ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 45 การหยั่งเชิงของฝู้จื่อโม่
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 45 การหยั่งเชิงของฝู้จื่อโม่
“เพราะฉะนั้นคนที่ช่วยนางได้ ก็มีแต่ตัวนางเองเท่านั้น ”
กู้ชิวเหลิ่งเท้าเปลือยเปล่า ลุกขึ้นยืน พูดว่า “ข้าสามารถพายเรือตามน้ำ ช่วยเหลือนางได้ แต่ไม่ใช่ตอนนี้”
กู้ชิวเหลิ่งเดินเข้าไปในเรือน โต๊ะที่เดิมทีว่างเปล่าไม่มีสิ่งใดเลยกลับมีชุดขี่ม้าวางอยู่อย่างเป็นระเบียบ
กู้ชิวเหลิ่งขมวดคิ้ว เมื่อครู่นางอยู่ในลานบ้านตลอด ไม่เห็นมีใครเข้ามาในห้องของนางเลย เสื้อผ้าชุดนี้มาจากไหนกัน
จูเอ๋อร์ก็มองเห็นชุดขี่ม้าที่วางอยู่บนโต๊ะ ถามอย่างประหลาดใจว่า “คุณหนูไปซื้อชุดนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่เจ้าคะ ชุดนี้ดูน่าประหลาดจังนะเจ้าค่ะ ”
กู้ชิวเหลิ่งเดินเข้าไป ชุดขี่ม้านี้ทำได้ประณีตมาก แต่ไม่มีลายแกะสลักเลยแม้แต่น้อย
เป็นชุดขี่ม้าของแคว้นฉี ไม่ใช่ของต้าเยียน
มีกระดาษอีกแผ่นหนึ่งบนนั้นเขียนไว้ว่า พรุ่งนี้ตอนเที่ยงเจอกันที่ลานล่าสัตว์ของราชวงศ์ จ้าน
จูเอ๋อร์เขยิบเข้าไปใกล้ เอ่ยอย่างสงสัยว่า “เซ่อเจิ้งหวางหรือ ”
กู้ชิวเหลิ่งส่ายหน้า พูดว่า “ฝู้จื่อโม่”
จูเอ๋อร์ไม่เข้าใจและพูดต่อว่า “ทำไมฝู้ซื่อจื่อต้องใช้ชื่อของท่านเซ่อเจิ้งหวางเพื่อเขียนจดหมายให้คุณหนูด้วยเล่า”
กู้ชิวเหลิ่งพูดเสียงเรียบว่า “ไปจุดเทียนมาเล่มหนึ่ง”
“เจ้าค่ะ”
กลางดึกคืนนั้น ฝู้จื่อโม่ปีนกำแพงด้านหลังเข้าไปในจวนเซ่อเจิ้งหวาง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาคิดไปเองหรือไม่ เขารู้สึกว่ากำแพงทางด้านหลังของจวนเซ่อเจิ้งหวางยิ่งอยู่จะยิ่งสูงขึ้นทุกที
ลานล่าสัตว์ของราชวงศ์มีเพียงฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้นที่จะเป็นฤดูกาลล่าที่ดีที่สุด แต่ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ ทุกสรรพสิ่งเพิ่งจะตื่นจากการจำศีล ไม่ควรเข่นฆ่า ฉะนั้นธนูที่เตรียมไว้ทั้งหมดล้วนถูกห่อไว้ด้วยผ้า ไม่มีวี่แววจะเป็นอันตรายเลยแม้แต่น้อย
ฝู้จื่อโม่นั่งอยู่บนหลังม้า ยังคงสวมชุดยาวสีเทาดำทั้งตัว ไม่ได้เกรงว่าชุดจะเทอะทะเกินไปเมื่อขี่ม้า และเปลือยหน้าอก ผมสีดำขลับถูกปล่อยสยายลงมา ไม่มีทีท่าว่าจะรวบมันขึ้นไป
“จ้าน เจ้าต้องขอบคุณข้านะ”
อวี้ฉือจ้านมองไปยังที่ไม่ไกลออกไปนักมีคนกำลังขนเครื่องดนตรีที่จำเป็นต้องใช้ในการทำพิธีกรรมในการล่าสัตว์ สติจึงไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่นัก ได้แต่ถามเหมือนปกติว่า
“เจ้าทำเรื่องอะไรที่ผิดต่อข้าอีกแล้ว”
ฝู้จื่อโม่พูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ช่วยเจ้านัดหญิงงามคนหนึ่ง”
