ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 80 พบเจอชายสารเลวอีกแล้ว
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 80 พบเจอชายสารเลวอีกแล้ว
จวินฉีเซิ่งกุมหน้าผากที่เหงื่อไหลไคลย้อย แล้วสติค่อยๆกลับมา สามปีที่แล้วเขาให้มู่หรงอี๋ฆ่ามู่หรงชิว เพียงแค่คิดว่าทั้งสองคนเป็นพี่น้องกัน จะทำให้มู่หรงชิวจากไปได้อย่างสงบสุขหน่อย แล้วยังประทานผ้าขาวกับเหล้าพิษ คิดที่จะเหลือศพทั้งร่างของมู่หรงชิวไว้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่ามู่หรงอี๋จะตัดนิ้วทั้งสิบของมู่หรงชิว และเทตะกั่วจนตาย
ในตอนนั้นหลังจากที่เขาเห็นลักษณะที่ตายไปแล้วของมู่หรงชิวก็กลับไม่ได้รู้สึกอะไร เพียงแค่ช่วงระยะเวลาสองสามวันมานี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด มักจะฝันร้ายในกลางดึกอยู่ตลอด ในความฝันล้วนแล้วแต่เป็นหน้าตาของมู่หรงชิวถูกอาบไปด้วยเลือด หรือว่านิ้วมือทั้งสิบบีบคอของพระองค์ หรือว่าแทงพระองค์จนตายด้วยกระบี่ที่ร่ายรำ
“ฝ่าบาททรงเป็นอะไรไปเพคะ? พระวรกายไม่สบายหรือเปล่า?”
หยินซวงซวงยังคงลูบหลังจวินฉีเซิ่งอย่างนุ่มนวลเบามือ จนกระทั่งลมหายใจของจวินฉีเซิ่งค่อยๆสงบลง จากนั้นก็กล่าวว่า “พรุ่งนี้ก็เป็นงานเลี้ยงแห่งแคว้นแล้ว ฝ่าบาททรงพักผ่อนให้ดีเถอะเพคะ หม่อมฉันคอยเฝ้าอยู่ข้างพระวรกายอยู่นะเพคะ”
จวินฉีเซิ่งทรงพยักพระพักตร์เล็กน้อยแล้วแนบพระเศียรไว้ที่หน้าอกของหยินซวงซวง แม้ว่าจะสงบลงแล้ว เพียงแต่ว่าก็บรรทมไม่หลับอีกแล้ว
วันนี้ฟ้ายังไม่สาง กู้ชิวเหลิ่งก็ได้เริ่มแต่งกายแล้ว เดิมทีหน้าตาของร่างกายนี้ก็งดงามมากมายอยู่แล้ว และก็ไม่ต้องการการปรุงแต่งใดๆอีก เพียงแต่ว่าร่างกายค่อนข้างผอมแห้งแรงน้อย หน้าตาก็เย็นชาเกินไป
“จวินฉีเฉิง พวกเราจะได้พบกันในเร็วๆนี้แล้ว”
มุมปากของกู้ชิวเหลิ่งยกขึ้นฉายรอยยิ้มขึ้น รอยยิ้มนั้นราวกับน้ำแข็งบนดวงจันทร์ในเดือนสิบสอง ซึ่งทำให้ผู้คนเนื้อตัวสั่นเทา
ขณะที่จูเอ๋อร์เข้ามา กู้ชิวเหลิ่งก็ได้เตรียมตัวพร้อมแล้ว และจูเอ๋อร์ก็กล่าวว่า “ที่ด้านนอกนายท่านและฮูหยินใหญ่ได้ขึ้นเกี้ยวแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูอยู่ที่เกี้ยวอันสุดท้าย คุณชายใหญ่รออยู่ที่หน้าประตูแล้วเจ้าค่ะ”
“ท่านพี่? เขารอสิ่งใดอยู่ที่หน้าประตู?”
