ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 140-2
ลำนำสตรียอดเซียน – ตอนที่ 140-2 ผู้สืบสกุลแห่งตระกูลเยี่ย
เมื่อพวกเขามาถึงบ้านพักหมิงซิน โม่เทียนเกอเปิดกำแพงอาคม นางคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอาแผ่นหยกบันทึกเปล่าออกมา ใส่คำสั่งบางอย่างลงไปในนั้นและมอบให้เยี่ยเจินจี “ในอนาคตแค่ใช้แผ่นนี้เปิดม่านพลังป้องกัน”
ขณะที่พวกเขาเข้าไปในบ้านพักหมิงซิน สัตว์วิเศษตัวน้อยจู่ๆ ก็กระโจนเข้าใส่พวกเขาและเริ่มร้องเสียงแหลม ทำให้เยี่ยเจินจีตกใจกลัวมากจนเขาเกือบจะกระโดดถอยหลัง
โม่เทียนเกอพูดกับเยี่ยเจินจี “นี่คือสัตว์วิเศษของอา เจ้าเรียกมันว่าเสี่ยวหัวได้ มันฉลาดมาก ระดับการฝึกตนของมันเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังขั้นต้น ถ้าเจ้าต้องการอะไรเจ้าสามารถเรียกมันได้” จากนั้นนางหมอบลงและลูบหัวเจ้าสัตว์วิเศษไฟนรก “นี่คือเจินจี หลานชายข้า จากนี้ไปเจ้าต้องปฏิบัติกับเขาเหมือนที่ทำกับข้า เข้าใจไหม”
สัตว์วิเศษไฟนรกส่งเสียงร้องแหลมเล็กน้อยและเริ่มกัดปลายชุดคลุมของเยี่ยเจินจีอย่างเป็นกันเอง จนกระทั่งเยี่ยเจินจีลูบหัวมันบ้างมันถึงยอมปล่อย
โม่เทียนเกอเอาขวดหยกออกมาพร้อมรอยยิ้มและเทยาวิเศษส่วนหนึ่งออกมา “กินสิ และก็ออกไปเล่นได้ เจ้าจะไปที่ภูเขาด้านหลังก็ได้ถ้าต้องการ”
สัตว์วิเศษไฟนรกกวาดยาวิเศษพวกนั้นด้วยลิ้นของมันและกลืนยาลงท้อง มันผงกหัวให้นางจากนั้นออกจากบ้านพักหมิงซินไป คาดว่าคงมุ่งหน้าไปที่คอกสัตว์ที่ภูเขาด้านหลัง
ระดับการฝึกตนของสัตว์วิเศษไฟนรกตัวนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่พวกเขาเริ่มมาอาศัยอยู่ที่ตำหนักซ่างชิงและโม่เทียนเกอปล่อยให้มันเป็นอิสระ มันก็มักจะวิ่งไปเล่นที่ภูเขาด้านหลังบ่อยๆ เพราะในถ้ำเซียนแห่งนี้มีกำแพงอาคม นางจึงไม่ต้องกังวลและปล่อยให้มันวิ่งเล่นไปทั่วได้ตามใจ
หลังจากพาเยี่ยเจินจีเข้าไปในสนาม โม่เทียนเกออธิบายถึงห้องต่างๆ ทีละห้องให้เขาฟัง “นี่คือถ้ำเซียนของอา ห้องนั้นคือห้องสำหรับปรุงยาวิเศษ ห้องนั้นสำหรับขัดเกลาเครื่องมือ และนั่นสำหรับการฝึกตน ส่วนห้องนี้คือห้องนอน ตอนนี้มันเป็นของเจ้าแล้ว ถ้าเจ้าต้องการอะไร เจ้าถามเอาจากพวกอาจารย์ลุงที่อยู่แถวนี้ได้ พวกนางเป็นสาวใช้ของท่านผู้มีอำนาจ ทุกเรื่องที่ตำหนักซ่างชิงจะถูกจัดการโดยพวกนาง”
“ข้าทราบ ท่านอา” เยี่ยเจินจียืนอยู่ในห้องนอน สัมผัสเตียงที่ทำจากหยกเย็นอย่างระมัดระวัง ภายในห้องไม่ได้มีสิ่งของมากมาย แต่ของไม่กี่อย่างที่อยู่ที่นั่นก็ล้วนแต่ทำขึ้นมาอย่างวิจิตร งดงามมากเสียจนเขาทำได้เพียงจ้องมองและอ้าปากค้างเท่านั้น
“แล้วกระเป๋าของเจ้าล่ะ”
เยี่ยเจินจีหยิบกระเป๋าเอกภพใบเก่าโทรมออกมาและเทข้าวของข้างในออกมาด้วยความอาย
มีชุดเสื้อผ้าหลายชุด คัมภีร์แห่งเต๋าหลายเล่ม เช่นเดียวกับคู่มือการฝึกจิตใจ ของเล่นเด็กบางอย่าง ศิลาวิญญาณสองอัน และขวดหยกเสื่อมสภาพสองสามขวด โม่เทียนเกอเปิดขวดเพื่อตรวจดูของข้างใน มียาวิเศษสำหรับรักษาบาดแผลและยาบำรุงพลังจิตวิญญาณ แต่ก็มีเพียงแค่อย่างละสองหรือสามเม็ดเท่านั้น ในยาพวกนั้นยังมียาบำรุงพลังจิตวิญญาณที่กัดไปแล้วครึ่งหนึ่งอีกด้วย!
ดูเหมือนจะรู้ตัวว่าข้าวของของเขามอซอเกินไป เขาหน้าแดงและพูดว่า “ท่านอา ตอนข้าจากมามันไม่มีของมีค่าอะไรที่บ้านนอกเหนือจากของไม่กี่อย่างพวกนี้ อากงหัวหน้าตระกูลให้ข้าเอาทั้งหมดมาที่นี่”
โม่เทียนเกอยิ้ม คนพวกนั้นที่มีรากวิญญาณต่ำกว่ามาตรฐานที่ยังเหลืออยู่ในตระกูลเยี่ยคงยังไม่สามารถยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ดังนั้นถึงแม้พวกเขาจะย้ายถิ่นลงไปที่โลกมนุษย์ แต่พวกเขาก็ยังคงฝึกตนต่อ อีกอย่าง ด้วยของมีค่าส่วนใหญ่อยู่ในมือท่านอาที่สอง พวกเขาจึงไม่มีของสำคัญอะไร การไม่มีของมีค่าอะไรเหลืออยู่หลังจากยี่สิบปีก็เป็นไปตามคาด
หลังจากคิดไตร่ตรองอยู่พักหนึ่ง โม่เทียนเกอเอาขวดหยกเจ็ดขวดออกมาจากกระเป๋าเอกภพของนาง “สองขวดนี้บรรจุยาบำรุงพลังจิตวิญญาณ ในแต่ละขวดมียาร้อยเม็ด ข้าเดาว่าเจ้าคงเข้าใจประโยชน์ของมันแล้ว ส่วนขวดนี้บรรจุยาผสานพลังวิญญาณซึ่งก็มีฤทธิ์เพิ่มพลังของสารพลังชีวิตและทำให้พลังวิญญาณเริ่มต้นแข็งแรงขึ้นในระหว่างการฝึกตน พวกมันมีประสิทธิภาพมากกว่ายาบำรุงพลังจิตวิญญาณถึงสิบเท่า แต่เจ้าต้องเพิ่มระดับการฝึกตนของเจ้าให้มากกว่านี้หน่อยก่อนที่จะใช้มันได้ ฤทธิ์ของมันแรงเกินไปและระดับการฝึกตนของเจ้าก็ยังอ่อนแอเกินกว่าจะรับมือได้”
“ขวดนี้มียาชำระล้างพลังวิญญาณ หลังจากกินยาบำรุงพลังจิตวิญญาณทุกสิบเม็ด เจ้าต้องกินยานี้หนึ่งเม็ดเพื่อชะล้างสารพิษที่ตกค้างจากยาพวกนั้น ขวดนี้บรรจุยาฟื้นคืนสติซึ่งใช้สำหรับการถอนพิษ ถ้าเจ้าเกิดโดนสารพิษขึ้นมา ยานี้จะทำหน้าที่เป็นยาแก้พิษนั้น ส่วนขวดนี้มียาครอบจักรวาล ถ้าเจ้าใช้พลังวิญญาณไปจนหมดในการต่อสู้ด้วยพลังเวท การกินยานี้จะทำให้เจ้าฟื้นพลังวิญญาณกลับมาได้บางส่วน ขวดนี้มียากระจ่างใจ ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้ตั้งสติได้ดีขึ้นและช่วยให้สงบสติอารมณ์ได้ เมื่อไหร่ที่รู้สึกกระวนกระวาย เจ้ากินยานี้ได้”
พอเห็นว่ามือของเยี่ยเจินจีสั่นขณะเขาถือขวดพวกนั้น โม่เทียนเกอทำได้เพียงแค่ยิ้ม จากนั้นนางหยิบถุงกระเป๋าอีกใบออกมา “มีศิลาวิญญาณสองร้อยอันอยู่ในนี้ ข้ารู้ว่าศิษย์ใหม่ที่ยังไม่จบการศึกษาจากโถงเหมิงเสวียอย่างเจ้ายังไม่ได้รับอนุญาตให้ได้เงินส่วนแบ่งของศิษย์ สำหรับตอนนี้ข้าจะให้ศิลาวิญญาณพวกนี้กับเจ้าไปก่อนเพื่อที่เจ้าจะได้ใช้มันเวลาฝึกตน”
ก่อนหน้านี้เขามีเพียงแค่ศิลาวิญญาณสองอัน ซึ่งเขามักจะเก็บไว้และไม่เคยยอมใช้ ตอนนี้จู่ๆ เขาก็ได้ศิลาวิญญาณมาสองร้อยอัน! เยี่ยเจินจีตกตะลึงถึงที่สุด
แต่ยังไม่จบเท่านั้น หลังจากครุ่นคิด โม่เทียนเกอเอากระบี่ป่าขจีและไข่มุกรวมวิญญาณที่นางไม่ได้ใช้แล้วออกมา นางลูบของทั้งสองอย่างด้วยความรักและถอนใจแผ่วเบา ไข่มุกรวมวิญญาณไม่ได้ดีมากนัก แต่มันก็เป็นของที่พ่อของนางทิ้งไว้ให้และนำพานางมาสู่เส้นทางการฝึกตน พอระลึกได้เช่นนั้น ในที่สุดโม่เทียนเกอก็เก็บมันเข้ากลับกระเป๋าเอกภพและเอาม่านรวมพลังวิญญาณที่นางทำขึ้นออกมาแทน
“นี่คือกระบี่ป่าขจีที่ท่านอาของข้าเคยให้ข้าไว้ ตอนนี้ข้าจะมอบให้เจ้า มันคือของที่ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้ลงคาถาไว้ ดังนั้นมันจึงดีกว่าเครื่องมือวิญญาณธรรมดามากแน่นอน เจ้าต้องใช้มันให้ดีล่ะ ส่วนม่านรวมพลังวิญญาณ ถ้าเจ้าวางมันไว้รอบตัวเมื่อเจ้าฝึกตน เจ้าจะสามารถเพิ่มความหนาแน่นของพลังวิญญาณรอบตัวเจ้าได้”
เยี่ยเจินจีเกือบจะเหมือนตกอยู่ในภวังค์เมื่อเขารับของเหล่านี้ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นศิษย์ใหม่แต่เขาก็มีความรู้และประสบการณ์อยู่บ้างหลังจากเข้าโรงเรียนเสวียนชิง เขาเคยเห็นเครื่องมือวิญญาณที่เป็นของสหายศิษย์มาก่อน อย่างไรก็ตาม ก่อนที่พวกเขาจะจบการศึกษาจากโถงเหมิงเสวีย แผนกของพวกเขาจะไม่ให้เครื่องมือวิญญาณอะไร พวกคนที่ครอบครองของเหล่านั้นล้วนมีผู้อุปถัมภ์คอยหนุนอยู่ สำหรับศิษย์ไม่สำคัญที่มาจากโลกมนุษย์อย่างเขาก็ทำได้เพียงมองอย่างอิจฉาเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้น กระบี่ป่าขจีเล่มนี้ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นเครื่องมือวิญญาณระดับสูงซึ่งดีกว่าพวกเครื่องมือที่เขาเคยเห็นมาก่อนมาก!
