ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 46 ยกศีรษะมาพบ
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 46 ยกศีรษะมาพบ
“เจ้า……”
อวี้ฉือจ้านยังไม่ทันจะได้พูดอะไรออกมา ไม่ไกลออกไปก็มีเสียงกีบม้าดังมา ฝู้จื่อโม่ตะโกนออกมาว่า: “จ้าน! รอข้าด้วย!”
กู้ชิวเหลิ่งรู้สึกว่าหูอื้ออย่างรุนแรง บนหน้าผากมีเหงื่อที่ผิดปกติไหลออกมาแล้ว ในตอนที่อวี้ฉือจ้านหันกลับมา กู้ชิวเหลิ่งก็ล้มลงไปบนพื้นแล้ว
อวี้ฉือจ้านอุ้มกู้ชิวเหลิ่งขึ้นมาจากพื้นอย่างมือเร็วตาไว กั้นเอาไว้ด้วยผ้าคลุมหน้าบางชั้นหนึ่ง แก้มที่เดิมทีแดงระเรื่อเปลี่ยนเป็นซีดขาว มือพาดอยู่บนพื้นอย่างอ่อนแรง
ฝู้จื่อโม่เพิ่งลงจากม้า ก็เห็นภาพฉากนี้ อวี้ฉือจ้านกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา: “เรียกหมอหลวงไปรอที่กระโจมเดี๋ยวนี้เลย!”
ฝู้จื่อโม่ไม่มีแม้แต่เวลาจะหายใจ เห็นว่าอวี้ฉือจ้านอุ้มกู้ชิวเหลิ่งขึ้นมาในแนวนอน พลิกตัวขึ้นไปบนหลังม้า ควบม้าออกไปทางนอกพื้นที่ล่าสัตว์ด้วยความเร็วที่เร็วกว่าฝู้จื่อโม่เสียอีก
ใบหน้าของฝู้จื่อโม่เต็มไปด้วยความเจ็บใจที่ไม่สามารถหลอมเหล็กให้เป็นเหล็กกล้าได้: “อุ้มผู้หญิงที่ฐานะไม่ชัดเจนคนหนึ่ง! แล้วทิ้งพี่น้องของเจ้าเอาไว้คนเดียว!”
อวี้ฉือจ้านลงจากม้าอย่างรวดเร็วราวกับถูกไฟลน สีหน้าท่าทางเคร่งขรึม คนที่อุ้มอยู่ในอ้อมแขนก็คือกู้ชิวเหลิ่ง
“ไปเรียกหมอหลวง!”
“เรียนเซ่อเจิ้งหวาง หมอหลวงจะมาถึงในไม่ช้า!”
อวี้ฉือจ้านไม่มีความคิดที่จะหยุดฝีเท้าลงมาเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าจะเดินเข้าไปในกระโจมแล้ว คนที่อยู่ข้างนอกก็ยังคงได้ยินอวี้ฉือจ้านพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชามาก: “ข้าไม่เคยรอใคร หากยังไม่พามาอีก ยกศีรษะมาพบ”
สีหน้าของกู้ชิวเหลิ่งซีดขาวราวกับกระดาษ เหมือนจะเห็นใบหน้าที่เยือกเย็นราวกับน้ำแข็งของจวินฉีเซิ่งในหัวรางๆ
“เจ้าจะทำอะไร?”
วินาทีแรกที่กู้ชิวเหลิ่งลืมตาขึ้นมา นางกำลังใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดของร่างกายบีบข้อมือของอวี้ฉือจ้านเอาไว้ แรงกำลังนั่นราวกับจะหักข้อมือของอวี้ฉือจ้านทิ้ง
แต่ว่าบนใบหน้าของอวี้ฉือจ้านไม่ได้มีความผิดปกติ ในดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยดำมืดสุดขีด
กู้ชิวเหลิ่งสะบัดมือของอวี้ฉือจ้านทิ้งไป กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมและเย็นชามาก: “จับมือข้าเอาไว้ทำไม?”
