ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 1035 เอาตัวคนลงไป
“สื้อสื้อ พรุ่งนี้เธอพอมีเวลามั้ย ฉันอยากนัดเธอทานข้าวด้วยกัน”
ตอนที่เจียงสื้อสื้อรับโทรศัพท์สายนี้ของซ่างกวนหยวน ก็ตกใจเล็กน้อย
เธอคิดว่าผ่านเรื่องครั้งก่อนแล้ว ซ่างกวนหยวนก็จะไม่นัดพบเธออีก
คิดไม่ถึงเลยว่า……
ด้วยสัญชาตญาณเธอไม่อยากไปพบกับซ่างกวนหยวน หลังจากลังเลอยู่พักใหญ่ ปฏิเสธอย่างสุภาพว่า “พรุ่งนี้เหรอ ฉันอาจจะไม่มีเวลา”
แต่ซ่างกวนหยวนไม่ยอมถอดใจด้วยเหตุผลนี้ เธอถามอย่างตรงไปตรงมา “สื้อสื้อ เธอเกลียดฉันมั้ย”
“เปล่านะ”
“อย่างนั้นทำไมเธอปฏิเสธฉัน ฉันก็แค่อยากจะกินข้าวกับเธอธรรมดาๆเท่านั้น”
แม้ว่าจะมีโทรศัพท์กั้นอยู่ แต่ก็ได้ยินน้ำเสียงที่แฝงความอ้อนวอนขอร้องของเธอ เจียงสื้อสื้อจึงใจอ่อนอย่างไม่รู้ตัว พูดรักษาน้ำใจว่า“ก็ได้ งั้นเจอกันพรุ่งนี้”
ก็แค่กินอาหารมื้อหนึ่ง ก็คงไม่เป็นอะไรมั้ง
“ขอบคุณนะ สื้อสื้อ เสียงซ่างกวนหยวนดังขึ้นมา “อีกเดี๋ยวฉันจะส่งที่อยู่ร้านอาหารให้เธอนะ”
“ได้”
เจียงสื้อสื้อวางสาย มองดูหน้าจอที่ดำสนิทของหน้าจอโทรศัพท์ จึงถอนหายใจอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร
ตอนแรกก็ไม่อยากจะติดต่อข้องแวะกับซ่างกวนหยวนอีก พอเป็นอย่างนี้แล้ว ก็เหมือนตนเองตบหน้าตัวเอง
จิ้นเฟิงเฉินเดินเข้ามา มองเห็นเธอนั่งถอนหายใจอยู่ข้างเตียง ขมวดคิ้วเล็กน้อย เดินเข้ามาใกล้ เอ่ยถามเบาๆว่า “ทำไมเหรอ”
เจียงสื้อสื้อเงยหน้า เม้มปากยิ้ม “ไม่มีอะไร ก็แค่หยวนหยวนนัดฉันไปกินข้าวด้วยพรุ่งนี้ค่ะ”
จิ้นเฟิงเฉินนัยน์ตาจับจ้อง “ปฏิเสธไปแล้วเหรอ”
“เปล่าค่ะ” เจียงสื้อสื้อถอนหายใจลึก อธิบายว่า“ความจริงฉันก็ปฏิเสธ แต่เธอก็ยืนหยัดเหลือเกิน ฉันไม่สามารถปฏิเสธได้”
นอกจากซ่างกวนหยวนจะมีความรู้สึกที่ไม่ควรมีกับจิ้นเฟิงเฉินแล้ว อย่างอื่นก็ดีมาก น่าจะเห็นเธอเป็นเพื่อนอย่างจริงใจ
แต่แค่เรื่องของจิ้นเฟิงเฉินนี้ ก็มากพอให้จะให้เธอแยกตัวออกไปได้
เห็นเธอถอนหายใจอีก มุมปากจิ้นเฟิงเฉินก็เหมือนยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้ม “ถ้าคุณไม่อยากไป พรุ่งนี้ก็หาข้ออ้างไป”
“ไม่ได้ คำพูดคนเราต้องมีความน่าเชื่อถือ” เจียงสื้อสื้อยักไหล่ “ก็คิดเสียว่าเป็นครั้งสุดท้ายก็แล้วกัน”
พูดถึงตรงนี้ จู่ๆเจียงสื้อสื้อก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เธอค่อยๆหรี่ตา ใช้สายตาจับผิดจ้องมองเขา “ตอนนั้นทำไมคุณให้ฉันหลีกเลี่ยงที่จะติดต่อกับซ่างกวนหยวนให้น้อยที่สุด สัมผัสได้ถึงอะไรเหรอ”
จิ้นเฟิงเฉินไม่เพียงไม่ตอบแต่กลับย้อนถามว่า “คุณรู้สึกถึงอะไรได้แล้วบ้าง”
“อืม……” เจียงสื้อสื้อขบคิดขึ้นมาอย่างจริงจัง“เธอ……ชอบคุณเหรอ”
จิ้นเฟิงเฉินอึ้ง “คุณพูดอะไรของคุณ”
