ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 96 วิกฤตที่เป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวง
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 96 วิกฤตที่เป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวง
ปิ่นของกู้ชิวเหลิ่งถูกสั่นสะเทือนจนตกลงบนพื้น ผมสยายลงมา มีเลือดซ่อนอยู่ที่มุมปาก ส่วนฮุยเยาที่อยู่ข้างๆก็ใกล้ตายแล้ว
ส่วนสายลับที่เหลือก็ได้กำจัดศพทิ้งอย่างสะอาดแล้ว เหลือแต่ฮุยเยา
ตอนอวี้ฉือจ้านวิ่งมา กู้ชิวเหลิ่งกำลังจับไหล่ซ้ายของตัวเองไว้แล้วดันขึ้นอย่างโหด ฮืมเบาๆไปคำหนึ่ง กระดูกถึงค่อยต่อเสร็จ
อวี้ฉือจ้านนั่งยองๆลง สายตาจับจ้องไปที่แขนที่เคลื่อนไปของกู้ชิวเหลิ่ง และมุมปากที่เปื้อนเลือด สายตาที่กังวลและโกรธนั้นทำให้กู้ชิวเหลิ่งอึ้งไปเล็กน้อย
ในขณะที่กู้ชิวเหลิ่งกำลังอึ้งอยู่ อวี้ฉือจ้านก็ได้หยิบกระบี่ยาวในมือขึ้นมาแล้วตัดแขนซ้ายของฮุยเยาทิ้ง สุดท้ายก็แทงไปที่หน้าท้องของฮุยเยาอย่างแรง
ฮุยเยาร้องอย่างดัง แต่ในไม่ช้าเขาก็หมดลมหายใจไปแล้ว
“ท่าน……!”
กู้ชิวเหลิ่งมองดูอวี้ฉือจ้านอย่างไม่น่าเชื่อ: “ท่านรู้หรือไม่ว่าพยานปากที่รอดตายนี้สำคัญมาก! ท่านจะต้องใช้เขามาเพื่อล่อจวินฉีเซิ่งออกมา! พยานปากที่รอดตายมาอย่างยากลำบาก ท่านจะฆ่าเขาทิ้งได้อย่างไร! ”
อวี้ฉือจ้านโยนกระบี่ยาวในมือทิ้ง และพูดอย่างเย็นชาว่า:”สุนัขที่กัดคนไปมั่ว เหลือไว้ก็เป็นความหายนะ เจ้ายังจำสิ่งที่เจ้าพูดกับข้าในครั้งที่แล้วได้หรือไม่?”
อวี้ฉือจ้านหันหลังกลับมา อุ้มกู้ชิวเหลิ่ง หน้าด้านข้างของเขาโดนเลือดพ่นใส่ ทำให้คนดูแล้วเวียนหัวเล็กน้อย
“ในเมื่อจะล่อ เช่นนั้นก็ใช้คนตายล่อซะ”
ตาของกู้ชิวเหลิ่งกะพริบไปครู่หนึ่ง เอ่ยปากพูดว่า:”ถ้าอย่างนั้นท่านก็ควรจำได้ ข้าเคยบอกท่านว่า บนตัวของพวกเขานั้นล้วนมีพิษกู่ หากคนตายไปแล้ว ศพก็จะกลายเป็นศพที่เป็นพิษ หน้าตาเปลี่ยนไปหมด”
อวี้ฉือจ้านอุ้มกู้ชิวเหลิ่งขึ้นไปบนหลังม้า มองดูนางด้วยความอ่อน: “เมื่อครู่ยาที่เจ้าย่อมเสี่ยงโรยลงบนบาดแผลของเขานั้นใช้ทำอะไร?”
กู้ชิวเหลิ่งยักคิ้วขึ้น:”หากสิ่งที่ข้าโรยนั้นไม่ใช่ยาที่ระงับพิษกู่ล่ะ?”
“เป็นไปไม่ได้”
น้ำเสียงที่มั่นใจของอวี้ฉือจ้าน ทำให้กู้ชิวเหลิ่งไม่รู้จะพูดไรต่อดี ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าแม้ว่าจะหักล้างต่อไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะตอนนี้ร่างของฮุยเยา ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย
หลังจากกำจัดศพเสร็จ อวี้ฉือจ้านก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า:”พวกเจ้าไปปกป้องและตรวจสอบความปลอดภัยของฮ่องเต้ และรักษาร่างของนักฆ่าไว้ให้ดี”
“ขอรับ!”
ร่างเหงาของคนหกคนหายไปในกลางป่าไม้
ไหล่ซ้ายของกู้ชิวเหลิ่งเจ็บมากนัก แม้ว่าจะต่อแขนซ้ายเข้าที่เรียบร้อยแล้ว แต่ความเจ็บปวดกลับไม่ได้ลดลงแม้แต่นิดเลย
“เจ็บมาก?”