“ก่อนหน้านี้เจ้าถูกความเย็นเป็นไข้ เดิมทีร่างกายก็ยังไม่หายดี ในกระเพาะไม่มีอาหาร แล้วก็โคลงเคลงอยู่บนม้าพักหนึ่ง เมื่อครู่นี้เจ้าร้องว่าหนาว ดังนั้นก็เลยห่มผ้าห่มให้เจ้า”
ฝู้จื่อโม่นั่งอยู่บนขอบเก้าอี้ด้วยสายตาที่เย็นชา กล่าวขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ: “บางครั้งข้าก็คิดจริงๆว่าเจ้าสร้างมาจากเหล็กใช่ไหม จ้านบอกว่าทักษะการขี่ม้าของเจ้าเหนือกว่าคนทั่วไป ข้ากลับรู้สึกว่าเจ้าเป็นสาวน้อยที่ร่างกายอ่อนแอแม้แต่ลมพัดก็ยังทนไม่ได้คนหนึ่งต่างหาก เลียนแบบอะไรไม่ดี ดันจะเลียนแบบคนอื่นคิดคำนวณจิตใจผู้อื่น”
มุมปากของกู้ชิวเหลิ่งเกี่ยวเป็นรอยยิ้มเยาะเย้ยออกมาเล็กน้อย: “ว่ากันว่าฝู้ซื่อจื่อชอบเที่ยวหอเที่ยวสาวๆ ติดหนี้รักความสัมพันธ์ชู้สาวเอาไว้ไม่น้อย เป็นคุณชายร่ำรวยสูงส่งดีๆไม่ชอบ ดันจะเลียนแบบคนอื่นเป็นพลดักซุ่มให้ได้หรือ?”
“เจ้าพูดเหลว……”
คำว่าไหลยังไม่ทันได้พูดออกมา กู้ชิวเหลิ่งก็เอ่ยปากกล่าวขึ้นมา: “ถ้าหากที่ข้ารู้มาไม่ผิด ปีก่อนหน้านี้ฝู้ซื่อจื่อช่วยเซ่อเจิ้งหวางลักลอบขนสิ่งของจำเป็นในการดำรงชีพไปที่ซีจิ้ง ในเวลานั้นก็ก่อหนี้ดอกท้อเอาไว้แล้วใช่ไหม?
ฝู้จื่อโม่อดที่จะกลืนน้ำลายลงคอเฮือกหนึ่งไม่ได้ ถาม: “หนี้ดอกท้อ*ที่ข้าก่อเอาไว้มีเยอะแยะ เจ้าหมายถึงดอกไหนล่ะ?”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวอย่างราบเรียบ: “ได้ยินมาว่าอีกไม่นานองค์หญิงอานไท่ของซีจิ้งก็จะเข้ามาในเมืองหลวง เพื่อร่วมงานเลี้ยงของแคว้น หลายปีมานี้ขนบธรรมเนียมพื้นบ้านของซีจิ้งห้าวหาญ ผู้หญิงสามารถมีสามีหลายคนได้ ฝู้ซื่อจื่อหน้าตาหล่อเหลาโดดเด่น ไม่กลัวจะถูกทาบทามไปเป็นสามีหรือ?”
“เจ้า! ข้ามีฐานะระดับไหน เป็นไปได้อย่างที่จะถูกผู้หญิงบ้าคนนั้น……”
ในดวงตาของกู้ชิวเหลิ่งแฝงไปด้วยรอยยิ้ม นางเดาถูกจริงๆ ซีจิ้งในฐานะที่เป็นประเทศราช ในเชิงเศรษฐกิจอาจจะดีไม่เท่าต้าเยียน แต่มีสาวงามมากมาย ผู้หญิงที่งดงามที่สุดก็คือองค์หญิงอานไท่ของซีจิ้ง นางได้ยินข่าวลือมาไม่น้อย องค์หญิงอานไท่อายุไม่มาก นิสัยโหดเหี้ยม อาศัยความรักที่ราชินีแห่งซีจิ้งมีให้ มักจะไปอ้อยอิ่งในสถานเริงรมย์ หาความสุขสนุกสนาน ตามนิสัยเจ้าชู้ของฝู้จื่อโม่ ไปถึงซีจิ้งประเทศแห่งสาวงามแล้ว ย่อมอดใจไม่ไหวอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าจะไปเพื่อหาข่าวเพื่ออวี้ฉือจ้าน ก็จะต้องไปอ้อยอิ่งที่สถานเริงรมย์อย่างแน่นอน
ในสายตาของอวี้ฉือจ้านมีรอยยิ้มซ่อนอยู่: “เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน?”
