ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 31 ข้าน้อยชื่อเหลิ่งฮั่วผิง
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 31 ข้าน้อยชื่อเหลิ่งฮั่วผิง
วันนี้อากาศดีมาก ตอนกลางวันบนเรือมีเสียงขลุ่ย เสียงกลองและเสียงหัวเราะล่องลอยออกมา
หากเป็นชาวบ้านในเมืองหลวง แค่มองก็รู้แล้วว่าที่อยู่บนเรือนั้นคือใคร
เป็นซื่อจื่อฝู้จื่อโม่แห่งตระกูลฝู้ซึ่งเป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ในตอนนี้ และเป็นเพื่อนสนิทชนิดไม่อาจแยกจากกันได้ของเซ่อเจิ้งหวางคนปัจจุบัน
บนเรือมีตราประจำตระกูลของตระกูลฝู้ประดับอยู่ ราวกับมังกรที่กำลังเล่นน้ำ ตราประจำตระกูลซึ่งมีนกนางแอ่นขนาดใหญ่เป็นสัญลักษณ์นี้ไม่มีใครเหมือนแน่นอน
หญิงสาวคนหนึ่ง รูปร่างเล็กกว่าหญิงสาวทั่วไปเล็กน้อย แต่กลับมีท่าทางอ่อนช้อยสง่างาม นางสวมชุดกระโปรงยาวสีแดงสีใส เผยให้เห็นไหล่นวลครึ่งหนึ่ง ผิวพรรณอ่อนนุ่มขาวผ่องกับกระดูกไหปลาร้าที่ดูงดงาม สวมผ้าคลุมใบหน้าสีแดงเข้ม ปิดบังใบหน้าไว้กึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นแต่ดวงตาที่มีเสน่ห์เย้ายวนใจ ดวงตาสีนิลดูล้ำลึกราวกับบ่อน้ำ แทบจะดูดกลืนคนเข้าไปได้ในทันที
ฝู้จื่อโม่โอบสาวงามไว้ทางซ้ายมือหนึ่งคน ขวามือหนึ่งคน เขาสวมชุดยาวสีเทาเข้มทั้งตัว เผยให้เห็นกล้ามเนื้อหน้าอกที่ขาวสะอาด มีผมยากปรกลงมา ในดวงตาเรียวเล็กแฝงความเย้ายวนที่ยากจะเอ่ยออกมาได้
“พวกเจ้าทั้งหมดออกไปก่อน ข้าจะให้แม่นางผู้นี้อยู่เป็นเพื่อน”
น้ำเสียงน่าฟังมาก ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งของเขา ผ่านไปชั่วครู่ในเรือก็เหลือแค่กู้ชิวเหลิ่งกับฝู้จื่อโม่สองคนเท่านั้น
ฝู้จื่อโม่ลุกขึ้นยืน เป็นเพราะเพิ่งจะดื่มเหล้าไป ฉะนั้นร่างกายจึงทรงตัวไม่มั่นคงโอนเอนไปมา ในขณะที่เข้าไปใกล้กู้ชิวเหลิ่ง บนร่างก็มีแต่กลิ่นเหล้าคละคลุ้งไปหมดแล้ว
“แม่นางคนสวย เจ้าชื่ออะไร”
ในแววตาของกู้ชิวเหลิ่งไม่แฝงแววหยอกล้อเลยแม้แต่น้อย แต่น้ำเสียงกลับสดใสน่าฟังยิ่งนัก “ข้าน้อยชื่อฮั่วผิง”
