ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 260 ปล้นภรรยา
“คุณชายท่านนี้ขอรับ โรงน้ำชาด้านบนถูกเหมาไว้แล้ว โปรดออกไปด้วยขอรับ”
คนที่เอ่ยนั้นคือเสวียนอี เขารู้อยู่แล้วว่าคนตรงหน้าคือใคร นายท่านของตนเคยให้ดูภาพวาดของอวี้ฉือจ้านมิใช่เพียงครั้งเดียว แต่เทพสงครามแห่งต้าเยียน เมื่ออยู่ต่อหน้าสตรีอันเป็นที่รักล้วนมิต่างกัน
วีรบุรุษทั้งหลายมักพ่ายแพ้ต่อหญิงงาม คงหมายถึงเหตุผลนี้
โหลวเว่ยเหิงสังเกตเห็นอวี้ฉือจ้าน จึงนึกถึงเมื่อสักครู่ที่ชั้นล่างมีชายเรียกนางว่า “เหลิ่งเอ๋อร์” นางขมวดคิ้วเอ่ยกับฉู่สวินว่า “ดึกแล้ว เรากลับกันเถิด”
“กู้ชิวเหลิ่ง”
อวี้ฉือจ้านเอ่ยออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำ ถึงแม้ว่าจะมิดัง แต่โหลวเว่ยเหิงกลับได้ยิน
โหลวเว่ยเหิงมองไปทางอวี้ฉือจ้าน ตั้งแต่บนลงล่างหนึ่งรอบจึงกล่าวว่า “มองดูการแต่งตัวของเจ้า เป็นคนต้าเยียน? เจ้ารู้จักข้า?”
แขนข้างหนึ่งของฉู่สวินโอบโหลวเว่ยเหิงไว้ แล้วกล่าวกับอวี้ฉือจ้านว่า “เจ้าคือเซ่อเจิ้งหวางแห่งต้าเยียน อวี้ฉือจ้าน?”
ดวงตาของอวี้ฉือจ้านจ้องมองมือข้างนั้นของฉู่สวินที่กำลังโอบโหลวเว่ยเหิงไว้ เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า “ดูเหมือนว่าฉู่สวินชอบแย่งภรรยาคนอื่นเป็นนิจ”
ฉู่สวินยิ้มขึ้นกล่าวว่า “เจ้าหมายถึง เหิงเอ๋อร์เป็นภรรยาของเจ้า?”
เหิงเอ๋อร์เป็นครั้งแรกที่อวี้ฉือจ้านได้ยินชื่อนี้ เขามิรู้ด้วยซ้ำว่าเหิงเอ๋อร์คือใคร แต่มิมีทางที่จะจำกู้ชิวเหลิ่งผิดไปแน่
โหลวเว่ยเหิงมองอวี้ฉือจ้าน แววตาเต็มไปด้วยความบาดหมางและเย็นชากล่าวว่า “ข้ามิรู้จักเจ้า จะเป็นภรรยาของเจ้าได้อย่างไร? แต่ว่าข้ากับต้าเยียนก็มีพรหมลิขิตกันอยู่บ้างเล็กน้อย ได้ยินว่าเซ่อเจิ้งหวางแห่งต้าเยียนกำลังตามหาภรรยาของเขา ในฐานะเจ้าบ้านควรต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง หากว่าเซ่อเจิ้งหวางต้องการสิ่งใด พวกเราพร้อมช่วยเหลืออย่างเต็มความสามารถ”
โหลวเว่ยเหิงมองใบหน้านั้นของอวี้ฉือจ้าน จู่ๆ ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างมิรู้ตัว เหมือนกับว่าเคยเจอที่ไหนมาก่อน แต่คิดเท่าไรก็คิดมิออก
“เจ้ากล่าวว่า จะช่วยเหลืออย่างเต็มความสามารถ?”
อวี้ฉือจ้านค่อยๆ เดินไปทางโหลวเว่ยเหิง กล่าวว่า “ที่ข้าบอกว่ากำลังตามหาภรรยานั้นก็คือเจ้า เจ้าจะว่าอย่างไร?”
ฉู่สวินดึงโหลวเว่ยเหิงมาข้างหลัง กล่าวกับอวี้ฉือจ้านด้วยรอยยิ้มว่า “เกรงว่าเซ่อเจิ้งหวางจะจำคนผิดแล้ว เหิงเอ๋อร์เป็นคู่หมั้นของข้า”
“คู่หมั้น?”
