ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 93 ยิงธนูนัดเดียวได้นกสองตัว
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 93 ยิงธนูนัดเดียวได้นกสองตัว
ทำกระทำเช่นนี้ของอวี้ฉือจ้านนั้น สามารถอธิบายได้ว่าเป็นการยิงธนูนัดเดียวได้นกสองตัว
ในใจของกู้ชิวเหลิ่งรู้สึกนับถือและชื่นชมยิ่งนัก แม้ว่านางก็เคยคิดว่า หากแสดงกองกำลังทหารและม้าของต้าเยียนบนพื้นที่ล่าสัตว์ คงสามารถกดดันซีจิ้งหน่อยได้แน่ แต่แรงกดดันของอวี้ฉือจ้านนั้นดีมากกว่าที่กู้ชิวเหลิ่งคิดไว้มากนัก เพราะกู้ชิวเหลิ่งคิดไม่ถึงว่า ค่ายกลที่คอยทำให้แคว้นฉีภาคภูมิใจนั้น ได้ถูกอวี้ฉือจ้านทำลายไปอย่างง่ายดายแล้ว
กู้ชิวถางตะโกนว่า:”เก็บขบวน! ”
“ขอรับ! แม่ทัพ! ”
อวี้ฉือกงอดตบมือไม่ได้ และพูดว่า:”ยอดเยี่ยม นี่เสด็จอาเป็นคนจัดออกแบบเองหรือ?”
อวี้ฉือจ้านยืนเอามือไขว้หลัง ลูบกระบี่สั้นข้างเอวและพูดว่า:”ทูลฮ่องเต้ เดิมทีกระหม่อมคิดจะทำเอง แต่การจัดและออกแบบในครั้งนี้ทำโดยแม่ทัพกู้ กระหม่อมมิได้เข้าไปยุ่งด้วยเลย”
สีหน้าของกู้ชิวถางตกตะลึงเล็กน้อย นี่เป็นภาพวาดค่ายกลที่อวี่เหวินเจี๋ยฝากอวี้ฉือจ้านส่งมาชัดๆ เขาให้ทหารชั้นยอดที่สุดของเขาฝึกฝน แต่ทำไมตอนนี้กลับกลายเป็นเขาทำละ?
“ออ? ที่แท้เป็นแม่ทัพกู้นี่เอง ไม่คิดว่าแม่ทัพกู้อายุยังน้อย แต่กลับคุ้นกับค่ายกลเช่นนี้? ”
กู้ชิวถางได้ยินอวี้ฉือกงเอ่ยปาก ก็รีบก้าวไปข้างหน้าและพูดด้วยความเคารพว่า:”กระหม่อม……”
อวี้ฉือจ้านพูดขัดจังหวะ: “แม้ว่าแม่ทัพกู้จะประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ก็ยังเป็นผู้ที่สามารถแบกรับภาระหน้าที่สำคัญของต้าเยียนได้ ค่ายกลในคราวนี้ ข้าดูแล้วก็รู้สึกค่อนข้างไม่เลวนัก ดังนั้นจึงนำมาแสดงให้ทุกคนดู มิทราบว่าฮ่องเต้ฉีรู้สึกเยี่ยงไร?”
จวินฉีเซิ่งจำเป็นต้องสังเกตเห็นกู้ชิวถาง ดูแล้วกู้ชิวถางก็มีอายุเพียงยี่สิบกว่าเท่านั้น อายุเท่าๆเขา หรือไม่ก็อาจน้อยกว่าเขาไปหน่อย แต่กลับสามารถทำลายค่ายกลของตระกูลมู่หรงได้ ซึ่งทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก เดิมทีเขาคิดว่าอวี้ฉือจ้านเป็นคนทำลายมัน แต่คิดไม่ถึงว่าคราวนี้แม้แต่อวี้ฉือจ้านก็ไม่ออกมือเลย แม่ทัพที่ไร้ชื่อเสียงของต้าเยียนคนหนึ่ง แต่กลับทำลายมันลงได้ในเวลาอันสั้น ซึ่งทำให้เขาคาดคิดไม่ถึงปาฏิหาริย์นิ่งนัก
สีหน้าของจวินฉีเซิ่งดูมืดครึ้ม แต่เมื่อเผชิญกับคำถามของอวี้ฉือจ้าน ก็ยังคงพยายามยืนตัวให้ตรงและพูดว่า:”เสาหลักของต้าเยียนนี้ ช่างทำให้คนแปลกหูแปลกตาจริงด้วย ค่ายกลนี้ประณีตและยอดเยี่ยม คาดว่าคงมิได้ทำสำเร็จภายในชั่วข้ามคืนสินะ?”