จูเอ๋อร์กล่าวว่า “แน่นอนว่ารอคุณหนูอยู่เจ้าค่ะ! เปียนเจียงที่อยู่ข้างกายคุณชายใหญ่บอกว่า คุณชายใหญ่เกรงว่าคุณหนูผู้เดียวจะรู้สึกขลาด ดังนั้นจะไปเป็นเพื่อนพร้อมกับคุณหนู จะไม่ไปพร้อมกันกับนายท่านฮูหยินใหญ่และคุณหนูใหญ่แล้วเจ้าค่ะ”
กู้ชิวเหลิ่งหยุดเลิกคิ้ว กู้ชิวถางเป็นคนตรงไปตรงมาและปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดี แต่ว่าในจวนโหวแห่งนี้ นิสัยที่ดีไร้เดียงสาเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะรักษาเอาไว้ได้นานแค่ไหน
กู้ชิวเหลิ่งลุกยืนขึ้น ในขณะที่เดินออกไปนอกประตู ดวงอาทิตย์ได้ส่องมาที่ร่างของนาง ไห่ถังที่อยู่บนชุดกระโปรงสีแดงยาวราวกับว่าจะมีชีวิตขึ้นมาเช่นนั้น ผลัดให้ผิวของกู้ชิวเหลิ่งนั้นขาวขึ้นเป็นพิเศษ
กู้ชิวเหลิ่งไม่เคยแต่งหน้าเลย และไม่เคยจงใจแต่งกายมาก่อน ชุดสีแดงสดนี้ที่สวมอยู่บนร่างกายของกู้ชิวเหลิ่ง ราวกับถูกห่อด้วยเปลวไฟที่ลุกโชนและโลหิตแดงสดเช่นนั้น ทำให้ผู้คนตาเป็นประกายอดที่จะแดงขึ้นมาไม่ได้
จูเอ๋อร์กล่าวด้วยรอยยิ้มเต็มทั้งใบหน้าว่า “เดิมทีคิดว่าคุณหนูสวมชุดสีเขียวครามจึงจะงดงามที่สุด คิดไม่ถึงว่าสวมชุดกระโปรงสีแดงนี้จะงดงามยิ่งกว่าอีกเจ้าค่ะ!”
กู้ชิวเหลิ่งเพียงแค่ยิ้ม แม้ว่าอวี่เหวินเจี๋ยจะบอกให้นางว่าอย่าได้โดดเด่นเกินไป แต่ว่านางไม่ฟังหรอก งานเลี้ยงแห่งแคว้นเป็นโอกาสที่ดีที่สุด หากว่าไม่ไขว่คว้าในงานเลี้ยงแห่งแคว้น เช่นนั้นก็จะมีโอกาสได้ออกจากประตูใหญ่ของจวนโหวในครั้งหน้าได้ยากแล้ว
กู้ชิวถางได้รออยู่ตรงหน้าประตูมาระยะหนึ่งแล้ว ขณะที่กู้ชิวเหลิ่งออกไปกู้ชิวถางก็ตกตะลึงเล็กน้อย เขายังไม่เคยเห็นกู้ชิวเหลิ่งแต่งกายเช่นนี้มาก่อน
