ลิขิตรักส่งฉันมาเป็นคู่เธอ - ตอนที่ 92
ตอนที่ 92คำขอโทษของหวาลิน
เมื่อได้ยิน หวาเหวินก็วางของในมือลง แล้วรับโทรศัพท์มา
“ฮัลโหล?”
“เหวินเหวิน เธอว่างไหม? เรามาเจอกันหน่อยไหม?”
“ตอนนี้เหรอ?” หวาเหวินเหนือความคาดหมาย
“ใช่”
“งั้นเดี๋ยวฉันไปรับเธอมาบ้านฉันดีไหม?”
“ไม่เอาหรอก เราไปหาร้านน้ำชาสักร้านดีกว่า” หวาลินเป็นคนที่ค่อนข้างอนุรักษนิยม ไม่ชอบไปเป็นแขกบ้านของคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหวาเหวินที่มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งแบบนี้
หวาเหวินครุ่นคิดเล็กน้อย “ก็ได้ งั้นเธอรอฉันสักหน่อยนะ เดี๋ยวฉันออกไป”
หลังจากนั้น หวาลินก็ส่งตำแหน่งที่อยู่ให้กับเธอ นั้นคือร้านน้ำชาที่อยู่บริเวณมหาวิทยาลัยวาลินที่มีชื่อว่าโยวย้าน
ชุนเถาขับรถไปส่งหวาเหวิน
เธอใส่แค่เพียงเสื้อแขนสั้นสีดำธรรมดา ๆ เท่านั้น
เมื่อออกจากบ้านก็พบว่าข้างนอกฝนตก จึงให้หยินซิ่งเอาเสื้อคลุมถักสีเหลืองแอปริคอทออกมาเพิ่มอีกตัวหนึ่ง
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง หวาเหวินและหวาลินก็ไปเจอกันด้านในของร้านน้ำชา
“พี่สี่ พี่มาหาฉัน มีเรื่องอะไรเหรอ?”
หวาลินหยิบกระเป๋าถือยื่นออกไป “นี่เป็นหนังสือประวัติศาสตร์บางส่วนในโรงเรียนของฉัน ส่วนใหญ่ล้วนเกี่ยวกับ 5 ราชวงศ์และ 10 ประเทศ เธอสนใจมาตลอดไม่ใช่เหรอ?”
หวาเหวินรับหนังสือมาด้วยความสนใจมากทีเดียว
ก่อนหน้านั้นเธอได้เคยขอร้องหวาลินไว้ แต่ตอนนั้นเธอกำลังอกหัก สภาพจิตใจย่ำแย่ จึงได้ปฏิเสธไป
แต่หลังจากที่คิดไปคิดมาแล้ว ถึงในใจจะยังไม่ค่อยสบายใจอยู่ก็ตาม แต่เธอก็ตัดสินใจที่จะนำมันมาให้กับหวาเหวิน
“เหวินเหวิน เรื่องวันนั้น…..ขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“ฉันกับป๋ายห้าวเลิกกันแล้ว สภาพจิตใจของฉันในตอนนั้นกระสับกระส่ายร้อนใจมาก ฉันไล่คนในบ้าน และไล่พวกเธอ …. แต่ต่อมาฉันก็คิดได้ ว่าเรื่องที่ฉันทำมันไม่มีความหมายอะไรเลย ฉันไม่สามารถรั้งให้เขากลับมาได้” หวาลินยกน้ำชาขึ้นมา แล้วมองออกไปยังฝนที่ตกพร่ำๆด้านนอกหน้าต่าง
《เพลงชิงฮวาสือ》ของโจว เจี๋ยหลุนได้ดังขึ้นมาภายในร้านน้ำชา
เป็นเนื้อเพลงท่อน—— สีครามบนผิวกระเบื้องที่รอคอยวันครึ้มฝน ก็เฉกเช่นข้าที่เฝ้าคอยเจ้ากระนั้น ละไอเกลียวควันขาวลอยขึ้นสู่อากาศ ไกลห่างกันพันหมื่นลี้ประดุจมีแม่น้ำขวางกั้น
เป็นท่วงทำนองเพลงที่ไพเราะมาก หวาเหวินชอบความรู้สึกแบบนี้มาก
เธอถามหวาลินว่า “พี่รักเขามากใช่ไหม?”
