ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 86 เพียงเพราะ......ความรู้ตื้นเขิน
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 86 เพียงเพราะ……ความรู้ตื้นเขิน
จู่ๆดวงตาของกู้ชิวเหลิ่งก็หันไปทางจวินฉีเซิ่ง มองสบตากับจวินฉีเซิ่ง ณ วินาทีนั้น หัวใจจวินฉีเซิ่งราวกับถูกโจมตีอย่างรุนแรง ทั่วทั้งร่างกายราวกับถูกไฟดูด ดวงตาที่มืดมิดนั่นไม่มีอะไรเลย ดำมืดราวกับคนตายคนหนึ่ง
นั่นคือสายตาที่มู่หรงชิวมองเขา หลังจากที่มู่หรงชิวตายไปแล้ว สีหน้าแววตาเพียงอย่างเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่
หยินซวงซวงมองสังเกตจวินฉีเซิ่ง ดึงแขนเสื้อของจวินฉีเซิ่งเบาๆ กล่าวเสียงแผ่วเบา: “ฝ่าบาทกำลังมองอะไรอยู่?”
จวินฉีเซิ่งได้สติกลับมา ตอนที่มองไปทางกู้ชิวเหลิ่งอีกครั้ง กู้ชิวเหลิ่งก็ไม่ได้มองดูเขาแล้ว แต่กำลังโค้งคำนับอย่างเคารพนบนอบ กล่าวว่า: “หม่อมฉันกู้ชิวเหลิ่ง ร่ายรำเพลงกระบี่”
อวี่เหวินหวายยิ้มเย้ยหยันออกมาอย่างเย็นชา: “ร่ายรำกระบี่? เมื่อครู่นี้เจ้าไม่เห็นหรือว่าคุณหนูซูทำไปแล้ว? ในเมืองหลวงแห่งนี้ การร่ายรำกระบี่ของคุณหนูซูหากจะจัดอยู่ในอันดับสอง ก็ไม่มีใครกล้าอยู่อันดับหนึ่งอย่างแน่นอน!”
กู้ชิวเหลิ่งยิ้มออกมาเล็กน้อย กล่าวว่า: “ท่านอ๋องหกพูดเล่นแล้ว หม่อมฉันเทียบไม่ได้กับการร่ายรำกระบี่ของคุณหนูซู ดังนั้นจึงร่ายรำเพลงกระบี่ ไม่ได้มีเจตนาจะเปรียบเทียบเลย”
“เพลงกระบี่? ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าอะไรคือเพลงกระบี่”
มุมปากของกู้ชิวเหลิ่งแฝงไปด้วยรอยยิ้ม: “ท่านอ๋องไม่เคยได้ยินมาก่อน นั่นเป็นเพียงเพราะว่า……ความรู้ตื้นเขิน”
“เจ้า!”
เซียวอวิ๋นเซิงส่ายพัดในมือ ส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า: “เฮ้อ แม้แต่เพลงกระบี่ก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อน ต่อไปท่านอ๋องหกอย่าไปที่สถานเริงรมย์พวกนั้นอีกเลยจะดีกว่า พูดออกมา ข้ายังรู้สึกขายหน้าแทนท่านเลย!”
อวี่เหวินหวายกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา: “แต่ไหนแต่ไรเซียวโหวเย๋น้อยไม่เข้าใกล้สตรี ทำไมตอนนี้ถึงกับออกหน้าแทนบุตรีของอนุตัวเล็กๆคนหนึ่งเช่นนี้ได้? หากจะให้ข้าพูด ท่านกับกู้ชิวเหลิ่งคนนี้คงคบ……”
ถ้วยสุรากระแทกลงไปบนโต๊ะอย่างแรง ในตำหนักไม่มีเสียงใดๆแล้ว ทุกคนต่างก็ก้มหน้าลง รู้สึกวิตกกังวลแทนอวี่เหวินหวาย
ในดวงตาของอวี้ฉือจ้านมีแสงเย็นยะเยือกรางๆ มองอวี่เหวินหวายไปเพียงครู่หนึ่ง บนหน้าผากของอวี่เหวินหวายก็มีเหงื่อเย็นไหลออกมาแล้ว
เวลานี้อวี่เหวินเจี๋ยก็วางถ้วยสุราที่อยู่ในมือลงเช่นกัน กล่าวว่า: “น้องหก ยังไม่รีบขอโทษคุณหนูรองอีก?”