ในใจของอวี้ฉือจ้านสั่นไหว แต่อยู่ต่อหน้าฉู่สวินยังคงมิเปิดเผยขึ้นมาได้ เพียงแต่จ้องมองโหลวเว่ยเหิงไว้มิปล่อย เขาเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่นว่า “กู้ชิวเหลิ่ง เจ้าจำข้ามิได้จริงหรือ?”
ผู้ที่สามารถทำให้อวี้ฉือจ้านเรียกตนเองได้อย่างสนิทสนมเช่นนี้ได้ โหลวเว่ยเหิงตกใจยิ่งนัก ความทรงจำบางส่วนของนางสูญหายไป แต่สิ่งเดียวที่มิลืมก็คือ การหมั้นและพันธนาการข้อผูกมัดระหว่างนางกับฉู่สวิน มีบางสิ่งโผล่ขึ้นมาในความทรงจำ โหลวเว่ยเหิงรู้สึกว่าตัวเองกับเซ่อเจิ้งหวางที่อยู่ตรงหน้านี้มีความสัมพันธ์ที่มิธรรมดา
โหลวเว่ยเหิงกล่าวว่า “เซ่อเจิ้งหวางคงจะจำคนผิด หน้าตาอาจคล้ายคลึงกัน เซ่อเจิ้งหวางรักภรรยาของตนมากเช่นนี้ การจำคนผิดเช่นนี้ถือว่ามิสมควร”
“ข้ามิมีทางจำภรรยาตัวเองผิด”
ฉู่สวินบอกกับโหลวเว่ยเหิงว่า “รถม้าอยู่ด้านล่าง เจ้าลงไปก่อน ข้ามีเรื่องจะคุยกับเซ่อเจิ้งหวาง”
โหลวเว่ยเหิงพยักหน้าอย่างลังเลกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นข้ารอเจ้าข้างล่าง”
“อืม”
แววตาของโหลวเว่ยเหิงทอดมองไปที่อวี้ฉือจ้านราวกับมีก็เหมือนมิมี ในสายตานั้นทอดมองอย่างละเอียด
จังหวะที่โหลวเว่ยเหิงกำลังจะเดินผ่านข้างของอวี้ฉือจ้านไปนั้น ข้อมือของนางถูกอวี้ฉือจ้านจับไว้
โหลวเว่ยเหิงขมวดคิ้วกล่าวว่า “เซ่อเจิ้งหวาง เจ้าทำแบบนี้ช่างเสียมารยาท และก็ทำผิดต่อภรรยาเจ้าด้วย”
มิรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รู้สึกเหมือนถูกร่างกายโหลวเว่ยเหิงผลักออก อวี้ฉือจ้านปล่อยมือออกอย่างมิได้ตั้งใจ
ฉู่สวินเห็นฉากนี้จึงรู้สึกน่าสนใจ
มองจากชั้นสองลงไปจึงเห็นได้ว่าโหลวเว่ยเหิงขึ้นรถม้าแล้ว ฉู่สวินกล่าวว่า “เซ่อเจิ้งหวางรักเดียวใจเดียวต่อเหิงเอ๋อร์จริงๆ เพียงแต่น่าเสียดาย นางจะมิมีวันจำเจ้าได้อีก”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกันแน่”
เสียงของอวี้ฉือจ้านเยือกเย็นราวกับธารน้ำเย็น ความอาฆาตจากตัวเขาแผ่กระจายไปทั่วชั้นสอง
“ดูเหมือนว่าแต่ก่อนเหิงเอ๋อร์มิได้บอกอะไรเจ้าเลย? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ารู้แค่เพียงว่านางจำเจ้ามิได้ตลอดไป นางคือ โหลวเว่ยเหิงมิใช่กู้ชิวเหลิ่ง ยิ่งมิใช่มู่หรงชิว”
ฉู่สวินพูดกับเสวียนอีข้างกายว่า “พวกเราไปกันเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ฉู่อ๋องคอยดูเถิด เหลิ่งเอ๋อร์มิมีทางลืมข้าได้”
ฉู่สวินเดินไปข้างอวี้ฉือจ้านกล่าวว่า “แต่บัดนี้นางลืมเจ้าไปแล้ว”
ฉู่สวินทิ้งประโยคนี้แล้วจากไป
อวี้ฉือจ้านค่อยๆ เดินไปข้างหน้าต่าง มองรถม้าที่ฉู่สวินกับโหลวเว่ยเหิงไปด้วยกัน ในใจรู้สึกเจ็บปวด เขารู้ตั้งแต่เริ่มต้นแล้วว่ากู้ชิวเหลิ่งมีเรื่องปิดบังเขาอยู่ เพียงแต่มิรู้ว่าเพราะอะไร จนได้เห็นฉู่สวินเขาจึงได้เข้าใจ
เกรงว่านางกลัวฉู่สวินจะปรากฏกายขึ้นต่อหน้าพวกเขาทั้งสอง จึงอยากจะเดินทางมาแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง
อวี้ฉือจ้านพึมพำว่า “ท้ายที่สุดแล้วกลับหาเรื่องใส่ตัว เจ้าเด็กโง่เอ๋ย”
โหลวเว่ยเหิงนั่งในรถม้า นางแหวกผ้าม่านอย่างมิรู้ตัว มองเห็นใบหน้าของอวี้ฉือจ้านอย่างที่คิดไว้ ทั้งสองคนต่างมองหน้าซึ่งกันและกัน มีความรู้สึกบางอย่างลอยอยู่ในสมองอย่างมิเด่นชัด
ฉู่สวินสังเกตเห็นการกระทำของโหลวเว่ยเหิง จึงเรียกเบาๆ ว่า “เหิงเอ๋อร์? กำลังดูสิ่งใดอยู่?”