เขามีสีหน้าตกใจ เห็นชัดว่าไม่รู้เรื่องนี้
แม้ซ่างกวนอ้ายจะเคยพูดกับเขาอยู่บ้างเรื่องที่เขากับสื้อสื้อไม่เหมาะสมกัน แต่เขาก็ไม่เคยคิดในแง่อื่นมาก่อน
และก็ไม่รู้ความคิดเหล่านี้ของซ่างกวนหยวน
ผู้ชายมักจะมีความรู้สึกช้าในเรื่องแบบนี้จริงๆ
เจียงสื้อสื้อเบ้ปาก “ไม่มีอะไรหรอก ฉันก็แค่เดาไปมั่วๆ”
จิ้นเฟิงเฉินขมวดคิ้ว “คุณคิดว่าเธอชอบผมเหรอ”
“อาจจะใช่มั้ง” เจียงสื้อสื้อไม่อยากจะพูดเรื่องไม่สบายใจต่อไปอีก จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที ถามว่า “พรุ่งนี้คุณมีเวลาว่างมั้ยคะ ถ้ามีไปส่งฉันหน่อยนะคะ”
“ได้”
……
เที่ยงวันต่อมา เจียงสื้อสื้อมาถึงที่ร้านอาหารฝรั่งเศสร้านหนึ่งในเขตเมืองตามเวลานัด
ที่ซ่างกวนหยวนจองไว้คือห้องส่วนตัว
เจียงสื้อสื้อผลักประตูเปิด เห็นว่าซ่างกวนหยวนมาถึงแล้ว
ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวซ่างกวนหยวนหันหน้ามา มองเห็นเธอ ก็รีบลุกขึ้นมาต้อนรับ ใบหน้าที่แต่งหน้าอย่างสวยงามเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่สดใส “สื้อสื้อ รีบเข้ามาเร็ว”
เจียงสื้อสื้อเดินเข้าไป มองไปรอบๆห้อง ฉีกยิ้มที่มุมปาก “พวกเราก็มีแค่สองคน ไม่เห็นต้องจองห้องใหญ่ขนาดนี้เลยนะ”
“ตอนนี้เป็นตอนเที่ยง ด้านนอกต้องมีคนเยอะแยะ ค่อนข้างเสียงดัง เธอสุขภาพไม่ค่อยดีไม่ใช่เหรอ อยู่ที่เงียบหน่อยดีกว่า”
ในคำพูดของซ่างกวนหยวนดูเหมือนจะคำนึงถึงเธออย่างเต็มที่
ต้องบอกว่า รู้สึกประทับใจอยู่บ้างจริงๆ
“ขอบคุณ” เจียงสื้อสื้อยิ้มอย่างซาบซึ้งให้เธอ
“พวกเราเป็นเพื่อนกัน ไม่ต้องเกรงใจขนาดนี้หรอก”
ซ่างกวนหยวนดึงเธอให้นั่งลง ช่วยเธอรินน้ำมะนาว “นี่เป็นน้ำอุ่น เธอดื่มได้”
เจียงสื้อสื้อเอ่ยขอบคุณ ยกขึ้นมาจิบ
เธอไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติที่ฉายออกมาจากนัยน์ตาของซ่างกวนหยวน
“ทำไมวันนี้เธอถึงอยากนัดฉันมาทานข้าวล่ะ” เจียงสื้อสื้อหันหน้ามา
ซ่างกวนหยวนรีบเบนสายตาอย่างประหม่า เธอกระแอมเบาๆ กลบเกลื่อนความตระหนกของตนเอง “ วันก่อนเจอพี่ชายเธอ เขาถามว่าทำไมช่วงนี้ฉันไม่ค่อยนัดเธอออกมา ฉันก็เลยคิดว่าวันนี้ฉันมีเวลาพอดี ดังนั้นก็เลยนัดเธอมาทานข้าวด้วยกัน”
เจียงสื้อสื้อพยักหน้า “ที่แท้ก็อย่างนี้เอง”
วันก่อนซ่างกวนหยวนได้พบกับพี่ชาย เมื่อวานตอนเช้าพี่มีท่าทางเศร้า ก็คงจะเป็นเพราะเธอกระมัง
คิดมาถึงตรงนี้ เธอเองก็พูดอะไรมากไม่ได้
ในเมื่อ นี่เป็นเรื่องของซ่างกวนหยวนกับพี่ตนเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับตน
“เธออยากกินอะไร” ซ่างกวนหยวนเปิดเมนูอาหารพลาง เอ่ยถามพลาง
“ฉันมาครั้งแรกไม่รู้ว่ามีอะไรอร่อยบ้าง เธอตัดสินเองก็ได้”