“ท่านอา นี่มัน… มากเกินไป…”
“เจ้าเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นธรรมดาที่ข้าจะต้องให้สิ่งที่ดีที่สุดกับเจ้าเท่านั้น” หลังจากนางพูดเช่นนั้น โม่เทียนเกอก็แสดงสีหน้าเข้มงวดทันที “แต่เจ้าต้องระลึกไว้ในใจด้วยว่าเจ้าต้องพึ่งพาตัวเองเท่านั้นเมื่อเดินอยู่บนเส้นทางการฝึกตน ถ้าเจ้าชะล่าใจ ติดขัดและสูญเสียความสามารถในการก้าวหน้า สมบัติที่เจ้ามีจะกลายเป็นของไร้ค่าไม่ว่าเจ้าจะมีมากแค่ไหนก็ตาม!”
เมื่อได้รับสิ่งของทั้งหมดนี้แต่ก็ยังได้รับการเตือนสติอย่างเข้มงวดจากโม่เทียนเกอ เยี่ยเจินจีรู้สึกตกใจเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ไม่นานเขาก็ดึงสติกลับมาได้และก้มหัวอย่างจริงจัง “ข้าเข้าใจ ข้าจะตั้งใจในการฝึกตนและทำตัวให้สมกับความคาดหวังของท่านอาอย่างแน่นอนขอรับ”
ความจริงที่เด็กคนนี้เชื่อฟังและสอนง่ายทำให้โม่เทียนเกอพอใจมาก นางลูบหัวเขาและพูดว่า “เอาล่ะ อาจะไปฝึกตนแล้ว เจ้าจะฝึกตนก็ได้แต่ก็ไม่เป็นไรถ้าเจ้าอยากจะทำความคุ้นเคยกับที่นี่ก่อน ถ้าต้องการอะไร เจ้าเรียกข้าได้จากนอกห้องฝึกตน”
“ขอรับ”
“ท่านอา!” โม่เทียนเกอหันกลับไปแล้วและกำลังจะเดินจากไปเมื่อจู่ๆ เยี่ยเจินจีเรียกออกมากะทันหัน
นางหยุดและหันมามอง เยี่ยเจินจีหน้าแดงจ้องนางและกระซิบว่า “ข้าหิว”
โม่เทียนเกออึ้งไปและอดไม่ได้ที่จะเคาะหัวตัวเอง จากนั้นนางยิ้มให้เยี่ยเจินจีและบอกว่า “ผ่านมานานมาแล้วตั้งแต่ที่ข้ายังต้องกินอาหาร ข้าจึงลืมไปว่าเจ้ายังต้องกินอะไรบ้าง รอเดี๋ยวนะ ข้าจะบอกใครสักคนให้นำอาหารมาให้เจ้า”
หลังจากนางกลับไปที่ห้องฝึกตนและส่งเครื่องรางเรียกขานให้ซิ่วฉินเพื่อบอกนางให้หาใครสักคนมาส่งอาหารทุกวัน โม่เทียนเกอวางม่านพลังและเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน
ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน นางไม่ได้เข้ากระท่อมหลังเล็กเพื่อฝึกตนทันที นางยืนสัมผัสถึงลมเย็นอ่อนที่พัดอยู่รอบๆ แทนแล้วจึงนั่งลงข้างลำธารเล็กๆ
ข้าไม่ได้คาดคิดเลยว่าข้าจะบังเอิญเจอคนจากตระกูลเยี่ย…
นางไม่ได้โตมาในตระกูลเยี่ย ดังนั้นตระกูลเยี่ยจึงมีอยู่แค่ในจินตนาการของนางเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ท่านอาที่สองจะตายจากไป เขามักบอกนางเสมอว่าถ้านางมีความสามารถมากพอในอนาคต นางควรดูแลตระกูลเยี่ยด้วย ตอนนี้ที่นางเจอเข้ากับเด็กจากตระกูลเยี่ยจริงๆ นางจึงไม่มีเหตุผลที่จะเพิกเฉยต่อเขา
