ลิขิตรักส่งฉันมาเป็นคู่เธอ - ตอนที่ 262
ตอนที่ 262 ขอเป็นแค่คนธรรมดา
“อื้อ งั้นก็ดี”
เสียงของหวาเหวินนั้นฟังดูสบาย ๆ แต่ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อได้ยินเสียงของเธอ แซ่จื๋อจ้วนกลับรู้สึกสบายใจขึ้นมาซะอย่างนั้น
“ฉินชุงเจี้ยนบอกว่า ตอนแรกนั้นน้องสาวของฉันอยู่ที่เมืองกาฐมาณฑุ แต่เธออยู่ได้ไม่ถึงสองวันก็ออกจากเมืองไป ก่อนจะครบ 12 ชั่วโมงมีคนเห็นเธอนั้นปรากฏตัวขึ้นที่เมืองโปขระ คนของเราและคนของฉินชุงเจี้ยนกำลังไปตามหาตัวเธออยู่ หวังว่าจะได้เจอตัวเธอเร็ว ๆ นี้”
“ดี” จะว่าไปแล้วเพราะอาการป่วยของหวาฟ้าน สภาพจิตใจของหวาเหวินจึงไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ดังนั้นเธอจึงไม่ได้สนใจเรื่องของแซ่จื๋อจ้วนสักนิด
อีกทั้งเป็นเพราะว่าก่อนหน้านั้นเธอได้ช่วยดูดวงให้กับเขา ว่าแซ่หลิงจะต้องกลับมาอย่างแน่นอน เขาจึงไม่ได้เป็นห่วงมากมายเท่าไหร่นัก
“ที่ฉันโทรมาหาเธอก็เพื่อที่จะขอบคุณ เธอทำนายได้แม่นยำจริง ๆ “
“ไม่ต้องเกรงใจ แต่ฉันมีเรื่องอยากจะพูดกับนายสักหน่อย”
“ว่ามาเลย” แซ่จื๋อจ้วนชอบใจเป็นที่สุด
“เรื่องการทำนายของฉัน นายห้ามเอาไปบอกใครเด็ดขาด เดิมทีมันเป็นเพียงแค่งานอดิเรกเท่านั้น ไม่ได้อยากทำให้เป็นที่รู้จักเท่าไหร่ “
“ได้ ฉันจะช่วยเธอเก็บเป็นความลับให้”
“อื้อ”
“แล้วช่วงนี้เธอว่างไหม? ฉันอยากชวนเธอไปทานข้าวด้วยกันสักมื้อ?” แซ่จื๋อจ้วนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะลองเอ่ยปากชวนออกไป
“ช่วงนี้ฉันไม่ค่อยว่างหรอก พอดีมีเรื่องเกิดขึ้นที่บ้าน”
“ได้ งั้นฉันจะรอเธอว่างนะ”
หลังจากที่วางสายของแซ่จื๋อจ้วนไป หวาเหวินก็รีบตรงไปยังโรงพยาบาลทันที เธอเป็นห่วงสถานการณ์ของหวาฟ้านตลอดเวลา
เมื่อหวาเหวินมาถึงโรงพยาบาล ก็เห็นหวาผิงอยู่ในห้องด้วยพอดี
ทั้งสามพี่น้องพูดคุยกันอยู่พักใหญ่ จากนั้นหวาผิงก็ขอตัวกลับไปพร้อมกับผู้จัดการส่วนตัวเพราะมีงานสัมภาษณ์ต่อ
ชุนเถาและหยินซิ่งได้ออกไปเตรียมอาหารมื้อค่ำมาให้กับหวาเหวิน
หวาเหวินจึงอยู่เป็นเพื่อนกับหวาฟ้านในห้องพักคนไข้ VIP อย่างเงียบ ๆ
“เหวินเหวิน”
“พูดมาได้เลยค่ะพี่สี่”
“ฉันจะไม่ตายใช่ไหม?” หวาฟ้านถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า
“อย่าพูดจาเหลวไหลอย่างนั้นสิ ทำไมถึงได้ถามแบบนี้ละคะ?” เมื่อหวาเหวินถูกถามก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาทันใด
ริมฝีปากที่แห้งผากได้กระตุกยิ้มเป็นเส้นโค้ง “วันนี้พ่อกับแม่มาเยี่ยมฉันแล้ว หลังจากนั้นพี่ใหญ่และพี่รองก็มาเยี่ยมฉันในตอนบ่าย แล้วก็ตามมาด้วยพี่สาม การที่ทุกคนต่างระดมพลกันมาพร้อมหน้ากันแบบนี้ น่าจะเป็นเพราะว่าอาการป่วยของฉันมันไม่ดีเลยใช่ไหม?”