“ยังดี”
“ข้ารู้สึกว่านี้คือบทเรียนบทหนึ่ง”
ตอนอวี้ฉือจ้านพูดประโยคนี้ ในน้ำเสียงนั้นมีความตามใจเล็กน้อย
กู้ชิวเหลิ่งพูดว่า:”แต่ข้ากลับรู้สึกว่า แผลนี้เป็นภาระอย่างหนึ่ง”
ในความเป็นจริง มันก็เป็นภาระจริง
กู้ชิวเหลิ่งมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีเกิดขึ้นในใจ พูดว่า:”คราวนี้ท่านกับข้าต่างก็เดาผิดแล้ว ท่านไม่ควรปล่อยให้พวกเขาไปเร็วขนาดนี้”
กู้ชิวเหลิ่งรู้สึกได้แล้วว่าบรรยากาศในรอบๆนี้ผิดปกติ เดิมทีบรรยากาศที่ตึงเครียดควรได้รับการผ่อนคลายลงแล้ว แต่ประสาทของนางกลับเริ่มตึงแน่นขึ้นเรื่อยๆ มันแปลกมากนัก
อวี้ฉือจ้านพูดอย่างเฉยชาว่า:”ข้าพาเจ้ากลับไปรักษาบาดแผล”
“กลับไปไม่ได้แล้ว ถอยไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้!”
ดวงตาของอวี้ฉือจ้านเย็นชาขึ้น ร่างกายก้าวหน้าไปตามที่กู้ชิวเหลิ่งสั่งเร็วกว่าความคิด
วิ่งไปทางขวาคือทิศทางตะวันออกเฉียงใต้ แม้ว่าจะสามารถออกจากพื้นที่ล่าสัตว์ของหลวงได้เช่นกัน แต่เส้นทางช้ากว่าทางตรง
แต่ยิ่งวิ่งไปในทางทิศตะวันออกเฉียงใต้มากเท่าไหร่ อวี้ฉือจ้านก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เพราะเดิมทีทิศทางที่พวกเขาวางแผนไว้ว่าจะกลับไปนั้น ได้มีหน่วยกล้าตายสิบสองคนตามมาแล้ว
ม้าวิ่งเร็วมาก ส่งผลกระทบต่อแผลบนไหล่ซ้ายของกู้ชิวเหลิ่งให้เจ็บกว่าเดิม ในยามนี้กู้ชิวเหลิ่งก็ไม่มีเวลามาเจ็บแล้ว นางพูดอย่างลำบากว่า: “เป็นสายลับที่เดิมทีจวินฉีเซิ่งใช้มาเพื่อลอบสังหารฮ่องเต้ ครั้งนี้จวินฉีเซิ่งไม่คิดที่จะฆ่าฮ่องเต้ทิ้ง แต่กลับคิดที่จะสร้างแผนการมาล่อพวกข้า จากนั้นให้พวกเขาตามกลับมาฆ่าเจ้า”
ความคิดแบบนี้ สำหรับจวินฉีเซิ่งแล้วมันเป็นวิธีการรับประกันโดยตลอด จวินฉีเซิ่งเป็นคนโลภคนหนึ่ง ถ้าเป็นเขาในสามปีที่แล้ว จะทำตามแผนการที่กู้ชิวเหลิ่งพูดในเมื่อครู่ก่อนอย่างแน่นอน ส่งคนไปลอบสังหารอวี้ฉือจ้าน และอีกด้านหนึ่งก็ส่งคนไปลอบสังหารอวี้ฉือกง แต่เรื่องก็มีหลักและรองอยู่เสมอ
แต่คราวนี้ เพื่อลอบสังหารอวี้ฉือจ้านแล้ว จวินฉีเซิ่งก็แกล้งเอาเรื่องที่ลอบสังหารอวี้ฉือกงมาล่อ โดยแสดงหน้าต่อหน้าอวี้ฉือกงก่อน และไม่ได้ทำการลอบสังหาร จากนั้นก็เริ่มโจมตีพื้นที่ล่าสัตว์ของหลวง เพื่อช่วยกลุ่มอื่นลอบสังหารอวี้ฉือจ้าน
แม้ว่ากลุ่มนี้จะถนัดเรื่องการหลบหลีกและปกป้อง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าวิทยายุทธของพวกเขานั้นจะไม่ได้เรื่อง หากเมื่อครู่อวี้ฉือจ้านไม่ได้ส่งคนทั้งหกคนนั้นกลับไปปกป้องอวี้ฉือกง บางทีตอนนี้พวกเขาอาจจะยังมีทางรอดได้
“อย่าพึ่งพูด”