การทำลายชื่อเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งในงานเลี้ยงแห่งแคว้นสถานที่แบบนี้ก็เท่ากับการเอาชีวิตของหญิงสาว เคยมีคนพาดพิงถึงคุณหนูในห้องหับท่านหนึ่งกับคุณชายลูกขุนนางชนชั้นสูงท่านหนึ่งแอบคบหากันเป็นการส่วนตัว หลังจากนั้นจนกระทั่งอายุยี่สิบสามปีหญิงสาวคนนี้ก็ยังไม่สามารถแต่งงานออกไปได้ โดนดูถูกเหยียดหยามสารพัด สุดท้ายตัดสินใจผูกคอตาย
อวี่เหวินหวายรีบร้อนลุกขึ้นมา กล่าวว่า: “เพราะข้าโพล่งออกมาโดยไม่คิด หวังว่าคุณหนูรองจะให้อภัย”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า: “หม่อมฉันอ่อนแอธรรมดา เทียบกับความงามล่มชาติของพี่ใหญ่มิได้ ท่านอ๋องหกมีใจปกป้องพี่ใหญ่ ก็เป็นเพราะใจที่รักในความงาม เพียงแต่ว่าหม่อมฉันกับเซียวโหวเย๋น้อยไม่ได้คุ้นเคยกัน หวังว่าอย่าทำไปให้เซียวโหวเย๋น้อยต้องมาเดือดร้อนด้วยเลย”
ขอเพียงเป็นคนของต้าเยียน ล้วนรู้ว่าสาเหตุที่อวี่เหวินหวายกับกู้ชิวเหลิ่งยกเลิกการหมั้นหมายเป็นเพราะกู้ชิวเหลิ่ง และเมื่อครู่นี้ที่อวี่เหวินหวายโจมตีกู้ชิวเหลิ่งทางคำพูดพวกนี้ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเพราะต้องการระบายความโกรธให้กู้ชิวเซียง และก็เพื่อลดคุณค่าของกู้ชิวเหลิ่งให้ต่ำ ยกระดับฐานะของกู้ชิวเซียงให้สูง กู้ชิวเหลิ่งพูดออกมาเช่นนี้ คนที่นั่งอยู่ก็ยิ่งรู้ดีแก่ใจมากยิ่งขึ้น พากันคาดเดาความสัมพันธ์ระหว่างอวี่เหวินหวายกับกู้ชิวเซียงกันอย่างลับๆ
สีหน้าของกู้ชิวเซียงเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางกับอวี่เหวินหวายนั่นคือฝ่ายชายมีใจ ฝ่ายหญิงไม่มีใจต่างหาก แต่ว่าหลังจากการพูดเช่นนี้ของกู้ชิวเหลิ่ง กลับดูเหมือนว่านางกับอวี่เหวินหวายมีความสัมพันธ์กันอย่างนั้นแหละ แล้วอวี่เหวินเจี๋ยจะคิดอย่างไร?
ในตอนที่กู้ชิวเซียงมองไปทางอวี่เหวินเจี๋ย สายตาของอวี่เหวินเจี๋ยกำลังมองดูกู้ชิวเหลิ่งอย่างพร่ามัว ไม่เคยเห็นนางอยู่ในสายตามาก่อนเลย
สายตาของกู้ชิวเหลิ่งเหลือบมองไปทางองค์หญิงอานไท่ เห็นสีหน้าท่าทางขององค์หญิงอานไท่ไม่เป็นธรรมชาติจริงๆ เห็นได้ชัดว่าจิตใจไม่สงบเพราะคำพูดเมื่อครู่นี้ของกู้ชิวเหลิ่ง
“น้องหก ข้าไม่เคยสอนเจ้าว่าต้องขอโทษอย่างไรหรอกหรือ?”
เสียงของอวี่เหวินเจี๋ยเย็นยะเยือกมากยิ่งขึ้น อวี่เหวินหวายกัดฟันเอาไว้ กำหมัดขึ้นมาโค้งคำนับต่อกู้ชิวเหลิ่งแล้วกล่าวว่า: “เป็นความผิดของข้าเอง ข้าต้องขอโทษคุณหนูด้วย หวังว่าคุณหนูรองจะไม่ถือสาหาความ!”
“หม่อมฉันมิกล้า”
สายตาของจวินฉีเซิ่งเคลื่อนย้ายไปมาบนร่างกายของกู้ชิวเหลิ่งตลอด ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวของกู้ชิวเหลิ่งหรือว่าลักษณะท่าทาง หรือแม้กระทั่งน้ำเสียงการพูด ล้วนเหมือนกับมู่หรงชิวมาก ถ้าหากไม่ใช่เพราะรูปลักษณ์ที่งดงามเกินไป แตกต่างไปจากมู่หรงชิวก่อนหน้านี้อยู่มาก และความสูงกับอายุล้วนไม่สอดคล้องตรงกัน เขาถึงขั้นจะคิดว่ามู่หรงชิวเปลี่ยนตัวตนใหม่ เพื่อจะมาแก้แค้นเขาแล้วด้วยซ้ำ
ไม่มีเสียงตีกลอง กู้ชิวเหลิ่งยืนอยู่ใจกลางตำหนัก ถือกระบี่ที่สวยงามและตรงราวกับกระบอกพู่กัน ส่วนสูงที่ไม่สูง แต่กลับทำให้คนรู้สึกว่าไม่สามารถละเลยได้เลย
“ฝนหยุด ยืนพิงบันได มองทางไกลด้วยความโกรธ
เงยหน้า กู่ร้องไปยังท้องฟ้า จิตใจสั่นสะเทือนรุนแรง
จับทัพจับศึกระยะไกล สร้างคุณงามความชอบเนิ่นนาน ดั่งธุลีดิน
วันเวลาไม่เคยรอใคร อย่าให้ชราไป จนเสียใจเศร้าโศก!
ความอัปยศ ยังมิได้ชำระล้าง
ความเคียดแค้นในอก เมื่อใดจะดับสิ้น
ขับรถศึกไปโจมตีแก้แค้น เหยียบย่ำจนเป็นพื้นราบ
รองท้องด้วยเนื้อศัตรู กระหายเลือดศัตรูมาแทน
รอวันที่กอบกู้แผ่นดิน ค่อยกลับกรุงทูลราชา!”
