ลิขิตรักส่งฉันมาเป็นคู่เธอ - ตอนที่ 189
ตอนที่ 189 แปลกประหลาดมาก
มันน่าอึดอัดใจเกินไป นี่การถูกเชื้อเชิญแล้วใช่ไหม? ทั้ง ๆ ที่บอกแล้วว่าตัวเองไม่ใช่นักแสดง ยังจะเชิญอีกเหรอ?
หวาเหวินมองไปทางหวาผิง แล้วหวาผิงก็หันกลับไปพูดว่า “ผู้กำกับเกา น้องห้าไม่ใช่นักแสดง คุณก็โรคจิตไปหน่อยไหมคะ? เห็นใครก็เชิญไปสักหมดทุกคน”
ผู้กำกับคนนั้นยิ้มแล้วพูดว่า “หวาผิง เธอไม่รู้อะไร ฉันรับผิดชอบฉากจีนโบราณมาส่วนหนึ่ง และจะต้องเริ่มเปิดกล้องทันที แต่ก็ยังขาดนางสนมไปคนหนึ่ง ที่ยังไม่มีใครเหมาะสมเลยสักนิดเดียว เราทำการเลือกนักแสดงหน้าใหม่จากในวงการบันเทิงมาก็ไม่น้อย ก็ยังไม่มีใครเข้าตาเลยสักคน เพราะลงทุนไปเยอะแล้ว ฉันเลยไม่กล้าหลอกลวงหรอก เมื่อเห็นคุณจากที่ไกล ๆ เมื่อกี้นี้ ก็เลยรู้สึกว่าเราน่าจะมีโชคชะตาต่อกัน ผู้หญิงคนนี้ดูสวยและมีเสน่ห์มากจริง และยังมีการแยกแยะได้อย่างชัดเจน ฉันกล้ารับประกันเลย ว่าถ้าได้แสดงฉากโบราณของฉัน จะต้องดังระเบิดอย่างแน่นอน ในเมื่อก็เป็นน้องห้าของเธอ ค่าตัว ฉันให้เท่ากับดาราอันดับสองเลยก็ได้นะ เธอคิดว่าไง?”
ผู้กำกับคนนี้ถูกใจหวาเหวินมาก ใบหน้าที่ดูโดดเด่น ใครเห็นใครก็ชอบ
แม้กระทั่งค่าตัวก็ยังคุยกันได้ นี่คือการเชื้อเชิญด้วยความจริงใจทีเดียว
แต่ปัญหาก็คือ …….. เจ้าตัวยังไม่ได้พูดอะไรออกไปเลย?
หวาผิงรู้จักนิสัยของหวาเหวินดี จึงได้พูดแทนเธอออกไป “เอาละ ๆ ผู้กำกับอย่ามากวนน้องห้าเลย ครอบครัวของเราก็ทุกข์ใจกับฉันคนเดียวก็เกินพอแล้วนะ”
“ไอหยา หวาผิง เธอไม่ให้น้องของเธอคิดสักหน่อยเหรอ?” ผู้กำกับคนนั้นยังไม่วางใจ
“ไม่ต้องคิดหรอก” หลังจากที่ปฏิเสธไป หวาผิงก็มองไปทางหวาเหวิน “เธอไม่รับหรอกใช่ไหม?”
“อื้อ”
“ดังนั้นฉันเลยปฏิเสธแทนเธอไปไง ในวงการบันเทิงอ่า เป็นสังคมเสื่อมทราม ไม่มีคนดี ๆ หรอก เธอจงจำไว้ ดังนั้น…..อย่าเข้ามา ฉันเข้ามาแล้วยังรู้สึกเสียใจไม่หายเลย รู้งี้ไปเป็นครูเหมือนกับน้องสี่ดีกว่าไม่แน่ว่าตอนนี้อาจจะแต่งงานมีลูกไปแล้วก็ได้ ใครจะยอมมาเปลี่ยนเป็นผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จแต่ยังคงความโสดแบบนี้ละ
จริง ๆ แล้วหวาผิงก็ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว เธออายุ 28 ปีแล้ว และยังไม่มีแฟน สำหรับคนธรรมดาทั่วไปอาจจะบอกว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว
และถ้าปล่อยให้เวลาล่วงเลยผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์อีกหลายปี เกรงว่าก็คงจะพลาดช่วงเวลาที่สวยที่สุดของผู้หญิงไป
“แต่ละคนต่างก็มีต้องการ ความปรารถนาไม่เหมือนกัน งานอดิเรกของพี่และงานอดิเรกของพี่สี่ก็ต่างกัน มันเทียบกันไม่ได้” หวาเหวินปลอบใจเธอ
พี่น้องทั้งสองคนนั่งลงคุยเล่นกันสักพัก ทำให้ดึงระยะห่างระหว่างพี่น้องเข้ามาใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น
เมื่อชุนเถาเห็นคุณหนูมีคนที่สนิทชิดเชื้อสักสองสามคนก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องโดดเดี่ยวอีกแล้ว
หลังจากที่หวาเหวินกลับไป หวาผิงก็ทำการถ่ายทำต่อ ตอนเลิกกองก็ปาไป 6 โมงเย็นแล้ว
จากนั้นเธอก็รีบไปอัดรายการที่สถานีโทรทัศน์ เกี่ยวกับหนังเรื่องใหม่ของเธอ
ถึงแม้ว่าหวาผิงจะหมดเรี่ยวหมดแรงแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีสปิริตต่อไป
หวาผิงและนักแสดงนำชาย แล้วก็ยังมีผู้เขียนบทอีกคนหนึ่ง ทั้งสามคนได้รับเชิญให้มาสัมภาษณ์สดด้วยกัน
ผู้ดำเนินรายการหญิงที่อยู่ในนั้นได้ถามประโยคหนึ่งว่า “ในภาพยนตร์เรื่องใหม่นี้ ทั้งสองคนมีความสนิทสนมกันมากขึ้นไหมคะ? ได้ยินมาว่านี่เป็นการร่วมงานกันครั้งแรกของทั้งสองคน แฟนคลับของทั้งสองคนต่างก็เฝ้ารอคอยกันมากทีเดียวนะคะ”
หวาผิงยิ้มแบบแฝงไปด้วยความหมายบางอย่าง ส่วนนักแสดงชายคนนั้นก็ตอบกลับไปด้วยความจริงใจว่า “มีครับ ผมกับหวาผิงเรามีฉากจูบในเรื่องทั้งหมด 8 ฉาก เพราะต้องแสดงฉากคู่รักกัน อีกอย่างเราก็มีประสบพบเจอกับความยากลำบากมามากมายขนาดนั้น ดังนั้นในช่วงเวลานี้จึงค่อนข้างสนิทกันมากขึ้นครับ ช่วงนี้ผมได้อ่านสคริปต์ตลอด เพราะอยากจะเข้าใจความรู้สึก เพื่อให้ตัวเองเข้าถึงบทบาทมากยิ่งขึ้น”
เดิมทีคำตอบนี้มันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่ความซวยยังไงก็เป็นความซวย เพราะรายการนี้ถูกคนขี้หึงบางคนเห็นเข้าให้แล้ว
หวางเซียวอี้สวมใส่เสื้อคลุมอาบน้ำ กำลังดื่มไวน์แดงอยู่ภายในบ้านของตัวเอง
เมื่อเห็นช่วงเวลานี้ ก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาในทันที เขายังคิดอย่างละเอียด ฉากจูบ 8 ฉาก? นั้นก็หมายความว่าจะต้องถูกคนจูบทั้งหมดแปดครั้ง?
เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้ ในใจของหวางเซียวอี้ก็ไม่เป็นสุขขึ้นมาทันที
สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ หลังจากที่รายการนี้จบลง หวาผิง และพวกเขาทั้งสามคนเพิ่งจะลงจากเวทีได้ไม่นาน ก็ได้รับข่าวจากบริษัทว่า นักลงทุนต้องการถอนตัว นั้นเท่ากับว่าถ่ายฉากนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว
หวาผิงและผู้กำกับชายถึงกันตื่นตกใจไม่น้อย
“นี่…..นี่…..ทำไมถึงเป็นแบบนี้ละ?” ใบหน้าของผู้กำกับซีดเผือดลง ต้องรู้ว่าค่าจ้างในการถ่ายทำฉากนี้คิดเป็นจำนวนเงินกว่า 60 ล้านหยวนเลยทีเดียว ไม่ใช่ตัวเลขน้อย ๆ
ถ้าแสดงฉากนี้ไปแล้ว นั้นเท่ากับว่าได้รับความเสียหายอย่างมหาศาลเลยทีเดียว
ในใจของหวาผิงเกิดความรู้สึกบางอย่าง รู้สึกว่าเรื่องนี้มันผิดปกติเกินไป มันเหมือนกับเรื่องที่เกิดขึ้นในงานรับรางวัลในวันนั้น?