ตามคำพูดของเด็กคนนี้ ตระกูลเยี่ยมีชีวิตดีมากในโลกมนุษย์ ถึงขนาดมีผู้ฝึกตนหลายคนอยู่ในตระกูล แม้ว่าระดับการฝึกตนของพวกเขาจะไม่ดีพอและไม่น่าเอ่ยถึงในคุนอู๋ แต่คนธรรมดาก็ยังมองพวกเขาเป็นดั่งเซียน การใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้าง ตระกูลเยี่ยสามารถมีรากฐานที่มั่นคงในแคว้นเว่ยได้อย่างรวดเร็ว ตอนนี้พวกเขามีความร่ำรวย สุขภาพดี และมีเกียรติยศ พวกเขาคนหนึ่งได้เป็นถึงขุนนางเมืองฉางหนิงแห่งแคว้นเว่ย
โม่เทียนเกอรู้สึกโล่งใจที่ได้ยินเช่นนี้ สมัยนั้นตระกูลเยี่ยถูกบีบบังคับให้ย้ายไปยังโลกมนุษย์ เพราะนอกเหนือจากท่านอาที่สองแล้วก็ไม่มีผู้ฝึกตนที่แท้จริงสักคนเดียวในหมู่พวกเขา ถึงแม้ว่าบางคนจะมีรากวิญญาณ แต่รากวิญญาณพวกเขาส่วนใหญ่ก็เป็นรากวิญญาณห้าธาตุที่ปวกเปียก ถึงแม้ว่าพวกเขาจะต้องพึ่งยาวิเศษมาก่อน แต่พวกเขาก็แทบไม่สามารถฝึกตนได้จนถึงระดับที่สองหรืออาจจะสามของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ ถึงอย่างนั้นต้นทุนของพวกเขาก็เพียงพอแล้วให้พวกเขามีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ ห่างไกลจากโลกแห่งการฝึกตนที่เต็มไปด้วยการนองเลือด มีความสุขกับตำแหน่งสูงและความมั่งคั่งมหาศาลไป แล้วพวกเขาจะต้องการอะไรอีก? แม้แต่ตระกูลของประมุขเต๋าจิ้งเหอในโลกมนุษย์ซึ่งให้กำเนิดผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่หนึ่งคนและผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังหนึ่งคนก็ยังเป็นเพียงตระกูลธรรมดาที่สูงศักดิ์และร่ำรวย
คนจากตระกูลเยี่ยยอมแพ้ แต่หลังจากนั้นเยี่ยเจินจีก็เกิดมาเมื่อสิบปีก่อน พวกเขาดีใจแทบบ้าเพราะพอตรวจดูก็รู้ว่าเขามีรากวิญญาณสามธาตุอย่างไม่น่าเชื่อ ภายหลังเมื่อศิษย์โรงเรียนเสวียนชิงคนหนึ่งไปจัดการธุระบางอย่างในโลกมนุษย์ หัวหน้าตระกูลเยี่ยได้ให้การต้อนรับอย่างหรูหราที่บ้านพวกเขา ทำให้เยี่ยเจินจีสามารถกลับมาที่คุนอู๋และถึงกับเข้าโรงเรียนชื่อดังได้
นี่เป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อย เพราะเหตุนั้นแม้แต่โถงคนงานของยอดเขาวสันต์กระจ่างก็ยังไม่รับรู้ถึงตัวตนและพื้นเพของเยี่ยเจินจี ฉะนั้นจึงไม่ได้รายงานไปถึงประมุขเต๋าจิ้งเหอหรืออาจารย์เต๋าโส่วจิ้ง สำหรับโม่เทียนเกอ นางไม่มีทางรู้เรื่องนี้มาก่อนอย่างแน่นอน อันที่จริงถ้าไม่ใช่เพราะนางบังเอิญถูกประมุขเต๋าจิ้งเหอสั่งให้ทำนั่นทำนี่และหลัวเฟิงซูว์บังเอิญแนะนำให้นางไปที่โถงเหมิงเสวีย บางทีนางอาจจะต้องรอจนกว่านางจะก่อขุมพลังของนางได้และกลับไปที่ตระกูลเยี่ยในโลกมนุษย์เพื่อทำตามความปรารถนาของท่านอาที่สอง นางถึงจะได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของเยี่ยเจินจี ในตอนนั้นถ้าโชคของเยี่ยเจินจีไม่ดี เขาก็อาจจะอายุมากจนกลายเป็นชายชราไปแล้วก็ได้
