ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่221 จี้ต้าน ราชครูแห่งแคว้นเป่ย
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่221 จี้ต้าน ราชครูแห่งแคว้นเป่ย
“เป็นข้าเอง”
จวินหวาเทียนพยุงกู้ชิวเหลิ่งขึ้น ที่ข้างกายเขายังมีข้ารับใช้ติดตามอยู่อีกหนึ่งคน
กู้ชิวเหลิ่งจำได้ว่าเมื่อครู่ตนอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง และสนทนากับชายที่กล่าวว่าตนมาจากจวนราชครูแห่งแคว้นเป่ยและกล่าวเรื่องประหลาด ที่นางฟังมิออกออกมา เมื่อนางตื่นขึ้นอีกครั้งกลับพบว่าตนอยู่ที่นี่แล้ว
จวินหวาเทียนหันไปส่งสายตาให้แก่ข้ารับใช้ ข้ารับใช้ผู้นั้นจึงรีบรินน้ำชาร้อนแล้วเดินนำเข้ามา
กู้ชิวเหลิ่งดื่มเข้าไปอึกหนึ่ง จิตใจของนางดูกระจ่างแจ่มใสขึ้น “เจ้าเป็นคนที่พาข้ามาที่นี่หรือ?”
“ใช่แล้ว ข้าเอง”
จวินหวาเทียนรับน้ำชาในมือของกู้ชิวเหลิ่งไป กล่าวว่า “ข้าได้สั่งให้กู้เจินไปรายงานอวี้ฉือจ้าน แล้วในมิช้าเขาคงจะมาถึง”
กู้ชิวเหลิ่งขมวดคิ้วเข้าหากันกล่าวว่า “เจ้าพาข้ากลับมาได้อย่างไร?”
เรื่องที่นางเดินทางไปหาชายผู้นั้น แม้แต่อวี้ฉือจ้านเองก็มิรู้ แล้วจวินหวาเทียนรู้ได้อย่างไรกัน อีกอย่างในโรงเตี๊ยมแห่งนั้นหามีใครสักคน เห็นได้ชัดว่าชายคนนั้นบงการให้เป็นดังนี้
เช่นนั้นเขาจะปล่อยให้จวินหวาเทียนที่เป็นคนนอกเข้าไปได้อย่างไร?
จวินหวาเทียนกล่าวว่า “คนผู้นั้นคือราชครูแห่งแคว้นเป่ยนามว่าจี้ต้าน ก่อนหน้าที่เขาจะพบเจ้า ข้าเองเคยได้พบเขามาก่อนแล้ว”
“ก่อนหน้าที่จะมาพบข้า เจ้าเคยเจอเขาแล้วงั้นหรือ?”
“ถูกต้อง”
จวินหวาเทียนมิเคยปิดบังนางตลอดมิว่าเรื่องใด ดังนั้นเขาจึงกล่าวว่า “เขาผู้นั้นเดินทางมาหาข้าด้วยตนเอง อีกทั้งเป็นผู้ริเริ่มอธิบายให้ข้าฟังถึงเรื่องการยืมร่างเกิดใหม่ ในตอนนั้นข้าจึงได้รู้ว่าเจ้าคืออาชิว”
กู้ชิวเหลิ่งมองไปทางจวินหวาเทียน แต่ไหนแต่ไรมาจวินหวาเทียนมิเคยโกหกนาง ดังนั้นนางเองจึงมิมีเหตุผลที่จะมิเชื่อเขา
จากแววตาของจวินหวาเทียน กู้ชิวเหลิ่งมองเห็นถึงความจริงใจและแน่วแน่
นั่นสิ เรื่องของการยืมร่างเพื่อกลับมาเกิดใหม่นี้เดิมทีนางเองก็รู้สึกสงสัยยิ่งนักว่าเหตุใดจวินหวาเทียนจึงได้เชื่ออย่างง่ายดายว่านางคือมู่หรงชิว ที่แท้เพราะราชครูจี้ต้านแห่งแคว้นเป่ยผู้นี้นี่เอง
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้ารู้จักคนผู้นี้ แล้วเหตุใดเจ้าจึงมิบอกข้า?”
จวินหวาเทียนส่ายหน้ากล่าวว่า “ในตอนนั้นเขากล่าวกับข้าไว้ อย่าได้เปิดเผยตัวตนของเขา และได้กล่าวว่าจะได้พบกันใหม่หากมีโชคชะตาต่อกัน เพื่อเป็นการมิให้เจ้ารู้สึกกังวลใจดังนั้นข้าจึงมิได้เอ่ยออกมา”
กู้ชิวเหลิ่งยิ้มเบา ๆ กล่าวว่า “เป็นเพราะเจ้ามิอยากให้ข้ากังวลใจ หรือเป็นเพราะเจ้ารู้แต่แรกแล้วว่าเราจะได้พบกันเช่นนี้”
“มิว่าเรื่องใดก็ตามข้ามิอาจปิดบังเจ้าได้”
จวินหวาเทียนวางถ้วยน้ำชาในมือลงบนโต๊ะกล่าวว่า “นี่ก็ดึกมากแล้ว ในวันนี้เนื่องจากข้าออกมาเพราะเจ้า ดังนั้นข้าจึงมิได้ติดตามนางในข้างกายของมู่หรงอี๋เดินทางเข้าวังไปด้วย อีกประเดี๋ยวเมื่ออวี้ฉือจ้านมารับเจ้ากลับไปแล้ว พรุ่งนี้เช้าข้าเองก็จะเดินทางเข้าวัง”
“หวาเทียน เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าเจ้าจะมิถูกใครจับได้?”
จวินหวาเทียนกล่าว “ต่อให้บัดนี้ร่างกายข้ามิสู้ดีนัก แต่เจ้าก็อย่าได้กังวลใจไปเลย ก่อนที่การแก้แค้นครั้งใหญ่จะสำเร็จ ทั้งข้าและเจ้าผู้ใดจะตายมิได้ทั้งนั้น และใครก็จะมิมีวันล้มลงก่อนหน้า เจ้าว่าข้ากล่าวได้ถูกต้องหรือไม่”
กู้ชิวเหลิ่งพยักหน้ากล่าวว่า “สิ่งที่เจ้าว่ามานั้นก็ถูกต้องแล้ว ก่อนหน้าที่เราจะแก้แค้นสำเร็จ มิว่าผู้ใดก็จะตายมิได้เด็ดขาด”
เมื่อน้ำเสียงของกู้ชิวเหลิ่งสิ้นสุดลง ประตูห้องก็ถูกเปิดออก
อวี้ฉือจ้านวิ่งเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าของกู้ชิวเหลิ่งด้วยท่าทางเป็นกังวล เขามองดูนางซ้ายขวาแล้วกล่าวว่า “เป็นอย่างไรบ้าง มีตรงไหนที่รู้สึกมิสบายหรือไม่?”
กู้ชิวเหลิ่งส่ายหน้ามองไปยังจวินหวาเทียนที่อยู่ด้านข้างกล่าวว่า “นี่ก็ดึกแล้ว เรากลับวังกันเถิด”
สายตาของอวี้ฉือจ้านจับจ้องมองไปที่จวินหวาเทียนก่อนจะกล่าวใบหน้าอันสงบนิ่งว่า “ขอบคุณคุณชายมู่ยิ่งนัก”
จวินหวาเทียนกล่าวเบา ๆ “บัดนี้ร่างกายของพระชายาเซ่อเจิ้งหวางหาได้มีอันตรายใด เพียงแค่พักผ่อนสักหนึ่งคืนนางก็จะหายดี”
อวี้ฉือจ้านกล่าวขอบคุณอีกครั้งก่อนจะเข้ามาพยุงกู้ชิวเหลิ่งแล้วเดินออกไปจากโรงเตี๊ยม กู้ชิวเหลิ่งจึงได้รู้ว่าจวินหวาเทียนแท้จริงแล้วอาศัยอยู่ในเมืองหลวง และก็คือโรงเตี๊ยมที่อยู่ถัดจากโรงเตี๊ยมเมื่อครู่เพียงแค่ถนนสายเดียว
อวี้ฉือจ้านกำชับให้จีเฟิงเตรียมรถม้า หลังจากที่ขึ้นไปบนรถม้าแล้วอวี้ฉือจ้านจึงได้กล่าวขึ้นว่า “เจ้าสั่งให้จีเฟิงเดินทางออกห่างเจ้า จากนั้นเดินทางออกจากวังโดยมิรับอนุญาต เจ้ารู้หรือไม่ว่าอันตรายเพียงใด?”
อวี้ฉือจ้านถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “ต่อจากนี้เจ้าอย่าได้ทำเช่นนี้อีก หากมิใช่เพราะว่าจวินหวาเทียน บัดนี้เจ้าคงจะตกอยู่ในอันตราย”
กู้ชิวเหลิ่งฝืนยิ้มขึ้นกล่าวว่า “เจ้ากลับมาที่วังตั้งแต่เมื่อไรกัน?”
“ข้าสั่งให้จีเฟิงกลับมาก่อน เมื่อพบว่าเจ้ามิอยู่ที่ในวัง ข้าจึงละทิ้งงานในมือแล้วรีบเดินทางมาหาเจ้าทันที ได้ยินผู้เฝ้าประตูกล่าวว่าเจ้าเดินทางออกจากวังไปแล้ว เจ้าหาได้คุ้นเคยกับที่นี่ เหตุใดเจ้าจึงเดินทางออกไปเองโดยพลการเช่นนี้เล่า”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า “มิได้มีสิ่งใดหรอก ข้าเพียงแค่เดินทางออกมาเที่ยวเล่นเท่านั้น คิดมิถึงว่าจะเป็นลมล้มไป”
เห็นได้ชัดว่าอวี้ฉือจ้านมิรู้เรื่องที่นางเดินทางออกไปสนทนากับจี้ต้านดังนั้นจึงมิได้เอ่ยถามว่าสิ่งใดให้มากความ เขามองมาที่ร่างกายของกู้ชิวเหลิ่งด้วยท่าทางเป็นกังวล ราวกับพยายามหาว่ามีบาดแผลตรงใดหรือไม่
“ข้ามิเป็นไรหรอก เจ้าวางใจได้”
อวี้ฉือจ้านโอบกอดกู้ชิวเหลิ่งมาไว้ในอ้อมแขน กล่าวว่า “หากวันใดที่เจ้าอยากจะออกไปด้านนอก ข้าสามารถออกไปกับเจ้าได้ ไปที่ใดก็ได้ทั้งนั้น”
กู้ชิวเหลิ่งพยักหน้าเล็กน้อยแต่ในสมองของนางกลับกำลังคิดถึงเรื่องแคว้นเป่ย
นางจะเอ่ยปากขออวี้ฉือจ้านเดินทางไปแคว้นเป่ยได้อย่างไร อวี้ฉือจ้านในฐานะเซ่อเจิ้งหวางแห่งต้าเยียน เขามีหน้าที่รับผิดชอบใหญ่หลวง จะเดินทางไปเป็นเพื่อนนางโดยใช้เวลามากมายได้อย่างไร
บัดนี้จวินฉีเซิ่งยังมิถูกดึงลงมาจากหลังม้า เรื่องนี้ดูจะยืดเยื้อเป็นเวลาสองเดือน ส่วนอวี้ฉือจ้านนั้น……
“ในครั้งนี้ที่เจ้าเดินทางมาแคว้นฉี เจ้าได้ขออนุญาตฮ่องเต้เป็นเวลานานเท่าใดกัน?”
อวี้ฉือจ้านกล่าวว่า “ข้าบอกเขาไปแล้วว่าข้าออกเดินทางมาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ ดังนั้นต่อให้เป็นเวลาปีครึ่งปีก็มิมีปัญหาใด”
กู้ชิวเหลิ่งอ้าปากขึ้นเล็กน้อย แต่นางก็หาได้กล่าวถึงเรื่องที่ต้องการเดินทางไปแคว้นเป่ยออกมา
อวี้ฉือจ้านมองไปยังกู้ชิวเหลิ่งที่ดูมีความลังเลใจแล้วเอ่ยว่า “เจ้ามีเรื่องอยากจะบอกกับข้าใช่หรือไม่?”
หลังจากที่ต่อสู้กับความคิดภายในใจแล้ว ในที่สุดกู้ชิวเหลิ่งก็กล่าวว่า “มิมีสิ่งใดหรอก”
การเดินทางไปแคว้นเป่ยในครั้งนี้คาดว่าคงจะต้องได้พบกับฉู่สวิน ส่วนฉู่สวินมีความสัมพันธ์กับเจ้าของร่างนี้อย่างไร นางเองก็ยังมิแน่ใจ หากเมื่อถึงเวลานั้นพาอวี้ฉือจ้านไปด้วย คาดว่าอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่มิอาจคาดเดาได้
การที่แคว้นเป่ยยืนหยัดมาได้เนิ่นนานหลายปีโดยมิล้มลง แต่เปลี่ยนแปลงไปหลายราชวงศ์แล้ว พวกเขามิใช่ดินแดงที่ต้าเยียนและซีจิ้งจะสามารถต่อสู้ได้ง่าย ๆ ส่วนอวี้ฉือจ้านเองเป็นเซ่อเจิ้งหวางแห่งต้าเยียน นางจะมิยอมให้อวี้ฉือจ้านตกลงไปอยู่ในวังวนการต่อสู้ของแคว้นเป่ยอย่างแน่นอน
มิเช่นนั้น เรื่องนี้อาจจะมิได้เกี่ยวข้องกับนางเพียงลำพัง แต่เกี่ยวข้องกันโดยตรงกับแขวนต้าเยียนอันใหญ่โตและจะต้องเชื่อมโยงอวี้ฉือจ้านเข้าด้วยกัน
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ กู้ชิวเหลิ่งก็รู้สึกว่าทางที่ดีอย่าได้เอ่ยสิ่งนี้กับอวี้ฉือจ้านเลย ด้วยเกรงว่าอวี้ฉือจ้านอาจจะทำเรื่องที่คาดมิถึงขึ้น
ส่วนผู้ที่มีความรู้สึกหนักอึ้งอยู่ในใจเช่นเดียวกับกู้ชิวเหลิ่งนั้น ก็ยังมีอวี้ฉือจ้านที่บัดนี้โอบกู้ชิวเหลิ่งเอาไว้ในอ้อมกอด
เมื่อครู่ตั้งแต่ก้าวแรกที่เขาผลักประตูเดินตรงเข้ามา เขาก็ได้ยินบทสนทนาที่จวินหวาเทียนและกู้ชิวเหลิ่งสนทนากัน
ก่อนหน้านี้เขาเองก็สงสัยในตัวตนของกู้ชิวเหลิ่ง แต่บัดนี้เขารู้และเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่ากู้ชิวเหลิ่งก็คือมู่หรงชิว และมู่หรงชิวกับจวินหวาเทียนรู้จักกันมาแล้วเนิ่นนานก่อนหน้า……