ลิขิตรักส่งฉันมาเป็นคู่เธอ - ตอนที่ 283
ตอนที่ 283 ฉันเพียงพอแล้ว
ป๋ายห้าวพยักหน้า “ฉันพูดเอง ให้เธอรู้เถอะ จะช้าหรือเร็วก็ต้องรู้อยู่ดี”
ตอนที่หวาฟ้านรู้ว่าตนเองเป็นมะเร็งปอดอย่างแน่ชัดแล้ว ไม่นึกเลยว่าจิตใจจะสงบกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก จริงๆเธอก็เป็นคนหนึ่งที่ท้อแท้ได้ง่าย
บางทีในใจคงยอมรับตั้งแต่แรกแล้ว คงยากที่ตนเองจะหลบหนีจากมหันตภัยนี้ ดังนั้นในทางกลับกันหลังจากที่ยืนยันอย่างแน่ชัดแล้ว ก็ผ่อนคลายลงได้
เธอดูผลที่อยู่บนรูปภาพ แล้วก็มองหวาเหวินกับป๋ายห้าวที่อยู่ในห้องคนไข้ ยิ้มๆ
“รู้แต่แรกแล้วว่าจะเป็นอย่างนี้” เธอยิ้มเล็กน้อย
“พี่สี่……” หวาเหวินอยากจะปลอบเธอสักกี่คำ แต่ก็ไม่รู้ว่าพูดอะไรแล้วจะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นได้บ้าง
“เหวินเหวินพี่ไม่เป็นไร เธอไม่ต้องพูดหรอก”
“เสี่ยวหลิน คุณวางใจได้ งานแต่งของพวกเราจะดำเนินการตามเดิม รอร่างกายคุณฟื้นฟูได้อีกสักหน่อย พวกเราจะไปถ่ายพรีเวดดิ้งกัน”
“ฉันยังไม่ได้บอกพ่อแม่เลย”
“ไม่เป็นไร อย่างก็ตามไม่ว่าพวกเขาจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ฉันก็จะแต่งงานกับเธอ” ป๋ายห้าวจับมือของหวาฟ้านแน่น อยากจะให้ความรู้สึกปลอดภัยที่เพียงพอแก่เธอ โดยเฉพาะในเวลานี้
แรกเริ่มตอนที่คุณหมอปรึกษากัน คนไข้ไม่ได้รับอนุญาตให้ฟังด้วย กลัวว่าในใจจะรับไม่ไหว
แต่หวาฟ้านไม่เหมือนกัน เธอเป็นคนที่มีสติมากคนหนึ่ง รับมือกับความโชคร้ายทั้งหมดด้วยความสงบ
ดังนั้น สุดท้ายแล้ว หวาเหวิน ป๋ายห้าวและหวาฟ้านทั้งสามคน จึงเชิญคุณหมอผู้รักษาเข้ามาที่ห้องคนไข้เพื่อทำการวินิจฉัย
คุณหมอผู้รักษายังพาผู้เชี่ยวชาญที่ทรงคุณวุฒิด้านศัลยกรรมทรวงอกมาด้วยอีกสองคน ไม่อยากจะให้มีความผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ถึงอย่างไรชีวิตก็สำคัญที่สุด
“หมอขออธิบายอาการของคนไข้ให้พวกคุณฟังสักหน่อยนะครับ” คุณหมอมองไปที่สามคนนั้น ถือเอกสาร เริ่มอธิบายให้พวกเขาฟัง “เป็นที่แน่นอนแล้วว่าคนไข้เป็นมะเร็งปอด และเป็นมะเร็งปอดต่อม จริงๆแล้วเรื่องนี้ยังเป็นความโชคดีที่อยู่ในความโชคร้าย อัตราความเป็นไปได้ของยามุ่งเป้าก็สูงถึง65% มียาหลายประเภทมากที่สามารถเข้ากันได้ ประเภทมะเร็งปอดต่อมนี้ มักจะเกิดกับเพศหญิง และคนที่เป็นโรคอายุค่อนข้างน้อย” พูดจบ คุณหมอก็มองหวาฟ้าน แน่นอนว่าเธอเพิ่งจะ 26 ปีเท่านั้น
“และยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ค่อนข้างสำคัญ คนไข้เป็นระยะแรก ก็บอกได้ว่า มีแผนการรักษามากมาย อีกทั้งมะเร็งปอดต่อมยังมีส่วนดีอีกนิดหน่อยคือโตช้า หากว่าควบคุมได้ดี อาจจะสามปีห้าปี แม้กระทั่งสิบปีแปดปีก็ไม่แพร่กระจายและเปลี่ยนแปลง ดังนั้นหมอจึงบอกว่า นี่ก็ถือเป็นผลที่ดีอย่างหนึ่งแล้ว เพียงแค่คนไข้ควบคุมอาหารการกิน ปรับสุขภาพจิตให้ดี แล้วให้ความร่วมมือกับการรักษาของพวกเรา หมอเชื่อว่า ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ครับ”
หวาฟ้านฟังจนจบอย่างสงบ ถามคุณหมอ “ฉันจะอยู่ได้นานที่สุดแค่ไหนคะ?”
