิเชื่อว่าฉู่สวินจะทำเพื่อตน เนื่องจากนางคือมู่หรงชิว ตั้งแต่เล็กนางเกิดอยู่ในแคว้นฉี มิใช่คนต้าเยียนหรือแคว้นเป่ย นางมิรู้จักด้วยซ้ำว่าเหิงเอ๋อร์เป็นใคร
แต่กับร่างกายนี้แตกต่างออกไป นับตั้งแต่นางครอบครองร่างกายนี้นางก็มักจะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ และความผิดปกตินั้ล้วนเกี่ยวข้องกันกับหยูจิ่นเหนียง
ฉู่สวินมิได้กล่าวสิ่งใดออกมาอีก กู้ชิวเหลิ่งก็มิริเริ่มที่จะสนทนากับฉู่สวินก่อน ระหว่างทางนั้นทั้งสองคนจึงมิมีบทสนทนาใดๆ กันอีกเลย
ผู้ที่ขับรถม้าก็คือเสวียนอีและเฉิงตู้คนละฝั่ง หลายต่อหลายครั้งที่พวกเขาหันไปมองดูภายในรถม้า แม้จะมีผ้าม่านกั้นเอาไว้ แต่เขาก็มีทักษะการได้ยินอันดีเยี่ยม ด้วยเกรงว่าทั้งสองคนจะต่อสู้กันในรถม้าเสียก่อน
เฉิงตู้มิต้องการที่จะให้กู้ชิวเหลิ่งทะเลาะเบาะแว้งกับใครทั้งสิ้น เนื่องจากเขาคำนวณดูแลพบว่ารอบข้างมีองครักษ์ลับอยู่นับยี่สิบคน หากลงไม้ลงมือขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็ แม้แต่เสวียนอี เขาก็สู้มิได้
ฉู่สวินนั่งอยู่ในรถม้าอย่างสบาย ราวกับอยู่ในบ้านของตน ประเดี๋ยวดื่มชา ประเดี๋ยวอ่านหนังสือ เมื่อหิวก็กินอาหารว่าง ส่วนด้านของกู้ชิวเหลิ่งเริ่มรู้สึกว่าร่างกายของนางดูแข็งขึ้นเรื่อยๆ อาจจะเป็นเพราะเหนื่อยจากการนั่งรถที่นานเกินไป
สายตาของฉู่สวินมองไปที่ร่างของกู้ชิวเหลิ่ง ก่อนที่จะยื่นมือข้างหนึ่งออกไป ทั้งสองคนมิได้นั่งใกล้กันมากนัก แต่ถึงอย่างไรที่ว่างภายในรถม้าก็มีขีดจำกัด มือข้างหนึ่งของฉู่สวินยังมิทันจะแตะถึงใบหน้าของกู้ชิวเหลิ่ง รถม้าก็โอนเอียง กู้ชิวเหลิ่งโน้มตัวไปด้านหน้าอย่างมิอาจบังคับได้ โชคดีที่ ฉู่สวินมีทักษะที่ว่องไวจึงเข้าไปก็โอบกู้ชิวเหลิ่งไว้ทันเวลา
“ใคร?”