“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย ฉันบอกพี่ไปแล้วว่าพี่เป็นไข้ ทุกคนในบ้านจึงมาเยี่ยมด้วยความเป็นห่วง”
“แต่ฉันเห็นแม่ร้องไห้นะ ถึงแม้ว่าหล่อนจะมีความสามารถในการควบคุมตัวเองได้ก็ตาม แต่ดวงตาของหล่อนกลับแดงก่ำ ฉันรู้ว่าเธอผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักหน่วง” หวาฟ้านพูดด้วยความเชื่อมั่น
“แม่แค่ปวดใจกับพี่เท่านั้น และยังรู้สึกเสียใจที่แสดงทัศนคติที่ไม่ดีกับป๋ายห้าวในวันนั้นด้วย ทำให้พวกพี่ต้องเลิกกัน ดังนั้นจึงรู้สึกผิดอยู่ในใจ” หวาเหวินนั้นมีปฏิกิริยาไหวพริบดี กลัวว่าหวาฟ้านจะคิดมากเกินไป ดังนั้นเธอจึงได้หาเหตุผลมาพูดโน้มน้าวอีกฝ่าย
เมื่อหวาฟ้านได้ยินก็รู้สึกสงบลงไม่น้อย ก่อนจะยื่นมือออกไป “มา ช่วยดึงฉันลุกขึ้นนั่งหน่อยสิ”
“คะ”
หวาเหวินช่วยพยุงหวาฟ้านขึ้นมานั่งบนเตียงคนไข้
“ขอส้มให้ฉันลูกหนึ่ง” หวาฟ้านชี้ไปทางตะกร้าผลไม้ เธอดูมีความอยากอาหารขึ้นมาอย่างฉับพลัน
หวาเหวินยิ้มแล้วหยิบส้มให้เธอ
“เหวินเหวิน เธอว่าอาการป่วยครั้งนี้จะทำให้พ่อกับแม่เปลี่ยนทัศนคติบ้างไหม จะยอมรับฉันกับป๋าวห้าวไหม? จะว่าไปแล้ว มันก็เป็นเรื่องจริงที่ฉันดื้อรั้นมาโดยตลอด แต่พี่ใหญ่และพี่รองก็ไม่ได้แต่งงานกับตระกูลร่ำรวยนี่ สามีของพวกเธอก็เป็นแค่คนธรรมดา แต่มีสิทธิ์อะไรมาทำให้ฉันต้องลำบากไปด้วยอ่า?” หวาฟ้านมีความหวังที่ริบหรี่ จึงได้พูดออกมามากมาย
หวาเหวินยิ้ม “บางที พี่ใหญ่กับพี่รองก็อาจจะหน้าตาไม่ดีก็ได้นะ”
“ฮ่าฮ่า เธอก็อย่าพูดไป พูดดี ๆ “ หวาฟ้านพูดล้อ
“ฉันคิดว่า ในช่วงเวลานั้นของพี่ใหญ่ พ่อกับแม่คิดแค่เพียงหาลูกเขยให้ได้สักคน ให้มาช่วยเหลือจุนเจือครอบครัวในวันข้างหน้า ความจริงก็ได้พิสูจน์แล้วว่าในหลายปีมานี้พี่ใหญ่นั้นทุ่มเทแรงกายให้กับบริษัทอย่างมาก ส่วนพี่รองนั้นได้ยินมาว่าพ่อของสามีพี่รองรับราชการ หลังจากแต่งงานกันในปีนั้น พ่อของสามีพี่รองก็เป็นผู้บริหารระดับสูงของการคลังในภาครัฐทันที แต่นึกไม่ถึงว่าหลังจากนั้นครึ่งปีจะเป็นมะเร็งตับอ่อนแล้วตายจากไปในที่สุด สามีพี่รองจึงต้องระหกระเหินออกจากตระกูล กลายมาเป็นที่ระบายอารมณ์ของพี่รองไปโดยปริยาย แต่ยังไง พวกเขาก็ไม่ใช่คนธรรมดานะ ซึ่งแตกต่างจากป๋ายห้าวไม่น้อย” หวาเหวินวิเคราะห์ได้อย่างมีเหตุผล
เมื่อหวาฟ้านได้ยินก็พยักหน้าตาม “ที่เธอพูดก็ถูก แต่ตอนนี้ฉันก็เข้าใจว่าทำไมเจ้าหญิงและเจ้าชายมากมายในสมัยโบราณต่างก็ขออย่าให้เกิดในวังอีกในชาติหน้า ถ้าเลือกได้ ฉันยอมเกิดใหม่ในชาติหน้าดีกว่าต้องมาเกิดในตระกูลมั่งคั่งร่ำรวยแบบนี้ เป็นคนธรรมดาก็ดีเหมือนกัน ธรรมดาแต่ก็มีความสุข ชาตินี้ ฉันขอแค่เป็นคนธรรมดา ก็ยังทำไม่ได้เลย”
หวาฟ้านเป็นคนที่มีความรู้และลึกซึ้งมาก ดังนั้นจึงมักจะพูดคุยในชีวิตประจำวันกับหวาเหวินอยู่บ่อย ๆ และมักจะพูดคุยเรื่องความคิดและการตระหนักรับรู้ของตัวเองอยู่เสมอ
“เธอละ น้องห้า ถ้าให้เธอเลือก เธอจะยอมเกิดมาในครอบครัวแบบไหน เป็นคนแบบไหน?” หวาฟ้านถามหวาเหวินด้วยความอยากรู้