ตระกูลเยี่ยระดมสมองเพื่อส่งเยี่ยเจินจีมาที่โรงเรียนเสวียนชิงเพราะพวกเขาไม่อยากให้ความสามารถของเยี่ยเจินจีต้องสูญเปล่า แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็อาจทำเช่นนั้นเพราะพวกเขายังต้องการชุบชีวิตตระกูลขึ้นมา
ถึงอย่างนั้น ต้นทุนตามธรรมชาติของเยี่ยเจินจีก็ปานกลาง การเข้าโรงเรียนชื่อดังได้นั้นถือว่าเขาโชคดีมากแล้ว การกระทำของตระกูลเยี่ยเป็นเพียงแค่ความพยายามลมๆ แล้งๆ แต่ที่จริงแล้วพวกเขากลับทำให้โม่เทียนเกอได้คิดพิจารณาถึงบางสิ่ง มันเป็นเวลาไม่กี่ปีตั้งแต่ตระกูลเยี่ยออกจากคุนอู๋และเห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็ยังอยากกลับมา ถ้าพวกเขารับรู้ถึงตัวตนของนาง บางทีพวกเขาอาจจะมีหวังอีกครั้ง
ดังนั้นโม่เทียนเกอตกลงใจแล้ว สำหรับตอนนี้นางจะยังไม่บอกให้ตระกูลเยี่ยรับรู้ถึงตัวตนของนาง มิเช่นนั้นนางคงไม่สามารถเลี่ยงปัญหาบางอย่างที่อาจเกิดขึ้นได้แน่ แน่นอนว่านางจะไม่ปล่อยให้พวกเขาต้องมืดบอดไปตลอด เมื่อเวลาที่เหมาะสมมาถึง นางจะเดินทางกลับไปยังตระกูลเยี่ยและทำตามคำสั่งเสียสุดท้ายของท่านอาที่สองให้ได้
พอถึงตอนนั้น นางยังต้องเตือนตระกูลเยี่ยด้วยเช่นกัน หากพวกเขาไม่มีผู้ฝึกตนระดับสูงมากพอ พวกเขาก็ไม่ควรวางแผนกลับมาที่คุนอู๋ แค่นี้ยังมีตระกูลผู้ฝึกตนเล็กๆ ที่ต้องตายในคุนอู๋ไม่พออีกหรือ ตระกูลอวี๋จากโรงเรียนตานติ่งมีผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังหลายคน แต่เมื่อหายนะเกิดขึ้น พวกเขาก็ตกต่ำลงไปอย่างนั้นเอง แม้แต่ชะตากรรมของพวกเขาโม่เทียนเกอก็ยังไม่รู้ แทนที่จะมีชีวิตอยู่อย่างนั้น น่าจะดีกว่าสำหรับตระกูลเยี่ยที่จะเพลิดเพลินกับความรุ่งเรืองและความร่ำรวยทั้งหลายที่โลกมนุษย์มีให้ ถ้าผู้สืบสกุลที่มีรากวิญญาณดีมาปรากฏกายเข้าสักวันหนึ่ง นางก็พร้อมจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือพวกเขา
โม่เทียนเกอส่ายหน้า โยนความคิดเหล่านี้ทิ้งไว้ที่เบื้องลึกของจิตใจ นางยืนขึ้นและเข้ากระท่อมหลังเล็กในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน พร้อมจะฝึกตน
ทุกวันนี้เยี่ยเจินจียังศึกษาคัมภีร์แห่งเต๋าไม่เสร็จสิ้นด้วยซ้ำ เส้นทางที่เขาต้องเดินยังอีกยาวไกล นางจะให้ยาวิเศษเขาในภายหลังและขอท่านอาจารย์ให้ช่วยเขา คาดว่าการสร้างฐานแห่งพลังของเขาไม่น่าจะมีปัญหา เขาอาจถึงขั้นก่อขุมพลังสำเร็จอีกด้วย แบบนั้นถึงจะถือว่าดูแลตระกูลเยี่ยได้อย่างเป็นธรรม
ด้วยการตัดสินใจเช่นนั้น โม่เทียนเกอนั่งลง ควบคุมพลังวิญญาณไปที่ตานเถียนและเริ่มการฝึกตนประจำวัน