“ผู้หญิงที่สามารถทำให้ฝู้ซื่อจื่อเกิดความหวาดกลัวได้ ไม่ใช่หญิงขี้เหร่ ก็คือหญิงร้าย ผู้หญิงซีจิ้งส่วนใหญ่ล้วนอ่อนโยน มีเพียงบรรดาองค์หญิงของราชวงศ์เท่านั้นที่ห้าวหาญราวกับบุรุษ ฝู้ซื่อจื่อน่าจะกลัวแล้วล่ะมั้ง”
ฝู้จื่อโม่ฮึออกมาคำหนึ่ง กล่าวว่า: “เท่าที่ข้าดูมา คุณหนูรองกู้ช่างมีฝีมือจริงๆ ไม่เพียงรู้จักฮ่องเต้แห่งแคว้นฉีที่อยู่ไกล ถึงกับยังสามารถรู้เรื่องของประเทศเล็กๆอย่างซีจิ้งอีก หากเจ้าไม่ใช่สายลับ ยังจะเป็นใครได้อีก?”
กู้ชิวเหลิ่งเงยหน้า: “คนหนึ่งคือกู้ชิวเหลิ่งคุณหนูรองตระกูลกู้ อีกคนคือเหลิ่งฮั่วผิงสนมของฝู้ซื่อจื่อ แล้วแต่ว่าฝู้ซื่อจื่อคิดอย่างไร”
อวี้ฉือจ้านยื่นมือออกมาข้างหนึ่งช้าๆ หยุดการทะเลาะของฝู้จื่อโม่
“ในเมื่อเจ้าไม่อยากจะพูด ข้าก็จะไม่ถามมากอีก สายแล้ว ข้าให้จีเฟิงส่งเจ้ากลับจวนโหว”
กู้ชิวเหลิ่งได้เปิดผ้าห่มออกแล้ว ก่อนที่จะจากไปกล่าวออกว่า: “อีกสองหน่วยของจวินฉีเซิ่งกล้าหาญและเฉียบแหลมมาก ในแต่ละหน่วยมีองครักษ์ลับสิบสองนาย บนกระบี่ของหนึ่งในหน่วยลอบสังหารติดยาพิษร้ายแรง เมื่อสัมผัสกับแผลก็จะหายใจไม่ออกทันที อีกหน่วยคือนักรบกล้าตาย หลังจากที่ตายศพก็จะเริ่มดำเริ่มม่วง บนร่างกายจะไม่เห็นร่องรอยใดๆอย่างเด็ดขาด หากเซ่อเจิ้งหวางต้องการแผนการที่สมบูรณ์แบบเพียบพร้อม ก็ทำได้เพียงซุ่มโจมตีรอบด้านเท่านั้น แต่ข้ามีคำพูดหนึ่งอยากจะแนะนำ”
อวี้ฉือจ้านกล่าวเสียงขรึม: “เจ้าว่ามา”
“ถึงแม้จะต้องการซุ่มโจมตีรอบด้าน ก็จะไม่ให้มีผู้รอดชีวิตใดๆเด็ดขาด จวินฉีเซิ่งความคิดรอบคอบละเอียดถี่ถ้วน จะไม่ทิ้งจุดอ่อนใดๆของตัวเองเอาไว้ ดังนั้นแผนการทั้งหมดของเซ่อเจิ้งหวางล้วนเป็นเพียงการเสียแรงเปล่า เป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะได้เบาะแสอะไรมาแม้แต่น้อยนิด ไม่สู้……”
“ตบตา”
มุมปากของเกี่ยวเป็นมุมโค้งเล็กน้อย: “ดี”
จีเฟิงรออยู่หน้ากระโจมสักพักหนึ่งแล้ว รถม้าที่จะรับกู้ชิวเหลิ่งกลับไปก็เตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว
จูเอ๋อร์กำลังนอนหลับสนิทอยู่ในเกี้ยว กู้ชิวเหลิ่งกล่าวอย่างราบเรียบ: “ไปจอดประตูหลังของจวนโหว”
“ขอรับ”
กู้ชิวเหลิ่งกลับไปถึงสวนยีชุ่ยตามทางเดินประตูหลังของจวนโหว ในสวนสงบและเยือกเย็น จูเอ๋อร์ขยี้ดวงตาที่พร่ามัว กล่าวว่า: “คุณหนู จู่ๆทำไมบ่าวถึงนอนหลับไปได้?”
“บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเหนื่อยล่ะมั้ง”
กู้ชิวเหลิ่งจิบชาไปคำหนึ่งอย่างราบเรียบ อวี้ฉือจ้านผู้นี้ใช้คนไม่ระแวง ระแวงคนก็ไม่ใช้ แต่ฝู้จื่อโม่ความคิดรอบคอบปราดเปรียว ขี้สงสัยอย่างมาก น่าจะเป็นเพราะว่าไม่ไว้วางใจในตัวจูเอ๋อร์ คลางแคลงว่าจูเอ๋อร์เป็นสายลับ ดังนั้นจึงทำให้นางหมดสติไป
ดีที่อวี้ฉือจ้านไม่คิดที่จะถามฐานะของนาง มิเช่นนั้นแผนการที่นางจะจัดการกับจวินฉีเซิ่งก็ต้องคว้าน้ำเหลวแล้ว
หลังจากเมื่อวานสวนยี่เซียงของฮูหยินใหญ่ก็ไม่ได้สงบลงเลย อิงเอ๋อร์กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น ถูกแม่นมโจวกรอกน้ำซุปดอกคำฝอย
ฮูหยินใหญ่นวดไปที่หว่างคิ้ว กล่าวว่า: “เมื่อวานนายท่านค้างในห้องของเจ้าหรือ?”
อิงเอ๋อร์เช็ดน้ำตาและน้ำยาที่หลงเหลืออยู่ตรงมุมปาก กล่าวออกมาอย่างขลาดกลัว: “ใช่……”
ในดวงตาของฮูหยินใหญ่มีประกายความเย็นชาซ่อนอยู่: “เช่นนั้นแผลบนตัวของเจ้า……?”
อิงเอ๋อร์รีบก้มหน้าลง: “บ่าวเป่าเทียนดับไป……นายท่านไม่ได้สังเกตเห็น”
ฮูหยินใหญ่ฮึเย็นชาออกมาคำหนึ่ง: “นังจิ้งจอกตัวดี พฤติกรรมเหมือนกับนังโสเภณีในหอนางโลม ถึงกับเรียนรู้วิธีการแบบนี้แล้ว?”
“บ่าวเปล่านะ! บ่าวก็แค่กลัว……”
“อย่าคิดว่าตอนนี้นายท่านโปรดปรานเจ้า เจ้าก็สามารถอยู่นอกกฎเกณฑ์ได้ เจ้าจะได้อยู่ในฐานะอี๋เหนียงกี่วัน มันอยู่ที่ข้า”
“บ่าวทราบดี บ่าวไม่กล้ามีความคิดรับความชอบเกินกว่าหน้าที่เด็ดขาด ต่อไปก็จะรับใช้ฮูหยินใหญ่ แม้ต้องตายหมื่นครั้งก็ไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน”