ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 87 หยั่งเชิงซึ่งกันและกัน
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 87 หยั่งเชิงซึ่งกันและกัน
เสียงตอนท้ายของขลุ่ยจบลงอย่างเร่งรีบ และสายกู่ฉินของฝู้จื่อโม่ถึงกับขาดไปหมดในคราวเดียว
อวี้ฉือกงปรบมือชมว่าเยี่ยมเป็นคนแรก กล่าวว่า: “ยอดกวีนิพนธ์! ยอดเยี่ยมมากจริงๆ! เพลงกระบี่ของคุณหนูรองกับเสด็จอาประณีตและงามวิจิตร ช่างยอดเยี่ยมเป็นหนึ่งจริงๆ!”
กู้ชิวเหลิ่งถอยออกไปด้านหลังอย่างเคารพนบนอบ มองดูเศษกระบี่หักที่อยู่บนพื้น กล่าวว่า: “เซ่อเจิ้งหวางกล้าหาญเกรียงไกร หม่อมฉันเพียงแค่อาศัยบารมีเท่านั้น”
ฝู้จื่อโม่โยนกู่ฉินที่อยู่ในมือทิ้งไป กล่าวว่า: “คุณหนูรองอย่าได้ถ่อมตนไปอย่างเด็ดขาด ในต้าเยียนแห่งนี้คนที่สามารถทำให้กระบี่ของเซ๋อเจิ้งหวางหักได้ เจ้าเป็นคนแรกเลย”
อวี้ฉือกงหันหน้ามองไปทางจวินฉีเซิ่ง กล่าวว่า: “ฮ่องเต้ฉี ครั้งนี้ ใครเหนือกว่าขั้นหนึ่งกันแน่?”
จวินฉีเซิ่งมองดูกู้ชิวเหลิ่ง กล่าวว่า: “สนมรักของข้า เทียบมิได้กับคุณหนูท่านนี้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าคุณหนูท่านนี้เป็นบทกวีบทนี้ได้อย่างไร? นี่ควรจะเป็นบทกวีเลื่องชื่อของแคว้นฉีข้า แต่ดูจากเมื่อครู่นี้คุณหนูรวมกระบี่และบทกวีเป็นหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าศึกษาบทกวีของแคว้นข้ามาอย่างลึกซึ้ง”
ทันทีที่คำพูดออกจากปาก ผู้คนที่ดื่มด่ำอยู่กับการร่ายรำเพลงกระบี่ของกู้ชิวเหลิ่งต่างก็ได้สติกันขึ้นมา
ใช่แล้ว กู้ชิวเหลิ่งก็แค่บุตรีอนุของตระกูลกู้คนหนึ่ง ชื่อเสียงในอดีตจะให้แย่แค่ไหนก็แย่เท่านั้น ตอนนี้ถึงกับร่ายรำเพลงกระบี่เป็นยังไม่พอ ยังเป็นบทกวีของแคว้นฉีอีก ถ้อยคำและประโยคที่แม้แต่พวกเขาก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่กู้ชิวเหลิ่งกลับร้องได้อย่างเชี่ยวชาญเช่นนี้ มันทำให้คนอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้จริงๆ
กู้ชิวเหลิ่งเพียงแค่กล่าวออกมาอย่างเคารพนบนอบ: “ถึงแม้หม่อมฉันจะเป็นบุตรีอนุภรรยา แต่ก็เป็นลูกสาวของจวนโหว ท่านพ่อเป็นแม่ทัพ บวกกับหม่อมฉันชื่นชอบบทกลอนและกวีนิพนธ์โบราณมาตั้งแต่เด็ก เคยเห็นบทกวีนี้ในหนังสือเล่มหนึ่ง รู้สึกว่ามันน่าสนใจมาก ดังนั้นจึงเรียบเรียงออกมาเป็นเพลง”
ในใจของจวินฉีเซิ่งยังคงมีความสงสัย กู้ชิวถางก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรจู่ๆฮ่องเต้ฉีท่านนี้ถึงได้สนใจในตัวน้องสาวของตัวเองขึ้นมากะทันหัน รีบร้อนกล่าวว่า: “นี่คือน้องสาวของกระหม่อม กระหม่อมเห็นว่านางมีสติปัญญาไม่เลว ดังนั้นจึงมอบตำราพิชัยสงครามให้นางไปไม่น้อย ใครจะรู้ว่านังหนูคนนี้จะมีพรสวรรค์สูง ยังสามารถเรียบเรียงออกมาเป็นเพลงได้ด้วยตัวเอง”
อวี้ฉือจ้านกล่าวว่า: “ถูกต้อง คุณหนูรองมีพรสวรรค์สูงมาก สมควรได้รับรางวัล”
อวี้ฉือกงพยักหน้า หาได้ยากที่จวินฉีเซิ่งจะยอมอ่อนข้อ ต้องให้รางวัลแน่นอนอยู่แล้ว: “เด็กๆ นำคทายู่อี่ที่ข้าได้รับมาเมื่อวานมาประทานให้แก่คุณหนูรอง และประทานทองคำหนึ่งร้อยตำลึง เป็นขวัญกำลังใจเล็กน้อย”
“หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาท”
สีหน้าของฮูหยินใหญ่กับกู้ชิวเซียงไม่สามารถน่าเกลียดได้มากกว่านี้แล้ว เดิมทีพวกนางจะดูเรื่องน่าขายหน้าของกู้ชิวเหลิ่ง คิดไม่ถึงว่าจะย้อนกลับมาเป็นตัวตลกเสียเอง
สีหน้าที่น่าดูที่สุดก็คืออวี่เหวินหวายแล้ว เมื่อครู่นี้เขาจงใจชมการร่ายรำกระบี่ของซูเมี่ยวเมี่ยวเกินจริง แต่ว่าเมื่อครู่นี้การร่ายรำกระบี่ของกู้ชิวเหลิ่งกลับประณีตและงามวิจิตรกว่ามาก
อวี่เหวินหวายพยายามอยากจะมองหาเงาของหญิงใบ้ที่อ่อนแอและรังแกง่ายคนนั้นกลับมาจากตัวของกู้ชิวเหลิ่ง แต่นอกจากส่วนสูงที่เท่ากันแล้ว บุคลิกภาพทั่วทั้งร่างกายไม่มีส่วนไหนที่เหมือนกันเลย
จวินฉีเซิ่งถูคลึงนิ้วมือ จู่ๆก็เอ่ยปากกล่าวขึ้นมากะทันหัน: “ในฐานะที่เป็นผู้หญิงคุณหนูรองกู้มีพรสวรรค์ในการฝึกยุทธเช่นนี้ หาได้ยากจริงๆ นอกจากนี้ยังศึกษาค้นคว้าบทกวีของแคว้นฉีข้าอย่างลึกซึ้ง ข้าเองก็รู้สึกว่ามันยากมาก เมื่อครู่ได้ยินท่านอ๋องหกพูดขึ้นว่า คุณหนูรองกู้คือบุตรีของอนุภรรยา? ในอดีตเคยออกเดินทางไกลหรือไม่?”
