ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 27 ทำผงคันด้วยตัวเอง
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 27 ทำผงคันด้วยตัวเอง
กู้ชิวเหลิ่งหายใจเข้าลึกๆ ราวกับรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดของการที่ไม่สามารถหายใจได้ก่อนตาย มู่หรงอี๋ นางถึงจะเป็นหญิงงามใจงูพิษที่แท้จริง
น่าเสียดายที่มู่หรงอี๋ไม่ได้มางานเลี้ยงแห่งแคว้นในครั้งนี้ นางอยากจะเห็นจริงๆ ว่าผ่านไปสามปี นางที่อยู่เคียงข้างจวินฉีเซิ่งท้ายที่สุดแล้วจะมีตำแหน่งอะไร
ด้วยฝีมือของมู่หรงอี๋แล้ว จวินฉีเซิ่งน่าจะถูกหลอกอยู่ในกำมืออย่างแนบแน่นมั๊ง
มือของกู้ชิวเหลิ่งกำหมัดไว้แน่น ช่วงนี้ฮูหยินใหญ่กับกู้ชิวเซียงถูกกักบริเวณ ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมากสำหรับนาง
“ไปเตรียมชุด วันพรุ่งนี้จะออกไปข้างนอกเสียหน่อย”
“ออก……ออกไปข้างนอก?”
ใบหน้าของจูเอ๋อร์เต็มไปด้วยความประหลาดใจ สิบปีมานี้กู้ชิวเหลิ่งออกไปข้างนอกน้อยมาก ตั้งแต่ที่ถูกท่านอ๋องหกรังเกียจ กู้ชิวเหลิ่งก็ปรากฏตัวในวงสังคมน้อยมาก
“วางใจเถอะ ในจวนแห่งนี้ คงไม่มีใครมาห้ามพวกเราชั่วขณะ”
พระอาทิตย์อยู่เหนือศีรษะ เหมือนกับลูกไฟ แดดจ้าจนทำให้คนไม่กล้ามองโดยตรง
วันรุ่งขึ้นจูเอ๋อร์เตรียมชุดที่ไม่ค่อยโดดเด่นไว้ชุดหนึ่ง ดูเหมือนกับหญิงสาวชาวบ้านธรรมดาทั่วไป
ณ เวลานี้กู้หนานเฉิงกำลังว่าราชกิจอยู่ในท้องพระโรง ประตูด้านหลังไม่มีคนเฝ้า เป็นเวลาดีที่จะออกไปข้างนอก
ตลาดข้างนอกคึกคักเช่นเดิม จูเอ๋อร์กล่าว:”หากคุณหนูอยากซื้อเสื้อผ้า ก็ไปที่หอจูชุ่ย ของที่นั่นคุณหนูตระกูลร่ำรวยต่างก็ชอบ”
พูดแล้ว จูเอ๋อร์ก็ชี้ไปที่ร้านค้าร้านหนึ่ง กล่าวว่า:”ที่นี่แหละเจ้าค่ะ เพียงแต่ของข้างในนั้นแพงเกินไป เมื่อก่อนฮูหยินใหญ่ส่งชุดมาสองชุดไม่ใช่หรือเจ้าคะ? บ่าวเห็นว่าดูดี เหตุใดจึงลำบากมาซื้ออีก”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าว:”รู้จักฝู้จื่อโม่หรือไม่?”
จูเอ๋อร์พยักหน้ารัวๆ:”รู้สิเจ้าคะ! ฝู้จื่อโม่ก็คือเพื่อน…รักของเซ่อเจิ้งหวาง!”