ชุดเกาะอกสีแดงสดเผยให้เห็นกระดูกไหปลาร้าอันงดงามตระการตา ใบหน้าราวกับดอกไม้อันเยือกเย็น ริมฝีปากแดงฟันขาวสะอาด ผมเผ้าดังถูกสาดด้วยน้ำหมึก ปิ่นปักผมดอกไห่ถังหยกสีขาวหนึ่งชิ้น ทำให้ผู้คนอดที่จะชื่นชมไม่ได้ หากไม่ใช่ว่ากู้ชิวเหลิ่งค่อนข้างร่างเล็ก บางทีแม้แต่กู้ชิวเซียงก็อาจจะไม่สามารถเทียบได้
“ท่านพี่ ลำบากท่านแล้ว”
น้ำเสียงของกู้ชิวเหลิ่งราบเรียบราวกับน้ำ ได้ทลายสายตาของกู้ชิวถางลง
กู้ชิวถางเกาด้านหลังศีรษะอย่างขวยเขินแล้วกล่าวว่า “ไม่ลำบากหรอก หลายปีมานี้อยู่ในสนามรบจนชินแล้ว ไม่ง่ายเลยที่จะมีน้องสาวที่น่ารักคนหนึ่ง แน่นอนว่าพี่จะต้องคุ้มกันให้ปลอดภัยอยู่แล้ว”
หลังจากที่กู้ชิวถางเข้ามาในเมืองหลวง ก็ยังไม่เคยเห็นหญิงงามเช่นนี้มาก่อน นอกจากกู้ชิวเซียงแล้ว กู้ชิวเยว่นับว่าเป็นหญิงงามระดับกลางๆคนหนึ่ง กู้ชิวเหลิ่งคุ้นชินกับความสง่างามที่ราบเรียบและไม่ต้องพูดถึงว่าโดดเด่นเพียงใด จนถึงวันนี้ที่กู้ชิวเหลิ่งสวมชุดกระโปรงสีแดงสดอันโดดเด่นนี้ เขาถึงได้รู้สึกว่าอะไรที่เป็นความงดงามตระการตา ช่างเหมือนกับสตรีผู้นั้นที่เห็นที่ด้านนอกของหอคอยเมืองแคว้นฉีในขณะที่เขาเป็นรองแม่ทัพเมื่อสองสามปีก่อน
แม่ทัพหญิงอันดับหนึ่งแห่งแคว้นฉีมู่หรงชิว ชั่วขณะหนึ่งนั้น กู้ชิวถางยังนึกว่าได้พบเห็นสตรีในตำนานผู้นั้นเข้าอีกครั้งเสียแล้ว
กู้ชิวเหลิ่งพยักหน้าขอบคุณ จากนั้นจึงขึ้นไปบนรถม้า ตั้งแต่เมื่อคืนนี้นางได้ลับมีดสั้นอยู่ตลอด หากว่าเป็นไปได้นางต้องการหมายเอาชีวิตของจวินฉีเซิ่งด้วยรอยแผลหนึ่งจริงๆ ทว่าว่าไม่ได้ นางเพียงแค่คิดว่าท่านพ่อและพี่ชายของตนถูกปรักปรำจนสิ้นลมอย่างไร ตนเองถูกหักหลังอย่างไร เด็กในครรภ์ถูกทำแท้งเช่นไร จากนั้นเหตุใดตนจึงไม่ตั้งครรภ์ บวกกับความเจ็บปวดของการหักสิบนิ้วและถูกกรอกสารตะกั่วพิษ นางก็ไม่สามารถปล่อยให้จวินฉีเซิ่งตายไปอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้
นางต้องการให้จวินฉีเซิ่งมนทุกข์ทรมานเป็นร้อยเป็นพันเท่าอยู่บนความเจ็บปวดของนาง รวมถึงมู่หรงอี๋ด้วย!