กู้ชิวเหลิ่งโค้งคำนับเล็กน้อย กล่าวว่า: “หม่อมฉันไม่เคยออกเดินทางไกลเลย”
“เมื่อครู่นี้ข้าดูการร่ายรำกระบี่ของคุณหนูรองกู้ เกือบจะคิดว่าเป็นแม่ทัพหญิงกลับชาติมาเกิด และเห็นท่วงท่าเมื่อครู่นี้ของคุณหนูรองกู้ ทำให้ข้านึกถึงแม่ทัพหญิงแห่งแคว้นฉีข้าท่านหนึ่งขึ้นมา ซึ่งก็เป็นวีรสตรีท่านหนึ่งเช่นกัน”
กู้ชิวเหลิ่งเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่หน้าที่ก้มเอาไว้กลับไม่เงยขึ้นมาเลย: “ฮ่องเต้ฉีล้อเล่นแล้ว หม่อมฉันก็แค่หญิงสาวในห้องหับคนหนึ่ง ร่ายรำกระบี่เป็นเล็กน้อยเท่านั้น จะสามารถเปรียบเทียบกับแม่ทัพหญิงได้อย่างไร”
จวินฉีเซิ่งยังคงแอบมองพิจารณากู้ชิวเหลิ่งด้วยความสงสัย ถึงแม้รูปร่างหน้าตาของกู้ชิวเหลิ่งกับมู่หรงชิวจะดูเหมือนกับคนสองคนกันเลย แต่ไม่รู้ว่าทำไม ตั้งแต่กู้ชิวเหลิ่งเริ่มร่ายรำกระบี่ร้องเพลง เขาก็รู้สึกว่าทุกท่วงท่าทุกการเคลื่อนไหวของกู้ชิวเหลิ่งล้วนเหมือนกับมู่หรงชิว
อวี้ฉือกงมองดูสายตาของอวี้ฉือจ้านครู่หนึ่ง ก็รู้แล้วว่าอวี้ฉือจ้านรู้สึกว่าคำถามของจวินฉีเซิ่งมากเกินไปแล้ว ดังนั้นจึงเอ่ยปากกล่าวว่า: “ฮ่องเต้ฉีก็แค่พูดไปเช่นนั้นเองแหละ คุณหนูรองกู้ไม่จำเป็นต้องคิดมาก สามารถถอยออกไปก่อนได้เลย”
กู้ชิวเหลิ่งโค้งคำนับ กิริยามารยาทครบทุกอย่าง กล่าวว่า: “เพคะ”
กู้ชิวเซียงเก็บซ่อนหมัดที่กำเอาไว้แน่นใต้แขนเสื้อ ท่วงท่าอันสง่างามของงามล้มเมืองเมื่อครู่นี้ของนาง กลับถูกกู้ชิวเหลิ่งช่วงชิงไปในระยะเวลาอันสั้น
กู้ชิวเหลิ่งนั่งอยู่ด้านข้างของกู้ชิวถาง รินสุราให้กับตัวเองถ้วยหนึ่ง ได้ยินเพียงกู้ชิวถางที่อยู่ด้านข้างกล่าวชมเชยว่า: “พี่ไม่ได้กลับบ้านมานาน ถึงกับไม่รู้ว่าน้องสาวของตนเองล้วนเก่งกาจเช่นนี้แล้ว”
กู้ชิวเหลิ่งเพียงแค่ยิ้มออกมาเล็กน้อย กล่าวว่า: “เพราะท่านพี่สอนได้ดีต่างหาก”
ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ กู้ถางก็ยังอดที่จะประหลาดใจไม่ได้ เขาสอนกู้ชิวเหลิ่งไปเพียงไม่กี่วันเท่านั้น แต่ความก้าวหน้าของกู้ชิวเหลิ่งกลับเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ไม่เหมือนกับเด็กผู้หญิงที่มีอายุสิบสี่ปีคนหนึ่งเลยสักนิด และการร่ายรำกระบี่นี้ก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถฝึกฝนได้ในเวลาอันสั้นอย่างแน่นอน แต่ว่ากู้ชิวเหลิ่งฝึกฝนไปเพียงแค่ไม่กี่วันเท่านั้น ก็สามารถลอยตัวฟันกระบี่แล้ว ตอนที่เขายังเป็นเด็กหนุ่มติดตามท่านอาในตอนนั้นกลับเรียนไปปีกว่า
หลิวเหล่าฮูหยินของตระกูลฉินนั่งอยู่ในที่นั่ง มองดูด้วยสายตาเย็นชาอยู่สักพักหนึ่งแล้ว เพียงแต่ว่านางไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรเลยแม้แต่ครึ่งคำ
