ลิขิตรักส่งฉันมาเป็นคู่เธอ - ตอนที่ 242
ตอนที่ 242 หึงหวงเลือนราง
ป๋ายห้าวยิ้มด้วยความลำบากใจ จากนั้นก็เดินต่อไปข้างหน้าตรงไปยังสถานีตำรวจโดยไม่หันกลับไปมองอีก
เขาไม่รู้ว่าทำไมหวาฟ้านถึงให้โอกาสเขา แต่ถ้า เสี่ยวฟ้านทำเพื่อเขา ตัดขาดจากครอบครัว เขาไม่ยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้นแน่
ถึงแม้ว่าป๋ายห้าวจะมีฐานะที่ค่อนข้างธรรมดาก็ตาม แต่ครอบครัวของเขาก็สอนเขามาเป็นอย่างดี พ่อกับแม่ของเขาต่างก็เป็นคนซื่อสัตย์ สอนเขาให้รู้จักเป็นคนกตัญญูรู้คุณมาตั้งแต่เด็ก ๆ
เขาทำแบบนั้นไม่ได้ ครอบครัวของฝ่ายหญิงคงจะไม่ยอมแน่ ๆ สุดท้ายก็หนีตามกัน ถึงอย่างไร ก็ยังมีประโยคที่ว่าถูกต้อง งานแต่งที่ไม่ได้คําอวยพรจากครอบครัวจะกลายเป็นงานแต่งที่ไม่สมบูรณ์
ถึงแม้ว่าหวาฟ้านจะยอมตัดขาดความสัมพันธ์กับครอบครัวเพื่อเขาชั่วคราวก็ตาม แล้วหลังจากนั้นล่ะ? ยังไงก็ต้องตำหนิเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้นเมื่อป๋ายห้าวคิดไปคิดมา ก็ทำการตัดสินใจได้ในที่สุด ในเมื่อมีคนเข้ามาจีบเธอ ก็น่าจะยินดีกับเธอไม่ใช่เหรอ ?
หลังจากที่หวาฟ้านกลับมาถึงโรงเรียนแล้ว ก็ทำการยื่นใบลาป่วย จากนั้นก็พาตัวเองกลับไปขังตัวเองอยู่ในห้อง
ซึ่งไม่ได้แตกต่างจากการอกหักครั้งแรกเลยแต่อย่างใด บางทีอาจเป็นเพราะว่าเธอเป็นผู้หญิงที่อ่อนไหวต่อความรู้สึกง่าย ดังนั้นจึงให้ความสำคัญกับความรักมากเกินไป ส่งผลให้เจ็บลึกจนยากที่จะหลุดพ้น
และในเวลาเดียวกันข่าวลือระหว่างหวาผิงและแซ่จื๋อจ้วนก็เริ่มดังกระฉ่อนขึ้น ซึ่งความจริงแล้วในช่วงนี้หวาผิงกับแซ่จื๋อจ้วนไม่ได้เจอกันเลยด้วยซ้ำ
เพียงแต่เป็นเพราะว่าแซ่จื๋อจ้วนได้เชิญหวาผิงมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังของบริษัทของเขา——น้ำค้างเซีองเฟย
คนที่คอยดำเนินการในเรื่องของการทำสัญญาก็คือ เหวินเซวียน ผู้ช่วยสาวของแซ่จื๋อจ้วน และก็ยังมีผู้จัดการของหวาผิงพี่หลิวอีกคนด้วย
ระดับชื่อเสียงของหวาผิงนั้นติดอันดับต้น ๆ ของวงการ อีกทั้งเธอยังไม่ค่อยรับถ่ายโฆษณาที่มันค่อนข้างวุ่นวายอีกด้วย พื้นฐานคือต้องเป็นแบรนด์ การตอบตกลงทำสัญญากับแซ่จื๋อจ้วนในครั้งนี้ ก็เพื่อไว้หน้ากัน
อีกทั้งยังได้ยินมาว่า ค่าตัวของหวาผิงนั้นมีมูลค่าสูงถึง 50 ล้านหยวนต่อปีเลยทีเดียว เธอยังลดค่าตัวให้กับแซ่จื๋อจ้วนตั้ง 40% เลยทีเดียว และเก็บแค่เพียง 30 ล้านต่อปี
เรื่องนี้สร้างความตื่นตระหนกให้กับสื่อมวลชนไม่น้อย และมีอีกหลายคนที่แทบจะยอมรับว่า หวาผิงและแซ่จื๋อจ้วนนั้นกำลังคบหาดูใจกันอยู่
ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่เดินทางมาถึงตอนนี้…….