กู้ชิวเหลิ่งถูกรถม้าที่หยุดลงกะทันหัน ปลุกให้ตื่นขึ้นจากความทรงจำในอดีต
เกี้ยวได้เข้าไปในตรอกของวังหลวงถึงได้หยุดลง หนทางที่เหลืออยู่เป็นขันทีและสาวใช้ในวังที่จะนำทางไป
ผู้คนมากมายมาถึงที่ตำหนักกระดิ่งทองแล้ว หญิงและชายนั่งแยกกันอยู่ทางซ้ายและขวา นอกจากสามีภรรยาแล้ว ฝ่าบาทอวี้ฉือกงและเซ่อเจิ้งหวางยังไม่มาถึง
กู้ชิวถางเอ่ยขึ้นมาว่า “หลังจากที่เข้าไปแล้วเจ้าก็นั่งอยู่กับท่านพี่ ความสัมพันธ์ของเจ้ากับเซียงเอ๋อร์ไม่ดีนัก นั่งด้วยกันเกรงว่าจะเกิดเรื่องได้”
“เจ้าค่ะ”
กู้ชิวเหลิ่งก็ไม่ได้ปฏิเสธ ในสถานการณ์เช่นนี้ นางไม่ต้องการที่จะนั่งกับกู้ชิวเซียงจริงๆ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาใหม่สอดแทรกขึ้นมา
ทันทีที่เดินถึงตรงทางเข้าตำหนัก กู้ชิวเหลิ่งก็เห็นร่างที่คุ้นเคยนั้นเข้า ด้านหลังของจวินฉีเซิ่งตามด้วยสตรีหน้าตาสะสวยผู้หนึ่ง และเขากำลังเดินไปที่พระตำหนักด้วยท่าทางกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวา
กู้ชิวถางสังเกตเห็นว่ากู้ชิวเหลิ่งที่อยู่ข้างกายกำลังจ้องมองไปยังชายที่อยู่ด้านนอกพระตำหนัก จึงได้ถามว่า “น้องหญิงกำลังมองดูอะไรอยู่?”
กู้ชิวเหลิ่งก็ไม่ได้แสดงความผิดปกติใดๆแม้แต่น้อยแล้วกล่าวว่า “ท่านพี่รู้จักคนผู้นี้หรือเปล่าเจ้าคะ? เสื้อผ้าบนร่างกายของเขาช่างแปลกประหลาดเสียจริง”
กู้ชิวถางรู้ว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้กู้ชิวเหลิ่งไม่ได้ก้าวออกจากจวนโหวเลย รู้สึกว่าเป็นธรรมดาที่กู้ชิวเหลิ่งจะไม่รู้จักเสื้อผ้าอาภรณ์ของแคว้นฉี จึงได้กล่าวว่า “นี่คือเสื้อผ้าของแคว้นฉี ดูจากท่าทางของพวกเขา น่าจะเป็นคณะทูตของแคว้นฉี ผู้นำน่าจะเป็นฮ่องเต้แห่งแคว้นฉี”
กู้ชิวเหลิ่งยิ้มจางๆ สายตาได้มองไปยังสตรีผู้นั้นราวกับว่าไม่มีสิ่งใด “พี่สาวผู้นั้นที่อยู่ข้างกายของพระองค์ช่างงามนัก ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดกัน”
กู้ชิวถางแจกแจงความสับสนของกู้ชิวเหลิ่งทีละข้อๆโดยกล่าวว่า “โดยทั่วไปในงานเลี้ยงแห่งแคว้น ฮ่องเต้จะทรงนำพระสนมที่โปรดปรานมาด้วยผู้หนึ่ง บางทีนางอาจจะเป็นพระสนมผู้หนึ่งของฮ่องเต้แคว้นฉีหน่ะ”
กู้ชิวเหลิ่งไม่ได้มองไปยังจวินฉีเซิ่งที่เดินเข้าไปในพระตำหนักแล้ว ระยะเวลาสามปีได้เปลี่ยนแปลงไปมากมาย บางทีผ่านไปสามปีแล้วมู่หรงอี๋ก็ไม่เป็นที่โปรดปรานอีกแล้ว ก็ถูก แม้ว่าใบหน้าจะงดงามเพียงใด ก็ไม่สามารถยืนหยัดต่อกาลเวลาได้ มองนานแล้วบุรุษก็จะรู้สึกเบื่อหน่าย ส่วนสตรีผู้นี้ที่อยู่ข้างกายจวินฉีเซิ่งในตอนนี้ ยังไม่เท่าหนึ่งในสิบของมู่หรงอี๋เลย
กู้ชิวเหลิ่งเดินตามกู้ชิวถางเข้าไปในพระตำหนัก เซียวอวิ๋นเซิงเห็นกู้ชิวเหลิ่งตั้งแต่แรกเลย และเผยรอยยิ้มให้กับกู้ชิวเหลิ่งทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนา