ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่239 ตัดสิบนิ้วทิ้ง
กู้ชิวเหลิ่งเดินไปด้านหน้า ก็เห็นมู่หรงอี๋ที่ถูกขังไว้ที่มุม บนใบหน้าของนางไม่มีเนื้อดีแม้แต่สักชิ้น ถูกเลือดบนตัวฉินเฟยที่ถูกวางยาพิษกู่นั้นทำจนเสียโฉม นางมองไม่เห็นแม้แต่รูปลักษณ์ของคนที่มา ตาทั้งคู่ก็บอดไปเพราะพิษ
มีเพียงปากเท่านั้นที่ถูกปิดผนึกเอาไว้ กู้ชิวเหลิ่งยื่นมือข้างหนึ่งออกไป เปิดผ้าบนปากของมู่หรงอี๋ออก ในที่สุด มู่หรงอี๋ก็ได้หายใจสักที นางนั่งถอยหลังด้วยความตื่นตระหนกเล็กน้อย แต่ก็ทำได้เพียงถอยไปที่มุมห้องได้เท่านั้น
มู่หรงอี๋ถามอย่างระมัดระวัง: “เจ้าเป็นใคร?เจ้าปล่อยข้าออกไป!”
“ข้าเป็นใคร?ดูเหมือนว่าความจำของหลิ่วกุ้ยเหรินจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่”
เสียงของกู้ชิวเหลิ่งไพเราะมาก และแตกต่างจากเสียงที่แหบแห้งของมู่หรงอี๋อย่างเห็นได้ชัด
ในอดีต เสียงของมู่หรงอี๋ก็ไพเราะน่าฟังเช่นกัน แต่ตอนนี้กลับไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว
เมื่อมู่หรงอี๋ฟังออกว่าเป็นเสียงของกู้ชิวเหลิ่ง ก็มั่นใจว่าตอนนี้ตัวเองยังต้องอยู่ในวังแน่นอน ขณะที่นางกำลังจะตะโกน ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างถูกยัดเข้าไปในปาก ทำให้นางพูดไม่ออกในทันที
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า: “เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าตะโกนและกรีดร้องไปมั่ว ดังนั้นข้าเลยใช้อุบายไปหน่อย หลิ่วกุ้ยเหริน ควรอยู่อย่างสงบหน่อย มิฉะนั้น ข้าจะตัดแขนขาของเจ้าทิ้ง ทำให้เจ้าไม่สามารถขยับได้”
มู่หรงอี๋ก็สงบลงทันที นางก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รู้เพียงว่าหลังจากคืนวันนั้นที่วี่เฟยเหนียงเหนียงจากไป นางก็รู้สึกปวดหลังศีรษะ และเมื่อตื่นมาก็พบว่าตัวเองถูกมัดเอาไว้แล้ว ตาทั้งคู่มองอะไรไม่ชัด แต่ก็ไม่ได้มองไม่เห็นไปหมด และที่สำคัญคือหน้าของนางยังทั้งแสบทั้งร้อน
“โธ่ๆ หญิงงามอันดับหนึ่งในแคว้นฉีก็มีช่วงเวลาแบบนี้ด้วยหรือ ช่างทำให้ข้ารู้สึกสะใจยิ่งนัก”
กู้ชิวเหลิ่งหยิบกระจกออกมาจากแขนเสื้อ วางไว้ตรงหน้าของมู่หรงอี๋ ด้วยแสงอันน้อยนิด มู่หรงอี๋เห็นเพียงในกระจกนั้น มีผู้หญิงหน้าตาอัปลักษณ์กำลังแสดงท่าทีที่ตกใจ
และผู้หญิงคนนั้น ก็คือนาง
“เจ้า……หน้าของข้า! หน้าของข้า!”
เสียงของมู่หรงหยูเริ่มแหบแห้งไม่น่าฟังเพราะยาที่กินลงไปในเมื่อครู่นั้น และก็ไม่สามารถเปล่งเสียงดังได้ เสียงที่ทุ่มและแหบนั้น เหมือนหญิงชราคนหนึ่ง
“อย่ากลัว นี่เป็นเพียงเริ่มต้นเท่านั้น ข้ารู้ว่าเจ้าใส่ใจเรื่องรูปร่างหน้าตาที่สุด แต่น่าเสียดาย เจ้าในตอนนี้ต่อให้ทิ้งไว้ในกลางถนน ก็คงไม่มีใครมองแม้แวบเดียวสินะ?”
กู้ชิวเหลิ่งวางกระจกไว้บนโต๊ะในแนวทแยงของมู่หรงอี๋ ห่างกันไม่ไกลนัก แถมยังบังเอิญสามารถถือแสงอาทิตย์สะท้อนเหงาออกมาได้ด้วย ขอเพียงมู่หรงอี๋ลืมตาขึ้นมา ก็จะเห็นหน้าตาที่อัปลักษณ์นี้ของตัวเอง
แค่คิดแบบนี้ กู้ชิวเหลิ่งก็รู้สึกมีความสุขมากแล้ว
มู่หรงอี๋ปากซีดตัวสั่น พูดว่า”เจ้า……เจ้าจะทำอะไรกันแน่?”
กู้ชิวเหลิ่งพูดด้วยสีหน้าที่เย็นชาว่า”ข้าอยากทำอะไร?ก็แค่มาบอกเจ้าว่า หลิ่วกุ้ยเหรินในเรือนฉูหรวนนั้นตายไปเมื่อวันก่อนแล้ว และถูกสั่งให้ฝังศพอย่างเร่งรีบ ตอนนี้เจ้า เป็นเพียงนักโทษที่ไม่ตัวตน ด้วยใบหน้านี้ของเจ้า ยังจะมีใครรู้ว่า เจ้าก็คือมู่หรงอี๋หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งแคว้นฉี?”
เมื่อได้ยินชื่อนี้ มู่หรงอี๋ก็เบิกกว้างด้วยความตกใจทันที: “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าชื่ออะไร?เจ้าเป็นใครกันแน่!”
กู้ชิวเหลิ่งลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า”ลืมไป ตอนนี้หลิ่วกุ้ยเหรินเรียกว่าหลิ่วหยินจู๋ จะไม่เรียกว่ามู่หรงอี๋อีกต่อไป ดูความทรงจำของข้าสิ ทำไมถึงจำสิ่งนี้ไม่ได้ล่ะ?”
“คือเจ้า! เจ้าคือมู่หรงชิว! เจ้ามาทำลายแผนการและใส่ร้ายพวกข้า! เจ้า……เจ้ามาเพื่อล้างแค้น!”
มู่หรงอี๋ถูกฤทธิ์ยาทำจนหลอนสับสนไปหมดแล้ว และตอนนี้ก็ยิ่งไม่สามารถแยกแยะระหว่างสัตว์ประหลาดกับความเป็นจริง ในความคิดของนาง มู่หรงชิวได้ฟื้นคืนชีพมาล้างแค้นพวกเขาแล้ว
กู้ชิวเหลิ่งรู้สึกว่ามันสนุกยิ่งนัก พูดว่า”ถึงตอนนี้เจ้าก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนสินะ?”
มู่หรงอี๋ไม่ตอบกลับ จากนั้นก็ได้ยินกู้ชิวเหลิ่งพูดว่า: “ที่นี่คือวังเย็นที่หลี่เหม่ยเหรินเคยอยู่มาก่อน เด็กที่ถูกเจ้าบังคับให้ทำแท่ง หลี่เหม่ยเหรินที่ถูกทรมานทั้งวันและคืนในวังเย็น ดวงวิญญาณที่อาฆาตของนางอยู่ที่นี่แล้ว”
เพียงแค่มู่หรงชิวคนหนึ่ง ก็สามารถทำให้มู่หรงอี๋ฝันร้ายทั้งวันและคืน ตอนนี้ก็มีหลี่เหม่ยเหรินเพิ่มมาอีกคน ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่ารอบข้างของนางเต็มไปด้วยลมหนาว และตัวนางเอง ก็อาจตายลงในสภาพแวดล้อมที่น่ากลัวเยี่ยงนี้
“เจ้าปล่อยข้าออกไป! ปล่อยข้าออกไป!”
กู้ชิวเหลิ่งทำท่าทางเงียบและพูดว่า“จุ๊ๆ แม้ว่าตรงนี้จะไม่ใช่คุกใต้ดิน แต่ด้านนอกล้วนเป็นคนของข้า ตอนนี้เจ้าทำอะไรก็ไม่มีประโยชน์ ต่อจากนี้ไปเจ้าจะไม่มีวันได้เอ่ยปากพูดอีก ต่อให้พูด ก็ไม่มีใครได้ยิน ข้าให้เจ้ารอดชีวิต ก็แค่อยากให้เจ้าลองลิ้มรสความเจ็บปวดที่ข้าเคยเป็นในตอนนั้น”
มู่หรงอี๋รู้สึกว่าเลือดทั้งตัวของตัวเองจับตัวเป็นก้อนกันหมด นางคือมู่หรงชิวจริงด้วย มีเพียวมู่หรงชิวเท่านั้นที่จะพูดคำแบบนี้ออกมา มีแค้นต้องชำระ ยิ่งไปกว่านั้นนางยังไปแย่งจวินฉีเซิ่งมา ยังใส่ร้ายตระกูลมู่หรง และยังทำให้มู่หรงชิวไม่สามารถมีลูกได้อีกด้วย
“ข้าขอเจ้าล่ะปล่อยข้าไปเถอะ! ทุกอย่างนี้จวินฉีเซิ่งเป็นคนทำเอง! ข้าแค่ฟังคำสั่งของเขา เจ้าอย่าฆ่าข้าเลย!”
