ลิขิตรักส่งฉันมาเป็นคู่เธอ - ตอนที่ 69
ตอนที่ 69 ตอนสุดท้าย
คำพูดของหวาเหวินประโยคนี้ ทำเอาหวาเจินเยว่และภรรยาดูแย่ไปเลย
บรรยากาศภายในรถตอนนี้จึงเป็นไปอย่างอึดอัด ยังดีที่ชุนเถามีสติ
รีบเอาผลไม้ขึ้นมาปอกเปลือก แบ่งให้ทุกคนทาน ทำให้บรรยากาศเปลี่ยนจากอึดอัดให้อบอุ่นขึ้นมาหน่อย
ช่วงเวลากลางวันของเจียงหยู่ที่ทำงานเป็นไปด้วยความยุ่ง หลังเลิกงานเขากลับบ้านใหญ่พร้อมพ่อเพื่อไปทานอาหารที่บ้าน
คุณนายเจียงเห็นว่าลูกชายกลับมาจึงรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก?
“ลูกทะเลาะกับเมียมาเหรอ?”
“เปล่านิ”
“แล้วทำไมอยู่ๆถึงได้กลับมากินข้าวนี่ได้ล่ะ?”
เจียงหยู่หัวเราะ “คิดถึงแม่ไง ไม่ได้เหรอ?”
“อย่ามาเอาใจแม่แถวนี้ นิสัยแกเป็นไงทำไมฉันจะไม่รู้? ตอนแกอยู่นี่ก็แทบกุลีกุจออยากจะรีบย้ายออกไป…เอาจริงๆเกิดอะไรขึ้น?”
แม้คำพูดคุณนายเจียงทำทีรังเกียจลูกชาย แต่ก็ยังคงพูดไป คีบเนื้อปลาหม่าล่าของโปรดเขาให้
เจียงหยู่หยิบทิชชู่ขึ้นมาเช็ดปาก
“ไม่ได้งอนอะไรกัน เราสองคนยังดีอยู่ครับ”
“แล้วทำไมมาคนเดียวล่ะ? ไม่ชวนภรรยามากินข้าวด้วยกัน?”
คุณนายเจียงเริ่มที่จะยอมรับลูกสะใภ้ที่มากะทันหันคนนี้แล้ว
ก็เพราะลูกชายพึงใจ ถึงแม้จะผิดแผกไปนิด พิจารณาถ้วนถี่หน่อย
แต่เมื่อเจียงหยู่มีครอบครัว เรื่องนี้จึงถือเป็นเรื่องที่ดี
หลบเลี่ยงคำพูดจากข้างนอกและคนที่คิดไม่ดีไม่ได้ เขียนบทความที่ไม่ดีต่อเจียงหยู่ ทำลายชื่อเสียงของตระกูลเจียง
“ดูสิ….เรื่องอะไรนิดหน่อยก็สงสัยไปหมด ก็คุณยายของอาเหวินไม่สบายไม่ใช่เหรอครับ? ท่านอยากจะกลับไปที่เขาจงชุ่ย พ่อกับแม่ของเธอเห็นว่าถ้ากลับไปจงชุ่ย อาเหวินจะคุ้นเคยที่นั่นเป็นที่สุด ก็เลยพาอาเหวินกลับไปด้วยครับ”
“อ่อ….อย่างนี้นี่เอง”
พอได้ฟังลูกชายอธิบายอย่างนี้แล้ว คุณนายท่านก็สบายใจไม่น้อย ภายในใจคิดว่าไม่ได้ทะเลาะกันก็ดีแล้ว
ไม่งั้นจะกลายเป็นว่าแต่งงานได้ไม่กี่วันแยกกัน? หากเรื่องนี้กระจายออกไปแล้วมันจบอย่างไร?
คุณชายเจียงถามต่อ “อาการป่วยของคุณยายท่านตอนนี้เป็นไงบ้างล่ะ?”
“เอาตามจริง ก็ไม่ค่อยดีนัก ดูแล้วคงอยู่ได้อีกไม่กี่วันหรอก…อาเหวินน่ะ ยายเขาเลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก ความสัมพันธ์ค่อนข้างลึกซึ้ง ที่เธอไปเป็นเพื่อน ผมก็ไม่กล้าขัดแล้ว ”
“พูดก็ถูก ทางเราก็ไม่ใช่จะเลือดเย็นอะไร หวาเหวินคนนี้รู้สำนึกคุณ กลับไปอยู่เป็นเพื่อนยาย อย่างนี้ก็ถือว่ากตัญญู ทางเราก็สนับสนุน”
คุณชายเจียงผู้เป็นพ่อสมเหตุสมผล เข้าใจกับสิ่งที่หวาเหวินไปเป็นเพื่อนยายที่จงชุ่ย
แม่เจียงก็ไม่ได้พูดอะไรมาก หลังเจียงหยู่ทานข้าวเสร็จแล้วก็ไปที่ห้องหนังสือจัดเก็บเอกสารนิดหน่อย คืนนี้คงอยู่นอนที่บ้านใหญ่นี้ล่ะ
อีกทางฝั่งนึง ทุกคนได้มาถึงเขาจงชุ่ยเป็นที่เรียบร้อย หลังจัดของลงหมด ท้องฟ้าก็มืดลงแล้ว
ปลายสิงหาต้นกันยา อุณหภูมิบนภูเขาค่อนข้างต่ำ
แต่ในสวนเต็มไปด้วยกลิ่นดอกกุ้ยฮวา (ดอกมะเดื่อ) ทำให้คนที่มาสัมผัสเกิดความรู้สึกที่แตกต่าง
หวาเหวินคุนเคยกับต้นไม้ใบหญ้าที่นี่เป็นอย่างดี
ก่อนที่จะเจรจาแต่งงานกับบ้านตระกูลแซ่หนึ่งสัปดาห์ เธออาศัยอยู่นี่ตลอด
เอาจริงๆถ้าหากว่าคุณยายไม่ป่วยหนักจนต้องลงเขาเพื่อไปรักษา เธอคงไม่อยากจะจากที่นี่ไปเลย
หวาเหวินใสรถเข็นให้คุณยายและใส่เสื้อคลุมหนาให้ท่าน
จากนั้นพาท่านไปเดินเล่นรอบๆสวน
ช่วงเวลานี้ คุณยายยังคงใส่สายออกซิเจนอยู่ คือไม่สามารถที่จะพูดออกมาได้ แต่ยังคงมีสติอยู่
มองดูสวนที่คุ้นเคยและต้นกุ้ยฮวา(ต้นหอมหมื่นลี้)ที่เต็มพื้นที่ในสวน
คุณตื่นตาจนน้ำตาไหลออกมา….
แต่ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้
หวาเหวินนั่งยองข้างหญิงชรา
ค่อย ๆชี้ไปที่ต้นมะเขือใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลนัก
“คุณยายดูนั่นสิ….ต้นไม้ต้นนั้นเดิมทีใกล้ตายแล้ว แต่ยายให้หนูรดน้ำพรวนดิน…แล้วมันก็กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ถือเป็นสัญญาณที่ดีน้า คุณยายวางใจนะคะ อาการป่วยของยายจะต้องดีขึ้นแน่นอน”
หญิงชราจับมือหวาเหวินแน่น มือท่านสั่นแรง….ดูเหมือนอารมณ์ท่านจะตื่นเต้นตื้นตัน