ฝู้จื่อโม่เข้าใกล้กู้ชิวเหลิ่งมากขึ้น แทบจะใช้ร่างกายของตนเองทับทาบไปบนร่างของกู้ชิวเหลิ่งอยู่แล้ว ริมฝีปากเลื่อนเข้าไปใกล้ใบหูของกู้ชิวเหลิ่ง เอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่แฝงด้วยความคลั่งไคล้ว่า “ฮั่วตัวไหน ผิงตัวไหน”
กู้ชิวเหลิ่งไม่ได้ผลักฝู้จื่อโม่ออก ดวงตามีเกิดรอยยิ้มโค้งสวยราวกับพระจันทร์เสี้ยว “หยินจู๋ชิวกวงเหลิ่งฮั่วผิง ข้าน้อยแซ่เหลิ่ง ชื่อฮั่วที่มาจากคำว่าวาด ผิงที่มาจากคำว่าฉากกั้น”
“เสียงของเจ้าน่าฟังจริงๆ ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยเห็นเจ้าบนเรือลำนี้มาก่อน ถ้าหากเจอเจ้าตั้งแต่แรก ข้าจะสรรหาหญิงสาวที่เอาแต่แต่งหน้าแต่งตัวแต่ไร้ซึ่งการอบรมสั่งสอนเหล่านี้มาทำไมกัน”
กู้ชิวเหลิ่งเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ฝู้จื่อโม่ด้วยตนเอง ดวงตาแฝงรอยยิ้ม “ข้าน้อยได้ยินว่า งานเลี้ยงของแคว้นครั้งนี้ ฮ่องเต้ของแคว้นฉีได้นำองครักษ์ลับที่มีฝีมือเก่งกาจที่สุดมาด้วยสองกลุ่ม ทำไมฝู้ซื่อจื่อจึงดูไม่ร้อนใจเลย ยังมีอารมณ์มาร้องรำทำเพลงที่นี่อีก”
รอยยิ้มหยอกเย้าในดวงตาของฝู้จื่อโม่หายไปทันที สิ่งที่มาแทนที่คือความอันตราย “เจ้าเป็นใคร”
“ฝู้ซื่อจื่อทำไมไม่ยิ้มเจ้าคะ”
ฝู้จื่อโม่หรี่ตาลงอย่างอันตราย พูดว่า “ช่างเป็นหญิงสาวที่งดงามมาก……”
ยังพูดไม่จบประโยค ฝู้จื่อโม่ก็ดึงมีดสั้นเล่มหนึ่งออกมาจากเอวแล้ว กู้ชิวเหลิ่งมีปฏิกิริยาเร็วมาก ถอยหลังไปสามสี่ก้าวติดๆ รักษาระยะห่างที่แน่นอนกับฝู้จื่อโม่เอาไว้
ริมฝีปากแดงของกู้ชิวเหลิ่งเผยอขึ้นเบาๆ “ฝู้ซื่อจื่อทำไมเปลี่ยนสีหน้าเร็วเช่นนี้ ช่างน่าน้อยใจเสียนี่กระไร”
“ไม่ต้องพูดมาก รีบบอกมาว่าเจ้าเป็นใคร”
“ข้าน้อยชื่อเหลิ่งฮั่วผิง”
ทันใดนั้นฝู้จื่อโม่ก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา พูดว่า “เหลิ่งฮั่วผิง เจ้าหาข้าต้องการอะไรกันแน่”
กู้ชิวเหลิ่งบอกว่า “ข้าน้อยรู้ว่าสิ่งที่ฝู้ซื่อจื่อกับท่านเซ่อเจิ้งหวางเป็นกังวลที่สุดเรื่องอะไร ฮ่องเต้องค์ใหม่ของแคว้นฉีเพิ่งจะขึ้นครองบัลลังก์สามปี จำเป็นต้องรีบทำให้ตำแหน่งฮ่องเต้เกิดความมั่นคงโดยเร็ว ฮ่องเต้ของแคว้นฉีจวินฉีเซิ่งนั้นมีใจทะเยอทะยานมาก สามปีมานี้องครักษ์ลับที่เขาทุ่มเทฝึกฝนขึ้นมา ถูกส่งมาที่ต้าเยียนนั้นหมายความว่าอย่างไร คงไม่ต้องให้ข้าน้อยอธิบายกระมัง ในลานล่าสัตว์ ไม่ว่าข้างกายฮ่องเต้จะมีคนอยู่มากเพียงใด เกรงว่าจะคุ้มกันความปลอดภัยให้พระองค์ไม่ทั่วถึง”