กู้ชิวเหลิ่งหัวเราะเยาะเย้ยและพูดว่า“มู่หรงอี๋ ไหนความเย่อหยิ่งบนตัวเจ้า?ความรู้สึกการมอบตัวให้กับองครักษ์หนึ่งคนนั้นมันทุกข์มากหรือ?”
จู่ๆมู่หรงอี๋ก็นึกถึงสองคืนนั้น ความอัปยศที่นางเอาใจต่อองครักษ์คนนั้น นางคิดว่าเรื่องนี้ไม่มีใครรู้ แต่ตอนนี้กลับถูกกู้ชิวเหลิ่งรู้เรื่องนี้เข้า: “เจ้า! เจ้ารู้ได้อย่างไร……”
กู้ชิวเหลิ่งมองดูท่าทางที่ตกใจของมู่หรงอี๋ และพูดอย่างช้าๆว่า“เจ้าก็บอกแล้วว่าข้าเป็นดวงวิญญาณที่มาล้างแค้น แล้วจะมีอะไรที่ข้าไม่รู้ล่ะ? แต่……มันอาจเจ็บหน่อย เจ้าต้องทนหน่อยนะ?”
“เจ้าจะทำอะไร!อย่า!”
กู้ชิวเหลิ่งนำผ้ายัดเข้าไปในปากของมู่หรงอี๋ จากนั้นก็นำมีดสั้นออกมาจากแขนเสื้อ ตัดนิ้วทีละนิ้วของมู่หรงอี๋ทิ้ง ความเจ็บปวดจากการถูกตัดนิ้วทั้งสิบ ถือเป็นล้างแค้นละกัน
มู่หรงอี๋เจ็บจนเหยือกเย็นไหลเต็มหน้า เจ็บจนเกือบเป็นลม แต่กู้ชิวเหลิ่งไม่ปล่อยให้มู่หรงอี๋สมหวัง นางกำลังให้มู่หรงอี๋กินยาห้ามเลือด ฤทธิ์ยาของยาประเภทนี้แรงมาก มู่หรงอี๋จะสามารถรู้สึกได้ถึงเพียงความเจ็บปวดเท่านั้น แต่จะไม่เป็นลมหมดสติไป สำหรับกู้ชิวเหลิ่งแล้ว นี่เป็นเพียงความเจ็บปวดหนึ่งในล้านที่นางได้รับเท่านั้น
เมื่อมองดูมู่หรงอี๋ที่ดิ้นรนไปมาบนพื้นด้วยความเจ็บปวด และนิ้วทั้งสิบที่อยู่บนพื้น กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า“ความเจ็บปวดจากการเสียลูก ความเจ็บปวดจากการถูกทรยศ และความเจ็บปวดของการถูกตัดสิบนิ้วนั้น ก็ถือเป็นการชดใช้หมดแล้ว แต่ชีวิตครอบครัวตระกูลมู่หรงนับร้อยคนนั้น ต่อให้เจ้าตายเป็นร้อยครั้ง ก็ชดใช้ไม่หมด มู่หรงอี๋ ไว้ชีวิตที่ต่ำต้อยของเจ้าเอาไว้ ข้าจะให้เจ้าตายทั้งเป็น ให้เจ้าได้รู้ถึงความเจ็บปวดของข้าบ้าง”
และความเจ็บปวดของจวินหวาเทียน
เมื่อมู่หรงอี๋ฟังคำเหล่านี้จบ จู่ๆนางก็นึกถึงสิ่งที่หมอผีไท่ซวีกล่าวในวันนั้น สักวันหนึ่งนางจะต้องได้ลิ้มรสกับผลกรรมทั้งหมดที่ทำเอาไว้ เสียชะตา และหวนคืนสู่ชะตากรรมของตัวเอง สิ่งที่นางได้รับอยู่ในตอนนี้ก็คือความเจ็บปวดที่มู่หรงชิวเคยได้รับ
กู้ชิวเหลิ่งมองดูอย่างเย็นชา และเดินออกจากวังเย็นโดยไม่หันกลับมามอง และในวังเย็น ในห้องนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นเลือด