จู่ๆฝู้จื่อโม่ก็พูดแทรกว่า:”เช่นนี้ฮ่องเต้ฉีคงเดาผิดแล้ว เมื่อสิบวันก่อน แม่ทัพกู้เห็นว่าเซ่อเจิ้งหวางมีใจที่จะฝึกซ้อมกองทัพ ดังนั้นจึงศึกษาค่ายกลของแคว้นอื่นไปบ้าง และภายในครึ่งวันเขาก็คิดหาวิธีทำลายค่ายกลออกได้แล้ว ดังนั้นจึงจัดให้เป็นขบวน ไม่ต้องถึงชั่วข้ามคืน มากที่สุดก็เพียงแค่สามถึงสี่ชั่วยามเท่านั้น ตอนนั้นข้ายังว่าแม่ทัพกู้น่าเบื่อเกินไป เลยเข้าไปก่อกวนไปหลายครั้ง แต่คิดไม่ถึงว่าแม่ทัพกู้ยังสามารถทำภาพวาดนี้ออกมาได้สำเร็จ ข้าช่างรู้สึกนับถือยิ่งนัก!”
ฝู้จื่อโม่พูดอย่างตามใจ ซึ่งทำให้คนฟังแล้วรู้สึกเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ เดิมทีแคว้นอื่นก็แอบพาดพิงถึงแคว้นฉี ยิ่งไปกว่านั้นค่ายกลที่เป็นความภาคภูมิใจของจวินฉีเซิ่งนั้นกลับถูกคนทำลายภายในสาม นี่ยังมีอะไรน่าภาคภูมิใจอีก? ฝู้จื่อโม่กำลังแอบพาดพิงว่ากองทัพของจวินฉีเซิ่งนั้นอ่อนแอไม่ได้เรื่องไม่ใช่อยู่ชัดๆไม่ใช่รึ?
กู้ชิวเหลิ่งแอบยิ้มในใจ หากด้วยน้ำเสียงที่ทำให้คนโกรธของฝู้จื่อโม่นั้น สักวันหนึ่งจวินฉีเซิ่งก็จะคิดหาวิธีกำจัดฝู้จื่อโม่ทิ้งไปด้วยแน่
สีหน้าของจวินฉีเซิ่งแย่ขึ้นเรื่อยๆ อวี้ฉือกงเห็นว่าเสด็จอาของเขาก็กดดันพวกเขาไปพอสมควรแล้ว จึงพูดว่า:”หนึ่งเค่อเพิ่งถึงพอดี และพิธีล่าสัตว์ก็ควรเริ่มขึ้นแล้ว”
ขณะที่พูด อวี้ฉือกงก็ค่อยๆลุกขึ้นและสั่งว่า:”ไป เอาธนูของข้ามา”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีที่อยู่ด้านข้างยื่นธนูมาไว้บนมือของอวี้ฉือกง อวี้ฉือกงก็ดึงเบาๆ ก็เหมือนดั่งธนูที่ออกจากสาย ยิงตรงไปที่กลางฆ้องด้วยความเร็วที่รวดเร็ว
เสียงฆ้องดังขึ้น พิธีการล่าสัตว์ก็เริ่มขึ้น
เซียวอวิ๋นเซิงแอบขี่ม้าไปยังข้างของกู้ชิวเหลิ่ง และกระซิบกับกู้ชิวเหลิ่งว่า: “ให้ข้าพาเจ้าไปเยี่ยมชมดูบรรยากาศของป่าหลวงหรือไม่?”
กู้ชิวเหลิ่งยักคิ้วและพูดว่า:”มีเพียงเซียวโหวเย๋น้อยเท่านั้นที่สามารถเข้าไปในป่าหลวงได้รึ?”
เซียวอวิ๋นเซิงตกตะลึงไปครู่หนึ่งและพูดว่า:”ไม่……ไม่ใช่”
“ในเมื่อเช่นนี้ หม่อมฉันก็ควรเข้าไปพร้อมกับท่านพี่เจ้าคะ ไม่มีเหตุผลที่จะไปขี่ม้ากับชายแปลกหน้าอีก”
ในขณะที่เซียวอวิ๋นเซิงตกตะลึง กู้ชิวเหลิ่งก็ได้เดินไปยังข้างกู้ชิวถางแล้ว
เซียวอวิ๋นเซิงโกรธจนเกือบตกลงจากหลังม้า ชายแปลกหน้า? กู้ชิวเหลิ่งกลับบอกว่าเขาเป็นชายแปลกหน้า?
เขาอยากชี้จมูกกู้ชิวเหลิ่งและถามดูว่า ใครกันที่ส่งทองคำหลายแสนโดยไม่คิดอะไรให้นาง? และใครกันที่เป็นคนให้โรงน้ำชาแก่นาง?
แต่นี่แค่เพียงไม่กี่วัน กู้ชิวเหลิ่งก็บอกว่าเขาเป็นชายแปลกหน้าแล้ว!