อวี้ฉือจ้านเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เจ้าเชิญกู้ชิวเหลิ่งมาอย่างนั้นหรือ”
“น่าเบื่อ เจ้ามันน่าเบื่อจริงๆเลย”
พูดจบ ฉับพลันนั้นฝู้จื่อโม่ก็ชี้นิ้วไปทางทิศทางที่ไม่ไกลนัก พูดว่า “ดู ดูซิ คนคนนี้บอกว่ามาก็มา”
อวี้ฉือจ้านมองตามไปยังทิศทางที่ฝู้จื่อโม่ชี้ กู้ชิวเหลิ่งสวมชุดกระโปรงสีเขียวอ่อนทั้งตัว ปิดใบหน้าไว้ครึ่งหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าแตกต่างจากชุดสีแดงชาดครั้งที่แล้วเป็นอย่างมาก ทำให้คนที่พบเห็นรู้สึกสบายตายิ่งนัก
ฝู้จื่อโม่ร้องเรียกขึ้น “ปล่อยนางเข้ามา นี่เป็น……สนมรักของข้าเอง”
ฝู้จื่อโม่รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าอวี้ฉือจ้านไม่พอใจต่อสิ่งที่เขาพูดออกไป
แต่ฉากนี้ในสายตาของคนอื่น กลับกลายเป็นอีกภาพที่มีอีกความหมายหนึ่ง เซ่อเจิ้งหวางไม่พอใจที่ฝู้ซื่อจื่อสำมะเลเทเมา ฉะนั้นจึงปิดประตูจวนไม่ต้อนรับ ฝู้ซื่อจื่อปีนกำแพงเข้ามาตอนดึก ก็ยังถูกปฏิเสธ ฝู้ซื่อจื่อเปลี่ยนจากความรักเป็นความแค้น จึงจงใจเชิญหญิงงามคนหนึ่งมา เพื่อประชดท่านเซ่อเจิ้งหวาง
หลังจากฉากนี้เผยแพร่สู่สายตาผู้คนแล้ว ทหารที่ยืนอยู่หน้าประตูก็มองกู้ชิวเหลิ่งอย่างพิจารณามากขึ้น เป็นสนมที่งดงามอย่างไรกันแน่ ถึงกับสามารถทำให้ฝู้ซื่อจื่อกับท่านเซ่อเจิ้งหวางเกิดความร้าวฉานได้
กู้ชิวเหลิ่งไม่สนใจสายตาของคนรอบข้างที่มองมา เมื่อฝู้จื่อโม่พลิกตัวลงจากม้า กู้ชิวเหลิ่งก็แค่ย่อตัวลงเล็กน้อย พูดว่า “ฮั่วผิงคำนับฝู้ซื่อจื่อ คำนับท่านเซ่อเจิ้งหวาง”
ฝู้จื่อโม่ใช้ความคิด เมื่อครู่เขาบอกกับคนอื่นๆว่ากู้ชิวเหลิ่งเป็นสนมของเขา ย่อมไม่สามารถใช้ชื่อจริงได้ จึงพูดขึ้นว่า “ชุดขี่ม้าที่จ้านมอบให้เจ้าเมื่อวานเล่า”
กู้ชิวเหลิ่งพูดเสียงเรียบเฉยว่า “ชุดขี่ม้าที่ฝู้ซื่อจื่อส่งมาให้ตัดได้ประณีตมาก แต่ชุดขี่ม้าของแคว้นฉี ให้คนของต้าเยียนสวมใส่ จะทำให้เสียอารมณ์กันเปล่าๆ”
ฝู้จื่อโม่เลิกคิ้วขึ้น “ช่างน่าแปลกจริงๆ แม้แต่ชุดของแคว้นฉีเจ้าก็ยังรู้จัก จะบอกว่าก่อนหน้านี้ข้าแค่คิดว่าเจ้านั้นฉลาดอยู่บ้าง ตอนนี้กลับไม่คิดเช่นนั้นแล้ว”
“ฝู้ซื่อจื่อชมกันมากเกินไปแล้ว ชุดของแคว้นฉีจะดีแค่ไหน แต่คนที่มาจากต้าเยียนจะมีสักกี่คนที่รู้จักชื่นชม ยิ่งไปกว่านั้นฮั่วผิงแต่ไหนแต่ไรไม่เคยใช้ความฉลาดเพียงเล็กน้อยเพื่อได้รับความเชื่อใจจากผู้อื่น”
อวี้ฉือจ้านยังคงนั่งอยู่บนหลังม้า ทันใดนั้นก็รู้สึกสนใจขึ้นมา “แม่นางเหลิ่ง ขึ้นม้า”
กู้ชิวเหลิ่งนิ่งอึ้งเล็กน้อย ร่างได้ถูกอวี้ฉือจ้านดึงขึ้นไปบนม้าแล้ว
อวี้ฉือจ้านก็อึ้งเล็กน้อย เขาไม่ได้ใช้แรงมาก กู้ชิวเหลิ่งตัวเบาราวกับขนนก เข้าไปอยู่ในอ้อมอกของเขาอย่างเบาหวิว บนร่างมีกลิ่นหอมจางๆโชยออกมา เหมือนกลิ่นของไม้ไผ่
อวี้ฉือจ้านโอบกู้ชิวเหลิ่งเอาไว้ พูดขึ้นข้างหูกู้ชิวเหลิ่งว่า “นั่งให้ดี”
ทั้งสองคนใกล้ชิดกันมาก ราวกับวินาทีต่อมาอวี้ฉือจ้านก็จะจุมพิตไปที่ปอยผมข้างหูของนางแล้ว
อวี้ฉือจ้านร้องขึ้นเสียงหนึ่ง “ย๊า” ฝุ่นฟุ้งกระจายปลิวไปที่ใบหน้าของฝู้จื่อโม่ พอฝู้จื่อโม่ได้สติกลับมา นอกลานล่าสัตว์เหลือแค่เขาคนเดียวเท่านั้น
ทหารที่อยู่นอกลานล่าสัตว์ต่างก็กระซิบกระซาบกัน ไม่รู้ว่ากำลังคุยอะไรกัน
ฝู้จื่อโม่ได้ยินทหารคนหนึ่งพูดถึงเขาว่าน่าสงสาร รู้สึกอารมณ์ไม่ค่อยดีขึ้นมา “เอะอะอะไรกัน แต่ละคนอยากจะถูกลงโทษด้วยกฎทหารหรืออย่างไร”
ทหารทั้งหลายรีบหันหลังกลับไปทันที แสร้งทำเป็นว่าตนเองไม่เห็นอะไร
ฝู้จื่อโม่ขึ้นไปขี่บนหลังม้า พูดเสียงพึมพำว่า “น่าสงสาร? ข้าจะแพ้หญิงคนนั้นได้อย่างไร”
และในขณะเดียวกัน กู้ชิวเหลิ่งได้สะกดอารมณ์ไว้ไม่อยู่แล้ว พูดเสียงเย็นว่า “ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้”
“เจ้าเป็นผู้หญิงคนแรกที่ข้าพบว่ากล้าพูดจาทั้งที่ขี่ม้าเป็นครั้งแรก”
อวี้ฉือจ้านเขยิบเข้าใกล้ใบหูของกู้ชิวเหลิ่ง พูดว่า “คงไม่กัดลิ้นตัวเองกระมัง”
ฝีมือการขี่ม้าของกู้ชิวเหลิ่งเมื่อชาติที่แล้วนั้นยอดเยี่ยมมาก ล้วนได้รับการถ่ายทอดจากบิดา ถ้าหากบนม้านี้เป็นฝู้จื่อโม่ หรือว่าเซียวอวิ๋นเซิง หรือแม้แต่อวี่เหวินเจี๋ย นางก็สามารถผลักอีกฝ่ายให้ร่วงจากม้าได้อย่างง่ายดาย แต่ว่าอีกฝ่ายคืออวี้ฉือจ้าน นางไม่รู้ว่าควรลงมือจากตรงไหน
เพราะร่างกายของนางถูกอวี้ฉือจ้านรวบเอาไว้อย่างแน่นหนาจนเคลื่อนไหวไม่ได้
ม้าวิ่งเร็วมากขึ้น กู้ชิวเหลิ่งเริ่มรับรู้ได้ถึงความไม่สบายของร่างกายนี้ ถ้าหากยังไม่หยุดลง แม้จะมีอวี้ฉือจ้านอยู่ที่นี่ด้วย นางก็อาจเวียนหัวเพราะแรงสะเทือนได้
กู้ชิวเหลิ่งกัดฟัน ทันใดนั้นเท้าของอวี้ฉือจ้านก็ทิ้งช่องว่างเอาไว้ กู้ชิวเหลิ่งแย่งบังเหียนจากมือของอวี้ฉือจ้าน ใช้ขาข้างหนึ่งข้ามไปยังอีกด้านของตัวม้า รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง ดวงตาของอวี้ฉือจ้านหรี่ลง เห็นได้ชัดว่ารู้สึกคาดไม่ถึงกับการกระทำนี้อยู่บ้าง ประหลาดใจแต่ไม่แสดงออกมา ราวกับรู้ว่ากู้ชิวเหลิ่งมีความสามารถเช่นนี้อยู่แล้ว
กู้ชิวเหลิ่งดึงบังเหียนเอาไว้ ม้ายกเท้าหน้าทั้งสองข้างขึ้นสูง อย่างน้อยก็สูงกว่าสี่ฉื่อ อวี้ฉือจ้านรีบกระโดดลงจากม้า ส่วนกู้ชิวเหลิ่งก็นับว่าตกลงมาจากหลังม้าด้วยสภาพที่ไม่อนาถนัก
อวี้ฉือจ้านพูดเสียงเย็นว่า “กู้ชิวเหลิ่ง ข้าต้องการคำอธิบายที่สมเหตุสมผลจากเจ้า ”
กู้ชิวเหลิ่งรู้สึกท้องไส้ของตนเองปั่นป่วนจนทรมาน พยายามอดกลั้นเอาไว้และใช้น้ำเสียงที่เย็นชายิ่งกว่า “อย่าลืมซิ ข้าเป็นลูกสาวของโหวฝ่ายบู๊ ขี่ม้าเป็นมันน่าแปลกนักหรือ”