ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 54 พิราบส่งสาร
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 54 พิราบส่งสาร
เซี่ยชุน ไม่เคยเห็นกู้ชิวเซียงโกรธมากขนาดนี้มาก่อน ในสายตาของคนนอกกู้ชิวเซียงเป็นคุณหนูผู้งดงามที่มีกิริยาท่าทางสง่างามการวางตัวเหมาะสมมาโดยตลอด ไม่เคยเป็นอย่างเช่นในตอนนี้ ราวกับหญิงร้ายที่คลุ้มคลั่ง
ถ้วยชาแตกอยู่ตรงหน้าของเซี่ยชุน เซี่ยชุนถอยหลังออกไปหนึ่งก้าวโดยสัญชาตญาณ
กู้ชิวเซียงกล่าวออกมาอย่างดุดัน: “กู้ชิวเหลิ่ง……ต้องเป็นกู้ชิวเหลิ่งแน่นอน! นางแพร่กระจายข่าวออกไป บิดเบือนข้อเท็จจริงทำลายชื่อเสียงของข้า!”
“คุณหนูอย่าโกรธให้เสียสุขภาพไปเลยเจ้าค่ะ กู้ชิวเหลิ่งเป็นแค่ลูกสาวอนุภรรยาที่ต่ำต้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนนี้นายท่านให้คุณหนูเก็บตัวอยู่ในห้องเงียบๆ อย่าได้ก่อเรื่องอะไรขึ้นมาอย่างเด็ดขาดเจ้าค่ะ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ต้องฝึกซ้อมการร่ายรำให้ดี ถึงเวลาในงานเลี้ยงของแคว้น ท่านอ๋องรองจะต้องให้ความสนใจกับคุณหนูอย่างแน่นอน”
คำพูดของเซี่ยชุนแทงเข้าไปถึงส่วนลึกที่อยู่ในใจของกู้ชิวเซียง ในที่สุดกู้ชิวเซียงก็สงบสติอารมณ์ลงมาบ้างแล้ว ฮึเย็นชาออกมาคำหนึ่ง: “เจ้าไปบอกกับท่านแม่ ต้องระงับข่าวลือพวกนี้ลงมาให้ได้ จะให้ข่าวลือพวกนี้แพร่ไปถึงหูของท่านอ๋องรองไม่ได้เด็ดขาด”
เซี่ยชุนรีบกล่าวซ้ำๆ: “บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้……”
“ช้าก่อน! เจ้าไปเชิญลูกผู้พี่มาให้ข้าด้วย”
เซี่ยชุนชะงักงันไปเล็กน้อย กล่าวว่า: “คุณหนู ตอนนี้ในเมืองหลวงมีข่าวซุบซิบนินทามากมาย หากว่าตอนนี้ให้คนพบว่าคุณชายฉินมาที่จวนของเรา ชื่อเสียงของคุณหนู จะ……”
“เจ้าไม่ต้องพูดมาก ข้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร เรื่องนี้อย่าเพิ่งบอกกับท่านแม่ เจ้าแอบไปที่จวนตระกูลฉิน บอกว่าให้ลูกผู้พี่เข้ามาจากลานด้านหลัง”
“นี่……”
กู้ชิวเซียงเข้าไปตบหน้าของเซี่ยชุนฉากหนึ่ง เสียงดังฟังชัดมาก เซี่ยชุนรีบกุมหน้าเอาไว้แล้วคุกเข่าลงไปบนพื้น หลายปีมานี้นางเป็นคนโปรดที่มีความสามารถที่สุดข้างกายของกู้ชิวเซียง อย่าว่าแต่ตีเลย กู้ชิวเซียงยิ่งไม่เคยลงโทษนางมาก่อน
ใบหน้าของกู้ชิวเซียงในเวลานี้ดุร้ายจนไม่เหมือนหญิงงามคนหนึ่ง กลับดูเหมือนหญิงใจเหี้ยมคนหนึ่งมากกว่า: “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นสาวใช้ที่มีความสามารถที่สุดข้างกายของท่านแม่ แต่ว่าข้าถึงจะเป็นนายของเจ้า เจ้าต้องรู้ว่าคำพูดของใครถึงจะเป็นคำสั่งแรกที่เจ้าควรจะทำตาม!”
“เจ้าค่ะเจ้าค่ะ! บ่าวไม่กล้าอีกแล้ว บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้แหละ!”
เซี่ยชุนถอยออกไปอย่างตัวสั่นงันงก
กู้ชิวเซียงกำหมัดเอาไว้แน่น กู้ชิวเหลิ่งอยากจะให้นางสูญเสียชื่อเสียงทั้งหมดในเมืองหลวงไป จบด้วยสถานการณ์น่าสังเวชที่ไม่มีใครเอา?
เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด! ไม่มีใครสามารถทำให้นางกู้ชิวเซียงสูญเสียความเปล่งประกายทั้งตัวไปได้! และก็ไม่มีใครสามารถชิงทุกสิ่งทุกอย่างไปจากนางได้!