เซียวอวิ๋นเซิงโกรธจนกัดฟัน แม้ว่าเขาจะเป็นชายแปลกหน้าก็ตาม แต่ก็คงไม่แปลกหน้าเท่าอวี้ฉือจ้านสินะ? ในความประทับใจของเขา กู้ชิวเหลิ่งกับอวี้ฉือจ้านไม่ได้มีความเกี่ยวพันอะไรกัน แต่กู้ชิวเหลิ่งก็ยังขี่ม้าของอวี้ฉือจ้านเลยนี่นา
ในขณะที่เซียวอวิ๋นเซิงกำลังโกรธอยู่ ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงความเหน็บหนาวที่ส่งมาจากด้านหลัง และเมื่อหันหลังไปมอง ก็เห็นอวี้ฉือจ้านกำลังพูดอะไรกับองครักษ์คนสนิทอยู่ไม่รู้
คง…ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาสินะ
ด้านนี้อวี้ฉือจ้านกำลังกล่าวว่า:”ไปตรวจสอบดูว่าช่วงนี้ กู้ชิวเหลิ่งและเซียวอวิ๋นเซิงนี้มีความเชื่อมโยงอะไรกัน”
จีเฟิงพูดอย่างสงสัยว่า:”ท่านอ๋องสงสัยว่ากู้ชิวเหลิ่งเป็นสายลับ?”
“ไม่ ข้าสงสัยว่าไอหนุ่มน้อยนี้สนใจนาง”
“……”
อวี้ฉือจ้านพูดอย่างเย็นชาว่า:”มัวยืนทำอะไรล่ะ? ยังไม่รีบไปอีก?”
จีเฟิงกลืนน้ำคำหนึ่ง และทันใดนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองรู้ความลับอะไรบางอย่างที่ไม่ควรรู้
“ข้าน้อย……ไปเดี๋ยวนี้”
ตั้งแต่ต้นจนจบกู้ชิวเหลิ่งก็ไม่เคยหันมองอวี่เหวินเจี๋ย แต่สายตาของอวี่เหวินเจี๋ยกลับไม่เคยถอนออกจากบนตัวของกู้ชิวเหลิ่งเลย
ด้วยความคล่องแคล่วของกู้ชิวเหลิ่ง ก็ต้องสังเกตถึงการจ้องมองของอวี่เหวินเจี๋ยได้อยู่แล้ว แต่นางรู้ว่าการจ้องมองนี้กำลังมองกู้ชิวเหลิ่งอยู่ เป็นเจ้าของร่างเดิมของร่างกายนี้ ไม่ใช่นาง
แม้นางจะรู้ดีว่าหากมีการช่วยเหลือของอวี่เหวินเจี๋ย เส้นทางการแก้แค้นในอนาคตจะง่ายขึ้นมาก แต่นางยังไม่คิดที่จะแสร้งปลอมเป็นคนอีกคนหนึ่งเพื่อให้ความหวังที่ไม่จริงแก่ผู้อื่น
กู้ชิวถางกำลังพูดคุยเรื่องกฎของป่าหลวงกับกู้ชิวเหลิ่งอยู่ กู้ชิวเซียงและฮูหยินใหญ่ก็เดินใกล้เข้ามา
ฮูหยินใหญ่มองดูกู้ชิวถางด้วยรอยยิ้มและพูดว่า:”ถางเอ๋อร์ น้องสาวของเจ้าก็อยากเข้าไปดูในป่าหน่อย เจ้าพานางไปด้วย ระหว่างทางก็จะได้ดูแลช่วยเหลือกันได้ด้วย”
บนใบหน้าของกู้ชิวถางนั้นมีความลังเลเล็กน้อย แต่กู้ชิวเซียงกลับดึงแขนเสื้อของกู้ชิวถางมาอ้อนและพูดว่า:”ท่านพี่ น้องอยากเข้าไปดูจริงๆ แต่น้องขี่ข้าไม่เป็น ไม่รู้ว่าท่านพี่……”
วันนี้จวินฉีเซิ่งคงต้องมีการลงมือกับอวี้ฉือจ้านอย่างแน่นอน เมื่อวานนี้นางออกหน้าออกตาเกินไป จะต้องเจออุปสรรคบางอย่างแน่นอน
กู้ชิวเหลิ่งกำลังคิดหาวิธีเหวี่ยงกู้ชิวถางทิ้ง และไปข้างอวี้ฉือจ้านเพื่อทำการวางแผนการจัดขบวนของหน่วยกล้าตาย ตอนนี้กู้ชิวเซียงมากลับพอดีเลย
กู้ชิวเหลิ่งพูดว่า:”ท่านพี่ไปเถอะเจ้าค่ะ เมื่อครู่ข้าขาพลิกไป คาดว่าคงไปไม่ได้แล้ว ต่อให้ไป ก็เป็นภาระเท่านั้น”
กู้ชิวถางจึงค่อยกล่าวว่า:”ถ้างั้นข้ารู้แล้ว เจ้าคนเดียวก็ต้องระวังด้วย หญ้าตรงนี่ไม่ราบ ไปพักผ่อนที่กระโจมดีกว่า”