เสียงของอวี้ฉือจ้านมีความเย็นชาเล็กน้อย เขารู้สึกได้ว่าการที่กู้ชิวเหลิ่งพูดออกมาคำหนึ่งนั้นมันยากแค่ไหน
กู้ชิวเหลิ่งปรับการหายใจของตัวเอง เมื่อครู่กู้ชิวถางพวกเขาเดินไปในทิศทางตะวันออกเฉียงใต้ ถ้าเป็นพบหน้ากับกู้ชิวถางได้ พวกเขายังมีโอกาสขับไล่กลุ่มของจวินฉีเซิ่ง
ไม่เช่นนั้น คงต้องเสียชีวิตอย่างเดียวแน่
สำหรับกู้ชิวเหลิ่งแล้ว คนเหล่านั้นกำลังเข้าใกล้ทุกนาที ความเจ็บปวดที่ไหล่ซ้ายทำให้กู้ชิวเหลิ่งไม่สามารถคิดอะไรได้แล้ว แต่มีเพียงความคิดเดียวเท่านั้นที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในสมองของกู้ชิวเหลิ่ง
นั่นก็คือพวกเขาไม่มีทางถอยอีกแล้ว ม้าวิ่งมานานขนาดนี้ ก็ยังไม่พบใคร แสดงว่าในพื้นที่ล่าสัตว์นี้ไม่มีคนอื่นอีกแล้ว กู้ชิวถางคงรีบกลับไปเพราะได้ยินว่าอวี้ฉือกงถูกลอบสังหาร
อวี้ฉือจ้านดึงบังเหียนไว้อย่างแน่น ม้าส่งเสียงร้อง พวกเขามาถึงตรงขอบหน้าผาแล้ว
อวี้ฉือจ้านยังไม่มีเวลาคิด คนสิบสองคนที่อยู่ข้างหลังก็ตามมาแล้ว อวี้ฉือจ้านชักกระบี่ยาวข้างเอวออกมา มือข้างหนึ่งจับรอบเอวของกู้ชิวเหลิ่งไว้ ทั้งสองคนกระโดดลงหน้าผาไปพร้อมกัน โดยไม่ลังเลแม้แต่นิดเลย
กระบี่ยาวเสียดสีกับหน้าผาไปเจ็บแปดครั้ง ซึ่งถือว่าได้เป็นแรงการช่วยเหลือหน่อยเล็กน้อย อวี้ฉือจ้านกระโดดลงบนแท่นหินกลางหน้าผาอย่างชินทาง ด้านในเป็นถ้ำที่ถือว่าไม่ใหญ่นัก และด้านในยังมีเตียงหินอยู่หนึ่งเตียง
“นี่คือ……”
“อย่าพึ่งพูด”
อวี้ฉือจ้านอุ่มกู้ชิวเหลิ่งไปวางไว้บนเตียงหิน เอาเสื้อคลุมของตัวเองคลุมไว้บนตัวกู้ชิวเหลิ่ง
เหมือนรู้ว่ากู้ชิวเหลิ่งจะถามอะไร จึงตอบรายละเอียดทั้งหมดเลยทีเดียว: “นี่คือวัดลอยฟ้าที่ฮ่องเต้องค์ก่อนคิดจะสร้างไว้ในด้านหลังพื้นที่ล่าสัตว์ มีปีหนึ่งตอนข้าไปที่วัดลอยฟ้า ก้าวพลาดแล้วตกลงไปจากบนแท่นไม้ของวัดลอยฟ้าแล้วพบถ้ำธรรมชาตินี้พอดี ต่อมาฮ่องเต้องค์ก่อนก็หาข้าเจอแล้วพาข้ากลับไป ด้วยความโกรธ เขาจึงรื้อถอนวัดลอยฟ้านี้ทิ้ง แล้วย้ายไปที่ภูเขาอีกลูกหนึ่ง”
ลมหายใจของกู้ชิวเหลิ่งเบาลง หลังจากฟังอวี้ฉือจ้านพูดจบ ก็หลับตาลงแล้ว
อวี้ฉือจ้านหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา เช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผากของกู้ชิวเหลิ่งให้สะอาด
ในนี้อะไรก็ดีไปหมด เพียงแต่ว่าไม่มีอาหารและน้ำ แม้ว่าจะสามารถอยู่รอดได้พักหนึ่ง แต่ร่างกายของกู้ชิวเหลิ่งทนไม่ไหว
อวี้ฉือจ้านเม้มปาก หากไม่จัดการกับไหล่ซ้ายของกู้ชิวเหลิ่ง ต่อให้ต่อกระดูกเสร็จแล้ว หากถ่วงเวลานานไปก็จะไม่มีวันดีขึ้นแน่
“ล่วงเกินแล้ว”
อวี้ฉือจ้านยื่นมือออกมา และเปิดเสื้อตรงไหล่ซ้ายของกู้ชิวเหลิ่งออกอย่างอ่อนโยน เผยร่างกายครึ่งหนึ่งออกมา