“อันนี้ก็ตอบไม่ได้ครับ ต้องขึ้นอยู่กับสุขภาพร่างกายของแต่ละคน”
“คุณหมอคาดการณ์ให้ฉันสักหน่อยเถอะค่ะ ฉันจะได้รู้” หวาฟ้านซักไซ้
“ผมคิดว่าจากสถานการณ์ของคุณ หกถึงแปดปีก็คงไม่มีปัญหา” คุณหมอประคองกรอบแว่นเล็กน้อย แล้วกำหนดระยะเวลาออกมา
หวาเหวินฟังแล้วค่อนข้างปวดใจ หกปี แปดปี นี่เท่ากับอายุขัยของแมวหมาชีวิตหนึ่งเองนะ
แต่หวาฟ้านฟังแล้วกลับแสดงความรู้สึกที่ปลื้มใจออกมา บางทีสำหรับเธอ นี่คงเป็นทั้งความตกใจและดีใจอย่างยิ่ง เธอหันไปยิ้มแล้วมองป๋ายห้าว “ดีจริงๆ ไม่นึกว่าฉันจะยังมีชีวิตอยู่ได้นานขนาดนั้น ดีจริงๆ”
“เสี่ยวหลิน คุณจะต้องอายุยืนยาวถึงร้อยปี” ป๋ายห้าวกอดเธอเอาไว้ ปลอบเบาๆ
หวาฟ้านพิงอ้อมอกของป๋ายห้าว บ่นด้วยเสียงทุ้มต่ำอีกครั้ง “ดีจริงๆ ยังมีเวลาอีกหกปีแปดปีนะ ฉันเพียงพอแล้ว”
“อย่างนั้นคนไข้พักผ่อนก่อนนะครับ คราวหน้าพวกเราจะให้แผนการรักษาสักกี่วิธี ถึงเวลานั้นหลังจากที่ครอบครัวพวกคุณปรึกษากันแล้ว ค่อยตัดสินใจอีกครั้งครับ” หลังจากที่คุณหมอออกไป หวาเหวินก็ออกไปด้วย เบ้าตาแดงๆของเธอ กลัวว่าหวาฟ้านเห็นเธอร้องไห้ จะยิ่งเสียใจ จึงทำได้เพียงมาที่ระเบียงแล้วไม่สบายใจอยู่เงียบๆ
หยิบมือถือออกมา ไม่รู้เลยจริงๆว่าควรจะส่งข้อความบอกใคร? สุดท้ายแล้ว เธอก็ยังส่งข้อความไปหาเจียงหยู่
“เมื่อครู่คุณหมอบอกว่า พี่สี่ของฉันมีชีวิตอยู่ได้แค่หกถึงแปดปี”
หลังจากเจียงหยู่ได้รับวีแชทแล้ว ก็โทรมาหาเธอทันที
“เหวินเหวิน คุณยังอยู่โรงพยาบาลไหม?