กู้ชิวเหลิ่งนั่งหลับตาพักผ่อนสมองอยู่บนเก้าอี้หวาย ทางด้านโรงน้ำชานางก็ไม่รีบร้อน สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็ยังคงเป็นจวินฉีเซิ่งที่เห็นบนถนนฉางอันในวันนั้น คำนวณตามเวลาของงานเลี้ยงราชสำนัก อย่างน้อยก็ยังต้องใช้เวลาอีกสิบวันถึงจะสามารถจัดงานเลี้ยงราชสำนักขึ้นมาได้ ก่อนหน้านี้จวินฉีเซิ่งจะมาเร็วเกินไปหน่อยไหม และเขาปรากฎตัวที่ถนนฉางอันอย่างไม่มีความเกรงกลัวใดๆ เห็นได้ชัดว่าเจอกับการดักซุ่มโจมตี และในต้าเยียนแห่งนี้คนที่สามารถทำร้ายจวินฉีเซิ่งให้บาดเจ็บสาหัสได้ น่าจะมีแค่อวี้ฉือจ้านคนเดียวเท่านั้น
ขณะนี้เอง จูเอ๋อร์จับนกพิราบตัวหนึ่งมา ในสายตาวูบวาบไปด้วยแสงแห่งความแปลกประหลาดมหัศจรรย์: “คุณหนู บ่าวไม่เคยเห็นนกพิราบที่สวยขนาดนี้มาก่อนเลย เมื่อครู่นี้มันบินมาที่ขอบหน้าต่าง ไม่ขยับเขยื้อนเลย ยังร้องขึ้นมาสองครั้งแน่ะ!”
กู้ชิวเหลิ่งมองไปเพียงแวบเดียว ก็เห็นใต้เท้าของนกพิราบมีสีแดงทาอยู่เล็กน้อย และด้านหลังเท้าก็มีหลอดไม้ไผ่บางๆมีมัดอยู่อันหนึ่ง ถ้าหากไม่สังเกตมองดีๆจะมองไม่เห็นเลย
นี่คือมีคนส่งพิราบสื่อสารมาให้นาง คือต้องการจะส่งข่าวอะไรมาใช่ไหม?
“เอามาทางนี้”
“อ้อ……เจ้าค่ะ คุณหนูระวัง บ่าวก็ไม่รู้ว่านกพิราบกัดคนหรือไม่ อย่างไรเสียระวังเอาไว้ก็ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ!”
กู้ชิวเหลิ่งรับนกพิราบมา เมื่อเทียบกับนกพิราบทั่วไป ตัวนี้ดูเหมือนจะเชื่อฟังยิ่งกว่า นอนนิ่งอยู่ในฝ่ามือของกู้ชิวเหลิ่ง แม้แต่คอก็หมุนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เหมือนกับกำลังบอกกู้ชิวเหลิ่งว่ามีคนส่งข้อความมาให้นาง
กู้ชิวเหลิ่งแกะด้ายแดงที่อยู่บนขาหลังของนกพิราบ มีกระดาษที่ไม่ถึงหนึ่งนิ้วใบหนึ่ง เขียนตัวอักษรเอาไว้ไม่กี่คำ: เมื่อวานจวินฉีเซิ่งได้เข้าเมืองหลวงแล้ว
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวอย่างราบเรียบ: “ไปเตรียมเชิงเทียนมาอันหนึ่ง”
“เจ้าค่ะ”
กู้ชิวเหลิ่งเดินไปถึงตรงหน้าโต๊ะ ตัดกระดาษเซวียนจื่อมาหนึ่งใบ ลายมือข้างบนนี้สะอาดสะอ้านและรัดกุม: จวินฉีเซิ่งหาย ถนนฉางอัน
จูเอ๋อร์เตรียมเชิงเทียนมาอันหนึ่ง แล้วจุดเทียนขึ้นมา กล่าวว่า: “คุณหนู จุดเทียนเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
กู้ชิวเหลิ่งเอากระดาษข้อความที่อวี้ฉือจ้านส่งมาในมือวางเอาไว้บนเปลวไฟของเทียน มองดูกระดาษข้อความถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน ถึงได้ยัดกระดาษข้อความที่ตัวเองเตรียมไว้ในมือเข้าไปในหลอดไม้ไผ่ มัดเอาไว้บนขาหลังของนกพิราบ
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง: “กลับรายงานให้เจ้านายของเจ้าเถด”
นกพิราบดูเหมือนจะมีจิตวิญญาณ ร่างกายที่เดิมทีไม่ขยับเขยื้อนในตอนแรก จู่ๆก็กระพือปีกขึ้น พริบตาเดียวก็หายไปจากสวนยีชุ่ยของกู้ชิวเหลิ่ง
“เรื่องที่ข้าให้เจ้าสอบถามสอบถามอะไรมาได้บ้าง?”