ฝู้จื่อโม่ขมวดคิ้ว ถามว่า “เจ้าเป็นใครกันแน่”
“ให้ข้าน้อยบอกท่านดีกว่า ว่าจะทำอย่างไรจึงจะมั่นใจว่าไม่บกพร่องเลยแม้แต่น้อย”
“ทำไมข้าต้องเชื่อผู้หญิงอย่างเจ้าที่ไม่รู้ที่มาที่ไปด้วยซ้ำ”
“ง่ายมาก เพราะว่าบนโลกใบนี้ไม่มีใครรู้จักจวินฉีเซิ่งดีเท่ากับข้าแล้ว คนอย่างเขาหน้าซื่อใจคดมาก ในขณะที่ต่อหน้าก็ทำดีต่อท่าน แต่พอลับหลังก็ใช้มีดแทงท่าน การล่าสัตว์เป็นเพียงส่วนหนึ่งในแผนการของเขาเท่านั้น ข้าคิดว่าสถานที่ที่เขาจะลงมือจริงๆก็คือ……”
ภายใต้ความสนใจของฝู้จื่อโม่ น้ำเสียงของกู้ชิวเหลิ่งก็สูงขึ้นเล็กน้อย “อวี้ฉือจ้าน”
ด้วยนิสัยของจวินฉีเซิ่ง สุดท้ายแล้วเป้าหมายไม่ใช่ฮ่องเต้ของต้าเยียนอวี้ฉือกง แต่เป็นผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดของต้าเยียนท่านเซ่อเจิ้งหวางอวี้ฉือจ้าน
ภายใต้สายตาที่แฝงแววสงสัยของฝู้จื่อโม่ กู้ชิวเหลิ่งพูดเสียงเรียบเฉยว่า “ฮ่องเต้ที่พระชนมายุยังน้อย ต้องพึ่งพาท่านเซ่อเจิ้งหวางในการสนับสนุนให้ขึ้นครองบัลลังก์ ซึ่งไม่น่ากลัวเลยสักนิด จวินฉีเซิ่งรู้และเข้าใจถึงจุดนี้ดี แม้ว่าฮ่องเต้จะตายไปแล้ว วันถัดมาก็ต้องมีฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์อยู่ดี ประชาชนของต้าเยียนรักและเทิดทูนฮ่องเต้มากที่สุด แต่ที่ทำให้ประชาชนรู้สึกสบายใจและเป็นสุขที่สุดคือเซ่อเจิ้งหวางอวี้ฉือจ้านผู้ที่รบไม่เคยแพ้ ถ้าหากเทพสงครามที่ไม่เคยพ่ายแพ้คนนี้ตายไป ท่านคิดว่าจะเป็นอย่างไร”
ฝู้จื่อโม่ค่อยๆเข้าใจมากขึ้น สิ่งที่กู้ชิวเหลิ่งพูดมาไม่ผิดเลยสักนิด ฮ่องเต้ตายแล้ว แม้ราชสำนักและประเทศจะสั่นคลอน แต่ก็ยังคงมีอวี้ฉือจ้านอยู่ หลายปีมานี้อวี้ฉือจ้านก็เป็นเหมือนฮ่องเต้องค์ที่สอง สิ่งที่เขาพูดก็เหมือนราชโองการ ที่ทุกคนต้องปฏิบัติตาม แต่ถ้าหากอวี้ฉือจ้านตายไป ทหารมากมายที่อยู่ในมือของอวี้ฉือจ้านก็จะเกิดความหวั่นไหว ถึงตอนนั้นต้าเยียนคงไร้ซึ่งความสามัคคีแตกแยกเป็นหลายกลุ่ม