เสวียนอีเริ่มระมัดระวังขึ้นมา ต่อให้อยู่ในรถม้าแต่กู้ชิวเหลิ่งก็สัมผัสได้ถึงรัศมีที่อยู่ด้านนอก มันเยือกเย็นและเต็มไปด้วยความอาฆาต
มิมีผู้ใดตอบ กู้ชิวเหลิ่งได้ยินเพียงเสียงใบไม้ที่ล่วงหล่นลงมานอกม่าน ทำให้จิตใจของนางสั่นไหว
ฉู่สวินยังคงกอดกู้ชิวเหลิ่งไว้ดังเดิม ด้วยความแข็งแกร่งที่มิเปลี่ยนแปลง และกู้ชิวเหลิ่งก็มิได้พยายามลุกออกจากร่างของฉู่สวิน เนื่องจากในเวลานี้ นางเองแทบจะมิได้หายใจด้วยซ้ำ
เสวียนอี “อย่าให้รอดไปได้”
เมื่อฉู่สวินเอ่ยปากประโยคนั้นออกมา ที่ด้านนอกก็เกิดความเคลื่อนไหวขึ้น
กู้ชิวเหลิ่งได้ยินเสียงดาบกระทบกันที่ด้านนอก มิรู้ว่าด้วยเหตุใดนางก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
เนื่องจากท่าทางของฉู่สวินบอกกับนางว่าคนที่ด้านนอกนั้นมิอาจแตะต้องฉู่สวินได้แม้แต่ปลายนิ้ว
กู้ชิวเหลิ่งพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากการร่างกายของฉู่สวิน แต่ฉู่สวินกลับออกแรงเพื่อให้กู้ชิวเหลิ่งมาอยู่ในอ้อมแขนของเขาอีกครั้ง
“อย่าขยับ จงเชื่อฟังข้า”
กู้ชิวเหลิ่งขมวดคิ้วเข้าหากันอีกครั้ง คนคนนี้ปฏิบัติต่อนางเหมือนกับเด็กน้อย
ความรู้สึกนี้ทำให้กู้ชิวเหลิ่งอึดอัดยิ่งนัก
รอจนกระทั่งบรรยากาศข้างนอกสงบลง กู้ชิวเหลิ่งจึงได้กล่าวขึ้นด้วยท่าทางอันแข็งทื่อว่า “เจ้าปล่อยข้าได้แล้วหรือไม่”
ที่ด้านนอกรถม้า ลมหายใจของเสวียนอีดูสงบนิ่ง เขากล่าวว่า “ทั้งสิ้นสิบหกคน ทุกคนล้วนถูกปาดคอจนสิ้นลมขอรับ”
ฉู่สวินกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นจงรีบจัดการ พวกเรายังต้องรีบเดินทาง”
“ขอรับ”
กู้ชิวเหลิ่งใช้โอกาสนี้ในการผลักฉู่สวินออกไป จัดท่าทีของตนให้เรียบร้อยกล่าว “ขอบคุณท่านอ๋อง”
“มิเป็นไร”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวอย่างเย็นชาว่า “แต่ถึงอย่างไรชายหญิงก็มิควรแตะเนื้อต้องตัวกัน หวังว่าครั้งหน้าหากว่าท่านอ๋องจะโอบกอดสตรีคนใด ควรแน่ใจก่อนว่านางยินดีหรือไม่”
ฉู่สวินกล่าวว่า “เมื่อครู่นั้นเจ้าเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของข้าเอง หากครั้งหน้าคุณหนูกู้มิเต็มใจล่ะก็ สามารถเอนกายไปอีกข้างหนึ่งได้”
กู้ชิวเหลิ่งหัวเราะกล่าวว่า “ครั้งหน้าข้าจะระวัง”
ฉู่สวินแอบเอามือข้างที่โอบกอดกู้ชิวเหลิ่งเมื่อคู่เข้าไปไว้ในแขนเสื้อ เขายังสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิเมื่อครู่ที่เขาจับมือของกู้ชิวเหลิ่งไว้
แท้จริงแล้วเขาเพียงต้องการสัมผัสใบหน้านั้นสักเล็กน้อยอย่างควบคุมมิได้
รถม้ามุ่งหน้าตรงไปยังทางหลวง ชั่วพริบตาเดียวก็เป็นเวลาเที่ยงวัน เดิมทีกู้ชิวเหลิ่งก็มิได้รับประทานอาหารเช้า และตื่นเช้าเสียจนเกินไป ประกอบกับอากาศร้อนผ่าวทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ
ฉู่สวินขมวดคิ้วขึ้น นำถ้วยชาอุ่นๆ เมื่อครู่วางไว้ข้างหน้ากู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า “ดื่มเถิด ยังมีอาหารว่างอีก เจ้าควรกินให้เยอะเอาไว้”
กู้ชิวเหลิ่งมิมีความอยากอาหารจริงๆ หากกล่าวว่าเมื่อครู่นางมีความหิวเล็กน้อย บัดนี้นางก็คงหิวจนเกินคำบรรยาย
ฉู่สวินขมวดคิ้วเข้าหากัน ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขานั้นเปลี่ยนไปจนรู้สึกถึงความน่ากลัวเล็กน้อย “หยุดรถ”