จูเอ๋อร์กล่าวว่า: “ที่คุณหนูพูดถึงบ่าวไปดูที่ตลาดแล้ว ตอนอยู่ถนนตงซื่อเห็นลานทาสแห่งหนึ่งจริงๆ เพียงแต่ว่าทาสพวกนั้นล้วนเป็นผู้ชายทั้งนั้น และวิธีการต่อสู้ของพวกเขาก็ดุเดือดเลือดสาดเกินไป คุณหนูจะไปดูจริงๆหรือ?”
“ยิ่งดุเดือดเลือดสาดก็ยิ่งดี ยิ่งอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานของความเป็นความตาย ก็ยิ่งสามารถมองเห็นนิสัยที่แท้จริงของคนคนหนึ่ง จวนโหวแห่งนี้ไม่ได้ปลอดภัย อย่างไรก็จำเป็นจะต้องมีคนที่สามารถคอยติดตามปกป้องความปลอดภัยของข้าอยู่ข้างกาย”
“เช่นนั้น……คุณหนูจะไปดูตอนไหนเจ้าคะ?”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวอย่างราบเรียบ: “ไปตอนนี้เลยแล้วกัน”
จูเอ๋อร์เกาหัวเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ากระดากปากที่จะพูดออกมา
กู้ชิวเหลิ่งถาม: “เป็นอะไรไป?”
“คุณหนู วันนี้ตอนที่บ่าวไปที่หอจูชุ่ย เห็นท่านเซียวโหวเย๋น้อย เขาเห็นว่าท่านไม่มา หันหลังก็จากไปเลย ท่าทางไม่ชอบใจอย่างมาก”
กู้ชิวเหลิ่งแทบจะสามารถนึกถึงท่าทางที่ทำหน้าบึ้งตึงของเซียวอวิ๋นเซิงขึ้นมาได้เลย ดังนั้นจึงกล่าวขึ้นมาอย่างสงบนิ่ง: “ไม่ต้องไปสนใจเขา เตรียมตัวให้พร้อม เราออกไปกันเถอะ”
เงินออมส่วนตัวของกู้ชิวเหลิ่งก็ไม่ได้มีเท่าไหร่ เงินเดือนแต่ละเดือนยังไม่ถึงหนึ่งก้วน ในอดีตยิ่งไม่ได้สักแดง แต่ว่ากู้ชิวเหลิ่งเก็บสะสมมาตั้งแต่สมัยก่อน ในกล่องมีทั้งหมดสิบห้าตำลึง ซื้อทาสคนหนึ่งก็เพียงพอแล้ว
กู้ชิวเหลิ่งคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน กล่าวว่า: “เดินอ้อมไปที่โรงน้ำชาก่อน”
จูเอ๋อร์เดินอยู่ข้างหลังของกู้ชิวเหลิ่ง กล่าวว่า: “แต่พูดขึ้นมาแล้วท่านเซียวโหวเย๋น้อยนี่ก็ช่างตระหนี่จริงๆ ถึงกับโยนโรงน้ำชาที่มีชื่อเสียงน้อยที่สุด ขาดทุนมากที่สุดให้กับคุณหนู โรงน้ำชาแห่งนี้ตั้งอยู่ในที่ที่ห่างไกลลับตาคนที่สุดของถนนซี ปกติก็ไม่ได้มีคนเลย”
กู้ชิวเหลิ่งไม่ได้รู้สึกแปลกใจต่อการกระทำนี้ของเซียวอวิ๋นเซิงเลย หากนางเป็นเซียวอวิ๋นเซิง เพื่อจงใจทำให้ลำบาก หรือเพื่อความสนุกสนาน ก็จะโยนร้านที่ขาดทุนมากที่สุดให้เขาเช่นกัน บางทียังจะทำมากกว่านี้ด้วยซ้ำ
สิ่งที่จูเอ๋อร์พูดไม่ผิดเลย ที่ตั้งของถนนซีไม่ถือว่าดีมาก การค้าของโรงน้ำชามีเพียงลูกค้าประปรายไม่กี่คนเท่านั้น แถมยังเป็นผู้สูงอายุที่อายุมากแล้วทั้งนั้น
กู้ชิวเหลิ่งเดินไปที่หน้าประตูของโรงน้ำชา ผู้จัดการวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนม้านั่งยาวเพิ่งจะลืมตาที่งัวเงียขึ้นมา เห็นว่ากู้ชิวเหลิ่งมา เพียงแค่ขยี้ตา กล่าวว่า: “แม่นางท่านนี้ต้องการชาแบบไหน?”
“ข้าไม่ต้องการชา”
กู้ชิวเหลิ่งหยิบโฉนดของโรงน้ำชาออกมา นอกจากนี้ยังหนังสือถ่ายโอนกรรมสิทธิ์ของเซียวอวิ๋นเซิงชุดหนึ่ง