จวินฉีเซิ่งเป็นฮ่องเต้ที่ฉลาดคนหนึ่ง และเป็นฮ่องเต้ที่เจ้าเล่ห์เช่นกัน องครักษ์ลับสองกลุ่มที่เขาส่งมา จุดประสงค์ที่หนึ่งคือต้องการใช้องครักษ์ลับหนึ่งในสองกลุ่มนี้เป็นข้ออ้างบังหน้า ไล่สังหารฮ่องเต้ ฆ่าได้จะดีที่สุด ถ้าฆ่าไม่ได้ก็เป็นการล่อเสือออกจากถ้ำ จุดประสงค์ที่สองคือรอให้ข้างกายของอวี้ฉือจ้านไร้ซึ่งคนคุ้มกันแล้ว ค่อยส่งองครักษ์ลับอีกกลุ่มไปสังหารอวี้ฉือจ้าน
“ดี แผนการเป็นเช่นนี้นี่เอง กู้หนานเฉิงสามารถมีลูกสาวเช่นเจ้า นับว่าเป็นบุญวาสนาที่สั่งสมมาแต่ชาติปางก่อน”
คนที่พูดเดินออกมาจากทางท้ายเรือ เขาสวมชุดยาวสีดำประกายแดงทั้งตัว เรือนร่างสูงโปร่งยืนอยู่ทางด้านหลังของกู้ชิวเหลิ่ง ทำให้ไม่สามารถละความสนใจจากกลิ่นอายที่เย็นยะเยือกรอบตัวเขาได้
กู้ชิวเหลิ่งหันร่างไป ประสานสายตากับอวี้ฉือจ้าน ราวกับกำลังสำรวจความจริงใจของอีกฝ่าย
อวี้ฉือจ้านใช้สายตานิ่งขรึมจ้องมองกู้ชิวเหลิ่ง เขามองเห็นแววตาเหมือนคนตายของกู้ชิวเหลิ่ง นั่นเป็นแววตาของคนที่เคยผ่านความตายมาแล้วครั้งหนึ่งจึงจะเผยออกมาให้เห็นได้
ฝู้จื่อโม่เก็บมีดสั้นไว้ที่เอวเหมือนเดิม พูดขึ้นว่า”เดิมทีจะมาล่อองครักษ์ลับของแคว้นฉีสักหน่อย แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีมือสังหารสาวงามเช่นนี้มาแทน นี่ทำให้ข้ารู้สึกผิดหวังมาก”
กู้ชิวเหลิ่งดึงผ้าปิดหน้าลงมา ใบหน้าที่งดงามเผยโฉมต่อหน้าคนทั้งสอง แต่ใบหน้าไม่มีรอยยิ้มเลยสักนิด มีแต่ความเย็นชานิ่งขรึมอยู่แทนที่
“ไม่เสียทีที่เป็นถึงเซ่อเจิ้งหวาง เห็นทีข้าคงมาช้าไปก้าวหนึ่ง”
ฝู้จื่อโม่เปิดปากเอ่ยขึ้นมาว่า “คุณหนูรองไม่ได้มาสาย พวกเราคิดไม่ถึงจริงๆว่าจวินฉีเซิ่งจะเลือกลงมือในเวลานี้ แต่ก็แค่รู้สึกอยู่ลึกๆว่าเขาอาจจะลงมือกับจ้าน แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่คุณหนูรองเอ่ยมาเมื่อครู่แล้ว ราวกับว่ามีความคิดเช่นนี้มานานแล้ว เจ้าคุ้นเคยกับฮ่องเต้ของแคว้นฉีมากเลยหรือ ทำไมจึงรู้ดีกว่าพวกข้าเสียอีก”
อวี้ฉือจ้านยืนค้ำอยู่บนร่างของกู้ชิวเหลิ่ง โดยไม่กะพริบตาเลยแม้แต่น้อย ราวกับกำลังรอคำตอบของกู้ชิวเหลิ่งอยู่
กู้ชิวเหลิ่งเลิกคิ้วขึ้น พูดว่า “อย่าลืมว่าข้าเป็นลูกสาวของโหวฝ่ายบู๊ การทำความเข้าใจในตัวฮ่องเต้แห่งแคว้นเพื่อนบ้าน มีอะไรไม่ถูกต้องหรือ”