บอกว่าเป็นเพื่อนรัก แต่แท้จริงแล้วทุกคนในเมืองหลวงต่างก็เดากันว่าฝู้จื่อโม่กับอวี้ฉือจ้านมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา แน่นอนว่ากู้ชิวเหลิ่งไม่คิดเช่นนั้น แต่อย่างน้อยฝู้จื่อโม่ก็เป็นผู้ที่ได้ใจของอวี้ฉือจ้านมากที่สุด ในฐานะของหนึ่งในสามตระกูลใหญ่อย่างตระกูลฝู้ ในฐานะที่เป็นซื่อจื่อ ฝู้จื่อโม่เติบโตมาพร้อมกับอวี้ฉือจ้านมาตั้งแต่เด็ก เคยขึ้นสนามรบด้วยกัน และด้วยตัวตนในปัจจุบันของนางหากอยากจะเข้าใกล้อวี้ฉือจ้านมันเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่ฝู้จื่อโม่กลับไม่เหมือนกัน
ในความทรงจำของกู้ชิวเหลิ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าฝู้จื่อโม่ชอบระบำรำฟ้อน เที่ยวหอกินเหล้า นอกจากอวี้ฉือจ้านที่เป็นเพื่อนสนิทแล้ว ที่เหลือต่างก็เป็นสาวงามที่รู้ใจ หากอยากจะเข้าใกล้ชายเช่นนี้ กู้ชิวเหลิ่งมีความมั่นใจที่จะทำสำเร็จอยู่
การค้าขายของหอจูชุ่ยเหมือนกับที่จูเอ๋อร์กล่าวไม่มีผิดเพี้ยน เมื่อครู่นี้เพิ่งจะเดินเข้ามา กู้ชิวเหลิ่งก็ได้กลิ่นหอมแบบสดชื่นอ่อนหวาน จากนั้นก็เป็นเครื่องแต่งแป้งชาด ปิ่นปักผมหินโมรา
ชาติที่แล้วกู้ชิวเหลิ่งเอาแต่ฝึกศิลปะการต่อสู้มาตลอด ไม่เคยชอบเครื่องแต่งแต้มเหล่านี้ แม้จะแต่งงานกับจวินฉีเซิ่งแล้ว ก็ไม่เคยแต่งหน้าเลยสักครั้ง ปิ่นปักผมหรือปิ่นระย้าเมื่ออยู่บนหัวของนางก็ยิ่งดูเป็นภาระ
กู้ชิวเหลิ่งไม่เหลือบมองสิ่งของที่อยู่ในตู้เลยแม้แต่น้อย นางเดินข้ามไป ไปดูผ้าไหมผ้าพับ
ผู้จัดการร้านมองไปที่กู้ชิวเหลิ่งด้วยท่าทางมึนงงเล็กน้อย หญิงสาวคนอื่นๆเดินเข้ามาสิ่งแรกที่มองเลยก็คือเครื่องแต่งแต้ม แต่กู้ชิวเหลิ่งดันเดินอ้อมไปโดยตรง เป็นสถานการณ์ที่มีน้อยมากจริงๆ
ผู้จัดการร้านวางสมุดบัญชีที่อยู่ในมือตัวเองลง แล้วเข้าไปใกล้ๆ กล่าวว่า:”คุณหนูท่านนี้ดูไม่คุ้นตาเลย มาครั้งแรกหรือ? มาดูผ้าไหมหรือ?”
ตอนที่กู้ชิวเหลิ่งหันไป นางได้เห็นป้ายไม้บนเอวของผู้จัดการร้านอย่างชัดเจน ซึ่งมันเป็นรูปแบบเดียวกันกับป้ายหยกที่นางเห็นบนตัวเซียวอวิ๋นเซิงครั้งที่แล้ว
ไม่รอให้กู้ชิวเหลิ่งได้ตอบสนอง เสียงที่ไร้การควบคุมของเซียวอวิ๋นเซิงก็ดังขึ้นมาจากชั้นบน:”คุณหนูรองมาที่นี่ด้วยตัวเอง หากมีสิ่งใดที่อยากได้ก็นำไปเลย ข้าจัดให้เอง!”
โชคดีที่ตอนนี้คนในร้านมีไม่มาก ไม่มีผู้ใดจำได้ว่ากู้ชิวเหลิ่งเคยมา ส่วนคำว่าคุณหนูรองจากปากของเซียวอวิ๋นเซิงก็ไม่ได้ระบุว่าตระกูลใด ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดความสนใจมากนัก
กู้ชิวเหลิ่งเลิกคิ้วขึ้น กล่าว:”ที่แท้ก็เป็นเซียวโหวเย๋น้อยนี่เอง ผู้คนต่างบอกว่าโลกนี้มันกลม ดูเหมือนมันจะค่อนข้างสมเหตุสมผล”
เซียวอวิ๋นเซิงส่งสายตาให้ผู้จัดการร้าน แล้วกล่าวว่า:”คนผู้นี้เป็นแขกคนสำคัญของข้า พานางไปที่ชั้นสอง”
ผู้จัดการร้านกล่าวกับกู้ชิวเหลิ่งอย่างนอบน้อม:”เชิญคุณหนูท่านนี้ทางนี้ขอรับ”
กู้ชิวเหลิ่งเห็นดวงตาเรียวเล็กของเซียวอวิ๋นเซิงแฝงรอยยิ้มเอาไว้ ดังนั้นนางจึงได้ยิ้มกลับไป เมื่อเดินไปถึงปากทางบันไดชั้นสอง ผู้จัดการร้านก็พาจูเอ๋อร์ออกไป
ทั้งชั้นสองเหลือเพียงกู้ชิวเหลิ่งกับเซียวอวิ๋นเซิงสองคน
เซียวอวิ๋นเซิงเดินวนรอบตัวของกู้ชิวเหลิ่งไปรอบหนึ่ง กล่าวด้วยความสนใจว่า:”คุณหนูรองงดงามขึ้นเรื่อยๆแล้ว เพิ่งจะผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ก็ได้มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ข้าชื่นชมมาก!”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าว:”เซียวโหวเย๋น้อยเป็นเจ้าของหอจูชุ่ยแห่งนี้ มันก็ทำให้ข้าแอบประหลาดใจอยู่เล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าผู้ที่เยาะเย้ยถากถางสังคมอย่างโหวเย๋น้อย ก็สามารถทำอาชีพที่สุจริตได้ด้วย เป็นข่าวใหญ่ของเมืองหลวงจริงๆ”
เซียวอวิ๋นเซิงโน้มตัวไปใกล้ข้างหูของกู้ชิวเหลิ่ง กล่าวว่า:”คุณหนูรองอย่าแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง วันนั้นข้าได้ช่วยเจ้าแล้ว ข้อตกลงที่เจ้ารับปากข้าล่ะ?”