เสียงที่เย็นชาคาดเดาไม่ได้ดังก้องไปทั่วทั้งตำหนัก จู่ๆเซียวอวิ๋นเซิงก็หยิบขลุ่ยออกมาจากเอว เป่าไปตามท่วงทำนองที่กู้ชิวเหลิ่งขับร้องออกมา
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง จู่ๆกู้ชิวเหลิ่งก็โบกสะบัดกระบี่ยาวที่อยู่ในมือ ราวกับสายรุ้งเบาบาง ปลายกระบี่ปาดผ่านไปในอากาศ ปาดไปทางจวินฉีเซิ่งอย่างเย็นชา สายตานั่นเป็นเหมือนกับภูตผีวิญญาณ รายล้อมอยู่รอบกายของจวินฉีเซิ่ง ทำให้จวินฉีเซิ่งไม่สามารถขยับเขยื้อนได้
กู้ชิวเหลิ่งร่ายรำกระบี่รอบหนึ่ง กล่าวร้องรอบหนึ่ง: “ความอัปยศ ยังมิได้ชำระล้าง ความเคียดแค้นในอก เมื่อใดจะดับสิ้น”
เสียงค่อยๆไกลออกไป ทำให้จวินฉีเซิ่งนึกถึงหลายปีก่อนขึ้นมาในทันใด มู่หรงชิวเคยเช็ดกระบี่อยู่ในห้อง กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาตามปกติ: “หากว่าข้าคือแม่ทัพ จะไม่มีทางฟังคำสั่งฮ่องเต้ที่อ่อนแอเด็ดขาด ข้าจงรักภักดีต่อท่าน ถ้าหากมีวันหนึ่งที่ท่านทรยศต่อข้า ถึงแม้ว่าจะกลายเป็นผีที่ตายอย่างไม่เป็นธรรม ข้าก็จะลากท่านลงนรกไปพร้อมกันอย่างแน่นอน”
ถึงแม้ว่าจะตาย ก็จะลากท่านไปลงนรกพร้อมกัน
ร่างกายแต่ละส่วนของจวินฉีเซิ่งล้วนเกร็งตึงขึ้นมา คำที่กู้ชิวเหลิ่งร้องออกมา เป็นเหมือนกับมนต์สะกด ค่อยๆกลืนกินเขาไปอย่างช้าๆ
ฝู้จื่อโม่มองดูกระบี่ที่กู้ชิวเหลิ่งร่ายรำ และคำที่ร้องออกมาด้วยความสนใจอย่างมาก ถึงแม้ว่าจะไม่คุ้นเคย แต่กลับรู้สึกว่าน่าสนใจอย่างมาก จากนั้นก็แย่งกู่ฉินมาจากนักดนตรี บรรเลงเพลงขึ้นมาตามเสียงขลุ่ยของเซียวอวิ๋นเซิงด้วยความสนใจมากยิ่งขึ้น
“รองท้องด้วยเนื้อศัตรู กระหายเลือดศัตรูมาแทน”
ทันใดนั้นอวี้ฉือจ้านก็ลอยตัวไปยังใจกลางตำหนัก ถือกระบี่เย็นเอาไว้ในมือเล่มหนึ่ง ตะโกนบทกวีประโยคนี้ออกมา
อาจจะเป็นเพราะรู้สึกว่ามันน่าสนใจอย่างมาก ถึงกับต่อสู้กับกู้ชิวเหลิ่งขึ้นมา
เพลงกระบี่ของกู้ชิวเหลิ่งบีบคั้นเข้าไปทีละก้าว ไม่ให้อีกฝ่ายได้ล่าถอยเลยแม้แต่น้อย และอวี้ฉือจ้านก็ตอบโต้กลับไปอย่างไม่ยอมแพ้เลยแม้แต่น้อย เห็นเพียงคนที่ลอยตัวขึ้นมาไม่ได้มีเพียงอวี้ฉือจ้านเท่านั้น ยังมีกู้ชิวเหลิ่งด้วย
สีม่วงจื่อถังกับสีแดงเข้มริ้วหนึ่งร่ายรำกระบี่กันไปมาอยู่ในตำหนัก ในหูของทุกคนมีเพียงเสียงที่ดังชัดเจนของอาวุธที่กระทบกันและกัน คิดไม่ถึงว่าจะยอดเยี่ยมมากกว่าเสียงดนตรีทั้งหมด
“รอวันที่กอบกู้แผ่นดิน ค่อยกลับกรุงทูลราชา!”
กระบี่ของกู้ชิวเหลิ่งกับอวี่ฉือจ้านปะทะกันครั้งสุดท้าย เกิดเป็นเสียงที่แปลกประหลาดขึ้นมา กระบี่ของทั้งสองคนหักไปพร้อมกับเสียงที่ดังขึ้นมา ไม่ว่าใครก็สามารถจินตนาการได้ว่า นี่ต้องใช้แรงกำลังที่มากมายเท่าไหร่