โหลวเว่ยเหิงดึงม่านลงกล่าวว่า “มิมีอะไร เพียงแต่รู้สึกว่าเซ่อเจิ้งหวางแห่งต้าเยียนคุ้นหน้าคุ้นตานัก เมื่อครู่เจ้าคุยอะไรกับเขาหรือ?”
ฉู่สวินลูบใบหน้าของโหลวเว่ยเหิงเบาๆ กล่าวว่า “ข้าแค่บอกเขาว่าอย่ามาวุ่นวายกับคู่หมั้นของข้า”
ในจังหวะที่ฉู่สวินพูดประโยคนี้ โหลวเว่ยเหิงกลับรู้สึกอยากหลบหนี ในใจเหมือนมีคนเพิ่มเขามาอีกหนึ่งคน แม้ว่าจะมิสามารถหาได้จากในความทรงจำ แต่ภายในใจกลับมีที่ของคนนั้นอยู่
จะเป็นอวี้ฉือจ้านหรือไม่? สามวันที่แล้วตอนที่นางตื่นขึ้นมา จำมิได้ว่าตัวเองเป็นใคร จำได้แค่เพียงคนเดียวนั่นก็คือโหลวเว่ยเหิง
“แม้ว่าฮ่องเต้ยึดตำแหน่งจวิ้นจู่ของข้าไว้ แต่มิได้แทนความหมายว่าข้าจะแต่งงานกับเจ้า”
ฉู่สวินยิ้มระเรื่อ กล่าวว่า “หนทางอีกยาวไกลเหิงเอ๋อร์บนโลกนี้มิมีใครรักเจ้าเท่าข้าอีกแล้ว”
โหลวเว่ยเหิงยักคิ้วกล่าวว่า “สวินเกอเกอ เจ้ามั่นใจในตัวเองเกินไปแล้ว”
มิรู้ว่าเพราะเหตุใด ตอนที่ฉู่สวินพูดประโยคนี้ออกมา ในสมองของนางคิดว่าหรือเพราะว่าวันนี้เจออวี้ฉือจ้าน
ราวกับว่าฉู่สวินรู้ความคิดของโหลวเว่ยเหิงเลยกล่าวว่า “หากเจ้ายินดี พวกเราจะหาฤกษ์ดีแต่งงานดีไหม?”
แต่งงาน? โหลวเว่ยเหิงมิได้มีความคิดนี้ แม้ว่าฉู่สวินจะดีกับนาง แต่นางเพียงแค่รู้สึกชอบเขาเท่านั้น และความชอบนี้มักจะรู้สึกว่ามิใช่ของนาง เหมือนกับว่าในร่างกายมีบุคคลที่สองอยู่อย่างไรอย่างนั้น
บุคคลที่สอง? ในร่างกายของคนเราจะมีบุคคลที่สองได้อย่างไร?
โหลวเว่ยเหิงสะบัดความคิดของตัวเองทิ้ง ก่อนหน้านี้มิเห็นจะมีเรื่องอะไร แต่เมื่ออวี้ฉือจ้านปรากฏตัวขึ้น นางรู้สึกเสมอว่าบางส่วนในใจได้เปลี่ยนไปแล้ว
“เหิงเอ๋อร์?”