ซ่างกวนหยวนหันไปมองเธอ ยิ้มพลางเอ่ยว่า “อย่างนั้นก็คงต้องให้ฉันจัดการจริงๆสินะ”
เจียงสื้อสื้อพยักหน้า “อืม”
อย่างนี้เธอก็จะได้ไม่ต้องวุ่นวาย
สั่งอาหารเสร็จ ซ่างกวนหยวนจ้องมองเจียงสื้อสื้อ สีหน้าท่าทางตั้งใจ เหมือนกับว่ากำลังมองอะไรที่น่าตื่นเต้นอย่างนั้น
เจียงสื้อสื้อรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองนิดหน่อย เธอก้มหน้ามองดูชุดของตนเอง ถามอย่างสงสัยว่า“เธอจ้องมองฉันแบบนี้ทำไม”
“เอ่อ……” ซ่างกวนหยวนลังเลขึ้นมา
“มีอะไรเธอก็พูดมาตามตรงเถอะ”
ซ่างกวนหยวนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ฉันได้ยินประธานฟางบอกว่า ในร่างกายของเธอมีเชื้อไวรัสที่พิเศษชนิดหนึ่ง ใช่มั้ย”
พี่ชายเธอเอาเรื่องนี้ไปบอกเธอเหรอเนี่ย
เจียงสื้อสื้อแปลกใจมาก แต่ก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว มุมปากโค้งขึ้นมา “ใช่แล้ว ทำไมเหรอ”
“เธอรู้ว่าฉันเองก็ทำวิจัยเฉพาะทางด้านการแพทย์ ดังนั้นจึงแปลกใจเล็กน้อย” ซ่างกวนหยวนอธิบาย
“ฉันมีเพื่อนคนหนึ่งที่เหมือนกับเธอ”
คนที่เจียงสื้อสื้อพูดถึงก็คือฝู้จิงเหวิน
เขาไม่ได้ติดต่อกับเธอมานานมากแล้ว และก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
เห็นเธอแสดงความกังวลออกมาโดยไม่รู้ตัว ซ่างกวนหยวนลองถามหยั่งเชิงว่า “เพื่อนเธอตอนนี้อยู่ที่สถาบันวิจัยไหนเหรอ”
เจียงสื้อสื้อส่ายหน้า “ฉันไม่แน่ใจ”
“อ่อ” ซ่างกวนหยวนไม่ได้ซักไซ้ต่อ แต่เปลี่ยนหัวข้อสนทนา พูดว่า“ฉันมีความเข้าใจในเรื่องการวิจัยไวรัสทางนี้ดี วันนั้นฉันบอกกับประธานจิ้นแล้ว ฉันอาจจะพอช่วยได้”
“ขอบคุณในความหวังดีของเธอนะ แต่เฟิงเฉินให้คนวิจัยแล้ว ดังนั้นไม่อยากจะรบกวนเธออีก”
สร้างความรบกวนเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ประเด็นสำคัญคือไวรัสนี้มีความพิเศษมาก ถ้าให้ซ่างกวนหยวนรู้เข้า เกรงว่าจะเกิดเรื่องอื่นตามมา
ซ่างกวนหยวนยิ้ม “ไม่เป็นไร ฉันไม่บังคับ”
พูดพลาง เธอก็ก้มมองดูเวลาพลาง มุมปากโค้ง “ได้เวลาแล้ว”
ได้ยินดังนั้น เจียงสื้อสื้อก็ถามอย่างสงสัยว่า “ได้เวลาอะไรแล้วเหรอ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่างกวนหยวนยิ่งสดใสมากขึ้น“เปล่า”
ตอนสิ้นเสียงเธอนั้นเอง จู่ๆเจียงสื้อสื้อก็รู้สึกเวียนศีรษะขึ้นมา เชื้อไวรัสกำลังออกฤทธิ์ในร่างกายเธออีกแล้วหรือ……
ทัศนวิสัยค่อยๆเลือนลางลง เกิดเป็นภาพซ้อน
เธอมองเห็นซ่างกวนหยวนหลายคน
พวกเธอต่างกำลังยิ้ม……
แต่ว่า พวกเธอกำลังยิ้มอะไร
หลังจากเกิดความสงสัยนี้ในหัวสมอง เสียง“ตึก”ศีรษะของเธอกระแทกบนโต๊ะอย่างแรง
ซ่างกวนหยวนมองเธอ รอยยิ้มบนใบหน้าไม่ได้จางหายไปเลย ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา โทรหาใครบางคน
“ขึ้นมาเอาคนลงไป”