ดังนั้นเพื่อที่จะดึงดูดความสนใจ สื่อมวลชนต่างพยายามทุกวิถีทาง ไม่ให้ทั้งสองเสื่อมเสียชื่อเสียง จึงทำได้แค่เพียงยกขึ้นเหนือหัวเท่านั้น
ทั้งสองคนความเหมาะสมกันจะตาย ถ้าแต่งงานกันตระกูลแซ่และตระกูลหวาก็จะเกี่ยวดองกัน ทั้งชายและหญิง ต่างก็เข้ากันได้เหมือนกิ่งทองใบหยก
เรื่องที่น่าสนใจที่สุดก็คือข่าวซุบซิบจากสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง เขียนว่า คนที่แซ่จื๋อจ้วนอยากจะแต่งงานด้วยในตอนแรกก็คือหวาผิง แต่หวาผิงกลัวการแต่งงาน ดังนั้นพอเรื่องมาถึงตัวก็หายต๋อมไปกันหมด หมดหนทางที่จะรักษาหน้าของตระกูลหวาได้ จึงตัดสินใจบีบบังคับหวาเหวินขึ้นรถแต่งงาน แต่เมื่อแซ่จื๋อจ้วนได้ยินว่าเจ้าสาวไม่ใช่หวาผิง จึงทำการหนีงานแต่ง จากนั้นหวาเหวินเลยโดนจับให้แต่งงานกับเจียงหยู่เพื่อรักษาหน้าไว้
บทความนี้เน้นใจความสำคัญไปความรักของคนทั้งสี่คนสี่มุมมอง เมื่อหวาเหวินอ่านจบก็อดที่จะหลุดขำออกมาไม่ได้
“คุณหนูคะ ขำมากขนาดนั้นเลยเหรอคะ?” หยินซิ่งที่นั่งเท้าคางอยู่บนพื้น ก็ได้ถามขึ้น
“ไร้สาระ คาดว่าสื่อมวลชนกลุ่มนี้น่าจะเป็นผู้อำนวยการที่โอเว่อร์โอวัง แต่งงานแทนพี่สาว พวกเขาก็คิดกันได้เนอะ”
“ใช่ค่ะ แต่จะว่าไปแล้ว ช่วงนี้คุณหนูสามก็มีความสนิทสนมกับแซ่จื๋อจ้วนมากอยู่นะคะ บางทีอาจจะมีการพัฒนาความสัมพันธ์กันก็ได้? คุณหนูสามยังโสด แซ่จื๋อจ้วนเองก็โสด เรื่องนี้ไม่บ้านะคะ” หยินซิ่งกลับรู้สึกว่าถ้าเรื่องนี้เป็นจริงขึ้นมา ก็ไม่น่าจะไม่มีทางเป็นไปได้นี่
ชุนเถาก็ได้พูดแทรกขึ้นมาจากด้านข้าง “บ่าวรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ นิสัยอย่างคุณหนูสาม ไม่ชอบผู้ชายแบบแซ่จื๋อจ้วนหรอก”
หวาเหวินเอาแต่หัวเราะโดยไม่พูดอะไร และก็ไม่แสดงความคิดเห็นใด ๆ อีกด้วย
แต่กลับมีคน เริ่มรู้สึกหึงหวงขึ้นมาลาง ๆ แล้ว
สำนักงานใหญ่ของตระกูลหวาง
หวางเซียวอี้ได้โทรศัพท์ไปหาเจียงหยู่ เพื่อถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “แซ่จื๋อจ้วนกับหวาผิง?”
เจียงหยู่ตะลึงงันไปเมื่อถูกถาม
“อ่า?”
“นายไม่ได้อ่านข่าวเหรอ?”
“อ่า นายหมายถึงข่าวนั้น มันเรื่องไร้สาระทั้งนั้น อย่าบอกนะว่านายเชื่อด้วยอ่ะ?” เจียงหยู่พูดขึ้น
“หวาผิงเป็นพรีเซ็นเตอร์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพให้กับแซ่จื๋อจ้วน อย่างนี้อ่านะเรียกว่าไร้สาระ?” หวางเซียวอี้พูดขึ้นด้วยความไม่พอใจ