“รัก? คงอย่างนั้น…..เราสองคนอยู่ด้วยกันมาเดือนกว่า มันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด เดิมทีฉันคิดว่าการได้เจอครอบครัวจะทำให้เราสองคนได้หมั้นกัน แต่คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่ได้เจอครอบครัวแล้ว กลับกลายเป็นว่าเราสองคนต้องเลิกกัน เหอะ”
มุมปากของหวาลินกระตุกขึ้น เผยรอยยิ้มเยาะเย้ยออกมา
“ถ้าพี่รักเขามาก และรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่พี่ไม่อยากปล่อยไป ฉันคิดว่าพี่น่าจะไปหาเขานะ” หวาเหวินครุ่นคิดเล็กน้อย
หวาลินส่ายหน้า “ไม่มีประโยชน์หรอก เขาเป็นคนที่ดื้อรั้นมากคนหนึ่ง ฉันไปหาเขา ก็แก้ไขอะไรไม่ได้ ….. ฉันเปลี่ยนแปลงสถานะของฉันไม่ได้ เขาเองก็ยอมรับกับตระกูลของเราไม่ได้ เขาเป็นคนที่ยึดมั่นในอัตราตัวเองมาก ไม่มีทางยอมมาเป็นลูกเขยในตระกูลเราหรอก ฉันโกรธมาก เป็นเพราะฉันรักเขาที่เป็นแบบนี้ ถ้าเขาเป็นเหมือนกับพี่เขยหลิวเด๋อข่ายของพี่ใหญ่ ที่คอยเอาแต่ประจบสอพลอพี่ใหญ่ เอาใจประจบพ่อแม่ ฉันก็คงจะไม่ปรายตามองเขาหรอก ดังนั้นฉันถึงได้รู้สึกขัดแย้งกับตัวเองแบบนี้ไง”
หวาลินเองก็ไม่รู้ว่าทำไม ทุกครั้งที่เธอได้อยู่กับหวาเหวิน จิตใจของเธอถึงได้สงบลงทุกครั้ง
ดังนั้นจึงได้พูดความรู้สึกในใจออกมา
“พี่สี่ แต่…..มีเงินมันก็ไม่ใช่ความผิดของพี่นะ พี่ไม่สามารถเลือกฐานะตัวเองได้ แต่พี่มีสิทธิเลือกความรักของตัวเองได้……สามีภรรยาฐานต่ำต้อยมีแต่เรื่องทุกข์ใจ วันที่ไม่มีเงินนั้นแสนจะลำบากยากเข็ญ พี่มีเงินเก็บของตัวเอง ถ้าพี่ได้ใช้ชีวิตกับป๋ายห้าว นั้นคงจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด สำหรับพ่อกับแม่ ฉันคิดว่าพวกเขาเองก็ไม่ได้หวังว่าพี่จะได้แต่งงาน…..ต่อให้ไม่ยอม สุดท้ายก็คงจะไม่ได้สนใจอยู่ดี สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือทัศนคติของป๋ายห้าวต่างหาก เขาแคร์พี่มาก และยังแคร์ว่าคนอื่นจะมาวิพากษ์วิจารณ์ในทางที่ไม่ดี ถ้าเขาแคร์พี่มากกว่านี้ ก็น่าจะทำลายความคิดนั้นของตัวเองไปแล้ว ไม่ต้องไปสนใจว่าคนอื่นจะพูดว่ายังไง ขอแค่ให้ได้อยู่กับพี่ ถ้าเขามัวแต่สนใจว่าคนอื่นจะมองเขายังไง จนปล่อยพี่ไป งั้นก็หมายความว่า เขาไม่ได้รักพี่มากพอ ในเมื่อไม่ได้รักพี่มากพอ ผู้ชายแบบนี้ พี่จะไปรั้งเขากลับมามันก็ไร้ประโยชน์ พี่คิดว่าไงละ?”
คำพูดที่หวาเหวินพูดในวันนี้ แทบจะดูเหมือนเยอะกว่าที่พูดกับเธอเมื่อก่อนเลยทีเดียว สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือมันมีเหตุผลอย่างไม่น่าเชื่อ?