กู้ชิวเหลิ่งหัวเราะเบาๆ กล่าว:”เซียวโหวเย๋น้อยอยากรู้ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับคนผู้นั้น จะบอกเจ้ามันก็ใช่ว่าไม่ได้ เพียงแต่วันนั้นเจ้าทำให้ข้าตกอยู่ในอันตราย แต่กลับบอกว่าได้ช่วยข้าแล้ว มันจะไม่ค่อยจริงใจบ้างไหม?”
เซียวอวิ๋นเซิงกล่าวอย่างไม่สนใจว่า:”ใช่หรือ? คุณหนูรองคิดเช่นนี้มันก็ไม่ถูก เหตุใดที่ข้าทำไปถึงไม่ได้เป็นการช่วยเจ้าเล่า? ใช่ จากนั้นฮูหยินใหญ่กับคุณหนูใหญ่มองเจ้าเป็นหนามยอกอก แต่ข้าเองก็ได้ให้ขีดจำกัดแก่พวกเขาแล้วนี่! เจ้าลองคิดดูสิ มองดูพวกเขาเกลียดเจ้าเข้ากระดูกดำ แต่จำต้องยิ้มให้เจ้า มันสะใจมากใช่หรือไม่?”
มือข้างหนึ่งของกู้ชิวเหลิ่งกดเข้าที่ไหล่ของเซียวอวิ๋นเซิงเบาๆ ให้ระยะระหว่างนางกับเซียวอวิ๋นเซิงห่างกันเล็กน้อย ในสายตามีความเย็นชา:”ข้ากลับรู้สึกว่า มันทำให้ข้ารู้สึกคลื่นไส้เหมือนกับตอนนี้ กลิ่นเครื่องแต่งแต้มบนตัวเซียวโหวเย๋น้อยฉุนเกินไป อย่าเข้าใกล้ข้ามากเกินไปนัก ไม่เช่นนั้นข้าจะทนไม่ไหว……”
ทันใดนั้นเซียวอวิ๋นเซิงก็คว้ามือของกู้ชิวเหลิ่งไปวางไว้ที่ไหล่ของเขา น้ำเสียงมีเสน่ห์อย่างยิ่ง:”ไม่เช่นนั้นเจ้าจะทนไม่ไหวอะไร?”
กู้ชิวเหลิ่งยิ้ม ราวกับไม่ได้สนใจมือเหลาะแหละของเซียวอวิ๋นเซิงเลย แต่กลับนำมืออีกข้างไปวางไว้ตรงหลังมือของเซียวอวิ๋นเซิงที่กุมมือนางเอาไว้ ลูบไล้เบาๆ เล่นกับใจของเซียวอวิ๋นเซิงอย่างไม่มียางอาย
เซียวอวิ๋นเซิงเข้าใกล้กู้ชิวเหลิ่งมากขึ้น เขาพ่นลมหายใจอุ่นเข้าไปที่หูของกู้ชิวเหลิ่ง:”นี่คุณหนูรองกำลังยั่วยวนข้าอยู่หรือ?”
น้ำเสียงของกู้ชิวเหลิ่งแสดงความเย็นชา:”หากเจ้ายังเข้ามาใกล้ข้าอีก ข้ารับรองว่ามือของเจ้าข้างที่กุมมือข้าไว้จะใช้การไม่ได้อีก แม้แต่เทพเจ้ามาก็ช่วยเจ้าไม่ได้”
ราวกับเป็นมีน้ำเย็น สาดความกระตือรือร้นในใจของเซียวอวิ๋นเซิงไป เซียวอวิ๋นเซิงรีบปล่อยมือของกู้ชิวเหลิ่งออกอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เองถึงได้เห็นว่ามือของตัวเองปรากฏผื่นสีแดงขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“นี่มันอะไรกัน!”
กู้ชิวเหลิ่งนั่งลงบนเก้าอี้ รินน้ำชาให้กับตัวเอง กล่าวขึ้นมาเฉยๆว่า:”ก็ไม่ได้มีอะไรมาก เพียงแค่ผงคันที่ข้าทำขึ้นมาเอง ตอนที่มันซึมเข้าไปในเนื้อหนัง ความรู้สึกมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก เพียงแต่เซียวโหวเย๋น้อยไม่ฟังคำเตือนเช่นนี้ คงต้องทนมันไว้แล้วล่ะ”