ฉินเจิ้งเป่ากล่าวว่า: “ลูกสาวของกระหม่อมฉินโม่เอ๋อร์ปีนี้อายุครบสิบห้าพอดี แต่ว่าร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงมาตั้งแต่เด็ก ร่ายรำไม่เป็น แต่วาดภาพได้”
อวี้ฉือกงกล่าวว่า: “ในเมื่อฉินกั๋วกงพูดเช่นนี้ ก็ขอเชิญคุณหนูของตระกูลฉินออกมาวาดภาพสักภาพหนึ่ง จะได้ให้พวกเราทุกคนเปิดหูเปิดตากัน”
ฉินโม่เอ๋อร์นั่งอยู่บนตำแหน่งที่ไม่สะดุดตา วันนี้กู้ชิวเซียงเห็นชัดเจนแล้ว ครั้งก่อนตอนที่ไปตระกูลฉิน ฉินโม่เอ๋อร์สวมผ้าคลุมหน้าบางสีขาว เมื่อดูตอนนี้ กลับสวมชุดกระโปรงยาวสีขาวล้วนทั้งชุด ลักษณะท่าทางของรูปร่างอ่อนช้อยสง่างาม ราวกับฉางเอ๋อที่อยู่บนสวรรค์ รูปร่างหน้าตางามสะอาดหมดจด ราวกับหยกขาวไร้ที่ติด โดยเฉพาะหน้าตาที่งดงาม ทำให้คนมองแล้วก็รู้สึกว่าเป็นหญิงสาวที่อ่อนโยนมีคุณธรรมคนหนึ่ง
ฉินโม่เอ๋อร์ยกพู่กันขึ้นมา ร่างหมึกไปบนม้วนภาพ ไม่นานเท่าไหร่ บนม้วนก็มีหญิงภาพหญิงสาวที่งดงามมากคนหนึ่งปรากฏขึ้นมา ยังมีดอกกล้วยไม้ที่งามสง่าสองสามดอกก็ถูกประดับประดาอยู่ใต้ม้วนภาพ
อวี้ฉือกงมองไป แวบแรกที่เห็นก็มองคนที่อยู่ในม้วนภาพออกแล้ว อดที่จะมองไปทางเซียวหว่านชิงไม่ได้ มุมปากของเซียวหว่านชิงมีรอยยิ้ม เห็นได้ชัดว่าชอบภาพนี้มาก
“วาดหว่านเฟยหรือ?”
ฉินโม่เอ๋อร์กล่าวว่า: “ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันอยู่ในห้องหับมักจะได้ยินว่าหว่านเฟยเหนียงเหนียงมีคุณธรรมและบารมีสูงส่ง ดังนั้นจึงยึดหว่านเฟยเหนียงเหนียงเป็นที่เคารพนับถืออยู่เสมอ ตั้งใจวาดภาพนี้ขึ้นมา มอบให้หว่านเฟยเหนียงเหนียงโดยเฉพาะ หวังว่าหว่านเฟยเหนียงเหนียงจะคงความอ่อนเยาว์ ความงามคงอยู่ตลอดไป”
บนใบหน้าของอวี้ฉือกงก็แฝงรอยยิ้มขึ้นมาเช่นกัน ในใจของเขามีความรักที่พิเศษต่อเซียวหว่านชิงอยู่ตลอด เห็นภาพนี้แล้ว ในใจก็ยิ่งมีความสุขมากยิ่งขึ้น กล่าวว่า: “มีใจแล้ว ภาพนี้ข้าจะรับไว้แทนหว่านเฟย เด็กๆ ประทานขวดแก้วอาเกตคู่หนึ่ง มอบให้กับคุณหนูฉิน”
“หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาท ขอบพระทัยหว่านเฟยเหนียงเหนียง”
ฉินโม่เอ๋อร์ก้มหน้าเอาไว้ ตอนที่ถอยลงไป ในดวงตามีประกายที่แปลกประหลาดรางๆ
กู้ชิวเหลิ่งมองดูเงาร่างของฉินโม่เอ๋อร์ จู่ๆก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่เป็นมงคลขึ้นมาอย่างหนึ่ง เพียงแต่ว่าความรู้สึกเช่นนี้มีเพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น กู้ชิวเหลิ่งก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
งานเลี้ยงค่อยๆน่าเบื่อขึ้นมา กู้ชิวเหลิ่งวางถ้วยสุราที่อยู่ในมือลง กล่าวว่า: “ท่านพี่นั่งอยู่ที่นี่ไปก่อน น้องออกไปเดินเล่นเรื่อยเปื่อยครู่หนึ่ง”